บทที่ 360 เชื้อไฟสุริยะ สุสานจักรพรรดิเปิด
อำนาจคุกคามของเหล่าผู้อริยะปกคลุมฟ้าดิน หมุนม้วนเข้ามา
เสิ่นเทียนกลับไม่มีสีหน้าหวาดกลัวหรือยำเกรงแม้แต่น้อย มีเพียงความสงบนิ่งและมั่นใจในตนเอง
เขาเดินเข้าไปในอำนาจคุกคามเขตแดนอริยะทีละก้าว ร่างเหมือนจะจริงและเป็นมายาไม่แน่นอน เหมือนกับทั้งตัวเขาหลอมรวมกับฟ้าดินเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
อำนาจคุกคามผู้อริยะพวกนั้นทะลวงผ่านในกายเขา แต่ไม่ส่งผลใดๆ กับเสิ่นเทียนเลย
เขาเหมือนไม่อยู่ในมวลอากาศแห่งนี้ แต่อยู่ในโลกแห่งหนึ่ง
หวังเสินซวีกลางกลุ่มคนเบิกตาโต “นี่คือ ‘เปลี่ยนร่างแปลงสุญตา’ ในความหมายลึกล้ำของวิชามิติ ไม่นึกเลยว่าวิชามิติของสหายเสิ่นจะตระหนักถึงระดับนี้แล้ว!”
วิชามิติของห้าดินแดนบูรพา หากบอกว่าคัมภีร์จักรพรรดิท้องนภาอยู่อันดับสอง เช่นนั้นก็ไม่มีคัมภีร์จักรพรรดิใดกล้าบอกว่าอยู่อันดับหนึ่ง
จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์ท้องนภาหวังเสินสวีที่มีกายศักดิ์สิทธิ์ท้องนภาที่หายากในพันปี ระดับการประสานกับคัมภีร์จักรพรรดิท้องนภาแทบจะบรรลุถึงขีดจำกัด เป็นอัจฉริยะโดยแท้ของเขตแดนวิชามิติ
ทว่าต่อให้เป็นหวังเสินซวี เมื่อได้เห็นวิชาของเสิ่นเทียนตอนนี้ ก็ยังตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ไม่มีอะไรมาก แค่กลอุบายที่เสิ่นเทียนแสดงตามอำเภอใจในตอนนี้ ยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้น!
ต้องรู้ว่าแม้แต่การคงอยู่ระดับผู้อริยะมากมายที่ทะลวงมิติได้ตามใจ นั่นแค่ทะลวงมิติเท่านั้น ไม่อาจ ‘เปลี่ยนร่างแปลงเป็นสุญญะ’ ได้เลย
คนที่ทำถึงขั้นนี้ได้ กายเนื้อก็คือมิติ มิติก็คือกายเนื้อ
ศัตรูโจมตีใส่เขา เก้าส่วนเก้าจะเข้าไปในมิติ ตัวเขาแทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
ส่วนตนโจมตีใส่ศัตรู ไม่ใช่แค่ไม่ถูกมิติลดกำลังลง แต่ยังเหนี่ยวนำพลังแห่งมิติเสริมการโจมตีได้ เพิ่มอานุภาพได้
“ไม่นึกเลยว่าต่อให้เป็นเขตแดนที่แซ่หวังชำนาญมากที่สุด ก็ยังถูกสหายเสิ่นแซงหน้าไปไกลแล้ว ช่างน่าละอาย!”
นัยน์ตาหวังเสินซวีฉายแววพ่ายแพ้เสี้ยวหนึ่ง แต่ก็มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้มากกว่า!
สายเลือดมิติไม่อ่อนแอกว่าผู้ใด!
แม้เสิ่นเทียนจะมีพรสวรรค์สูงสุด แซ่หวังยากจะเทียบกำลังรบแท้จริงกับเขาได้ แต่ถ้าเป็นความชำนาญในด้านมิติ แซ่หวังไม่มีทางถูกแซงหน้าไปไกลเช่นนี้เด็ดขาด
จะต้องพยายามฝึกฝนคัมภีร์วสันต์อมตะนิรันดร์ เพิ่มอายุขัยให้เต็ม แบบนี้แซ่หวังจะได้ตระหนักคัมภีร์จักรพรรดิท้องนภาได้
แม้ว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสเหนือกว่าสหายเสิ่น อย่างน้อยตำแหน่งอันดับหนึ่งใต้ฟ้าจะต้องเป็นของแซ่หวัง!
……
คนที่มีความคิดแบบเดียวกับหวังเสินซวีมีอยู่ไม่น้อย
ฉีเซ่าเสวียน ฟางฉางและพวกจางอวิ๋นถิง ตอนนี้มีความคิดในใจไม่ต่างกันมาก
มีเสิ่นเทียนอยู่ ต่อให้เส้นทางไร้พ่ายของพวกเขาจะแน่วแน่กว่านี้ ตอนนี้ก็ไม่มีทางที่จะรังแกคนอื่นอีก คิดจะเป็นผู้สูงส่งสูงสุดในรุ่นเดียวกันอะไรนั่นอีก
ตอนนี้เป้าหมายสุดท้ายในใจพวกเขาคือเป็นอันดับหนึ่งใต้ฟ้า!
และฟ้านี้ ก็คือเสิ่นเทียน!
วันนี้ คือโอกาสดีงามที่พวกเขาจะได้หยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของเสิ่นเทียน พวกเขาอยากรู้มากว่าภายใต้การกดดันของผู้อริยะมากมายขนาดนี้ เสิ่นเทียนจะตระหนักแผ่นศิลาจักรพรรดิได้ถึงระดับใด!
เปรี้ยง~
เสิ่นเทียนก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ตอนนี้เขามาอยู่หน้าแผ่นศิลาจักรพรรดิแล้ว
ผู้อริยะสิบกว่าท่านที่นั่งล้อมรอบแผ่นศิลาจักรพรรดิ ทุกคนมีอำนาจอริยะเข้มข้นวนเวียนรอบตัว นั่นคือพลังที่เหนือกว่าผู้ฝึกบำเพ็ญต่ำกว่าอริยะไปไกล
หากไม่ใช่เพราะพลังแห่งมิติของเสิ่นเทียนต้านอำนาจคุกคามของพลังงานไว้ ต่อให้เขามีกายทองเบิกฟ้า ตอนนี้ก็เกรงว่าคงต้องรับแรงกดดันไม่น้อย
แต่ว่าตอนนี้เสิ่นเทียนแสดงให้เห็นว่าอำนาจอริยะอะไรนั่น ล้วนเป็นเมฆลอย~
เสิ่นเทียนนั่งหงายมือเท้าและหน้าขึ้นฟ้า เขานั่งตรงหน้าแผ่นศิลาจักรพรรดิ ตั้งใจมองภาพลายเทพบนแผ่นศิลาจักรพรรดิ
รอบตัวเขาเปล่งแสงสว่างพร่างพราว ดวงตาสองข้างยิงประกายเทพออกไป ในนั้นมีลายลี้ลับมากมายลอยอยู่ เหมือนแฝงไว้ด้วยความหมายลึกลับของธารดาราจักรวาล
ทันทีที่ปรากฏดวงตาสองดวงนี้ ฉีเซ่าเสวียนที่อยู่ไม่ไกลรู้สึกเจ็บปวดดวงตาตรงระหว่างคิ้วขึ้นมา เหมือนรับแรงกดดันมหาศาล
“เนตรสูงสุด ระดับของดวงตาคู่นี้สูงกว่าเนตรเทพเคหาสน์ม่วงอีก!”
ฉีเซ่าเสวียนมุมปากกระตุก เนตรเทพเคหาสน์ม่วงคือหนึ่งในไพ่ตายที่แกร่งที่สุดของเขา ไม่ใช่แค่ส่องได้ทุกสรรพสิ่ง แต่ยังมองเห็นจุดอ่อนของศัตรู รวมถึงยิงแสงวิบัติเนตรม่วงสังหารศัตรูได้
ต่อให้อยู่ในคัมภีร์จักรพรรดิ นี่ก็ยังเป็นวิชาลับสูงสุด
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเนตรเทพคู่นี้ของเสิ่นเทียน ฉีเซ่าเสวียนรู้สึกว่าขนาดจะลืมตาเนตรสวรรค์ตรงระหว่างคิ้วตนยังยากมากเลย
นี่ มันน่าเหลือเชื่อ!
เสิ่นเทียนไม่รู้ว่าเนตรมรรคสวรรค์ประทานของตนสร้างผลกระทบกับฉีเซ่าเสวียนขนาดนี้ ยามนี้เขาอยู่ในสภาวะตระหนักมรรคอย่างสมบูรณ์
กายมรรคสวรรค์ประทานเป็นคุณสมบัติกายตระหนักมรรคสูงสุดอยู่แล้ว เข้าใกล้กับมรรคโดยธรรมชาติ ตระหนักวิชาใดจะได้รับการเสริมอย่างน่าเหลือเชื่อ ต่อให้เป็นโลกเซียนก็ยังเป็นหนึ่งในคุณสมบัติกายที่โดดเด่นที่สุด
มิหนำซ้ำเสิ่นเทียนยังปลุกตื่นความสามารถยกระดับขั้นในกายมรรคสวรรค์ประทาน…เนตรมรรคสวรรค์ประทาน ทุกวิชาที่อยู่ตรงหน้าเนตรมรรคจะไม่มีวันหนีพ้นได้
กฎเกณฑ์ทั้งหมดตรงหน้าเขาเหมือนกับสาวน้อยเปลื้องผ้า เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา
ไม่นาน เหล่าผู้อริยะก็ตกใจตื่น
เพราะพวกเขาพบว่าศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง อักขระทั้งหมดสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง
ลายเทพพุ่งออกมาจากในศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคทีละตัว ปกคลุมฟ้าดินเข้ามาทางเสิ่นเทียนเหมือนกับไฟผลาญเมฆ
เพียงชั่วครู่สั้นๆ รอบตัวเสิ่นเทียนก็ถูกปกคลุมด้วยลายเทพสืบต่อมรรค ระดับความหนาแน่นของกฎเกณฑ์ถึงขั้นเหนือกว่าลายเทพรอบตัวเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
ทุกสายตาพลันมองไปที่เสิ่นเทียน แม้แต่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตระหนักมรรคลึกลงไปพวกนั้นยังตกใจตื่น
“เป็นไปได้อย่างไร! ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับผู้สูงศักดิ์ตัวจ้อยกลับตระหนักความหมายลึกลับในศิลาจักรพรรดิได้มากขนาดนี้!”
“ได้ยินว่าตอนนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อยู่เพียงระดับกายทอง ยังไม่ทะลวงผู้สูงศักดิ์ หากข่าวลือนี้เป็นความจริง…”
“ซี้ด น่ากลัว! นี่คือบุตรแห่งโชคที่แท้จริงรึ รู้สึกว่าเทียบกับเขาแล้ว ข้าเหมือนจะอยู่มาพันปีอย่างเปล่าประโยชน์เลย”
“ดูเร็วๆ บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รวมเป็นปรากฏการณ์สุริยะแล้ว!”
………..
เสิ่นเทียนนั่งเคียงข้างเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ปรากฏการณ์สุริยะข้างหลังเขารวมมาถึงดวงที่หกแล้ว
ตอนนี้สายฟ้าประกายเซียนรอบกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แนบแน่นและเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมีกลิ่นอาย ‘ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม’ เหมือนกับราชาเทพผู้ควบคุมสายฟ้าและเปลวเพลิง
ดวงตะวันสีแดงอมทองหกดวงล้อมรอบข้างหลังเขา น่าเกรงขามอย่างยิ่ง
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็ยังไม่อาจบดบังความสง่างามของเสิ่นเทียนได้ เพราะปรากฏการณ์ข้างหลังเสิ่นเทียนก็ไม่น้อยไปกว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เลย
ข้างหลังเสิ่นเทียนมีสายฟ้าสีทองไหลเวียนไร้ที่สิ้นสุด สัตว์เทพสิบทิศตัดสลับกันส่งเสียงคำราม เงาเทพจักรพรรดิอัสนีกำราบเก้าดินแดน
มีแสงเทพห้าสีเบิกฟ้าดิน เหมือนจะช่วงชิงวิชาเทพทุกอย่างในฟ้าดินได้ มีหมื่นกระบี่ทะลวงฟ้า มาพร้อมกับเจตจำนงกระบี่น่าสะพรึงที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า มีคุนยักษ์หมื่นจั้งกระแทกน้ำสามพันลี้ กลายเป็นเผิงทองบดบังฟ้า…
ปรากฏการณ์พวกนี้ ทุกชนิดหมายถึงวิชาสูงสุดแขนงหนึ่ง
ผู้ฝึกบำเพ็ญปกติได้มาชนิดหนึ่งก็มากพอจะท่องทั่วห้าดินแดน ยากจะพบคู่ต่อสู้ได้แล้ว
ทว่าปรากฏการณ์ข้างหลังเสิ่นเทียนพวกนี้สมจริงอย่างยิ่ง นี่หมายความว่าเสิ่นเทียนมีความชำนาญในวิชาพวกนี้ถึงระดับสูงสุด
พรสวรรค์ของเขาแกร่งเพียงใด ไม่เป็นที่ต้องสงสัยแล้ว!
…….
ตอนนี้ในปรากฏการณ์ทั้งหมดข้างหลังเสิ่นเทียน ปรากฏดวงตะวันสีแดงอมทองยิ่งใหญ่ดวงหนึ่งขึ้น
จากจุดประกายไฟจนเป็นแสงสว่างส่องสะท้อนครึ่งทะเลสาบ ใช้เวลาไปไม่กี่ลมหายใจ!
และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือหลังจากรวมปรากฏการณ์อีกาทองดวงแรกแล้ว ปรากฏการณ์อีกาทองสีแดงอมทองดวงที่สอง สามและสี่ก็พากันสยายปีกปรากฏขึ้นเช่นกัน
ดวงตะวันสีแดงลอยขึ้นข้างหลังเสิ่นเทียนทีละดวง ทุกดวงมีเส้นผ่าศูนย์กลางพันจั้ง แผ่ความร้อนสูงและอำนาจคุกคามที่ทำให้คนตัวสั่น
ยามนี้หากมีภูตผีวิญญาณร้ายยืนตรงหน้าเสิ่นเทียน ไม่ต้องให้เสิ่นเทียนออกมือ แค่ปรากฏการณ์ดวงตะวันพวกนี้ก็เผาพวกมันเป็นเถ้าธุลีได้แล้ว
ดวงที่ห้า ดวงที่หก ดวงที่เจ็ด!
เบาสบายเป็นธรรมชาติเหมือนดื่มน้ำ ความเร็วในการกำเนิดปรากฏการณ์อีกาทองข้างหลังเสิ่นเทียนเร็วขึ้นถึงขีดสุด
ทุกนาทีจะมีดวงตะวันสีแดงอมทองกำเนิดขึ้นจนสมบูรณ์ เหล่าผู้อริยะและโอรสสวรรค์ที่ดูอยู่รอบๆ ต่างมุมปากกระตุกอย่างบ้าคลั่ง
นี่คือศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรค ในนั้นบันทึกคัมภีร์จักรพรรดิสุริยันที่อยู่แนวหน้าของคัมภีร์ดวงตะวัน
เจ้าให้เกียรติคัมภีร์จักรพรรดิสุริยันหน่อยได้หรือไม่ ให้เกียรติพวกเราเหล่าผู้อริยะหน่อยได้หรือไม่
เจ้าตระหนักดูสบายขนาดนั้น จะทำให้พวกข้าเข้าใจผิดคิดว่าพวกข้าก็ทำได้เช่นกันนะ
เวลานี้ คนมากมายต่างเหม่อลอย ตัวโค้งงอไปข้างหน้า
กระทั่งเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่สงบนิ่งมาตลอด ตอนนี้ประกายเซียนบนผิวกายสั่นไหวอย่างรุนแรง เหมือนจะระเบิดกระจายได้ทุกเมื่อ
ต้องรู้ว่าแม้แต่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ตระหนักศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคนี้ ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะรวมเป็นปรากฏการณ์ดวงตะวันดวงแรก ตอนนี้ผ่านไปหลายชั่วยาม เพิ่งจะตระหนักได้ดวงตะวันหกดวง
แต่เสิ่นเทียนล่ะ ผ่านไปครู่เดียวก็รวมเป็นปรากฏการณ์ดวงตะวันดวงที่เจ็ดแล้ว
ถึงศิษย์บ้านตนมุมานะจะเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การดีใจ แต่โดนศิษย์แซงหน้าไปเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์คนใดอยากเห็นเลย
ต่อให้อาจารย์คนนี้ จะบอกว่าตน ‘ไร้ความรู้สึก’ ก็ตาม
อาจารย์ก็ต้องมีเกียรติเช่นกันกระมัง!
……
เสิ่นเทียนไม่สนใจความคิดทุกคนรอบกายอีกแล้ว
เขารู้สึกว่าจิตสำนึกของตนเหมือนจะเข้าไปในลูกกลมไฟดวงใหญ่ที่อบอุ่นอย่างยิ่ง ในลูกกลมไฟนี้เต็มไปด้วยความร้อนมหาศาล
ความร้อนพวกนี้ร้อนแรงอย่างยิ่ง เผาทำลายได้ทุกสิ่งอย่าง แต่ก็แฝงไว้ด้วยพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุด ทุกชีวิตในฟ้าดินห่างจากพลังงานชนิดนี้ไม่ได้
เสิ่นเทียนอาบอยู่กลางพลังงานนี้ รู้สึกว่ากายเนื้อและจิตวิญญาณของตนกำลังถูกชะล้าง
เขาดูดซับพลังงานนี้อย่างบ้าคลั่ง กายทองเบิกฟ้าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หมอกเบิกฟ้ากับกายเนื้อแนบแน่นกันมากขึ้น
ส่วนพลังจิตก็แกร่งขึ้นเช่นกัน ปราการของระดับดวงจิตดรุณแทบจะไม่มีอยู่จริงเมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นเทียน
ขอแค่เสิ่นเทียนยินดี ก็จะทะลวงระดับด้วยความสมบูรณ์แบบที่สุด ก้าวสู่ระดับดวงจิตดรุณที่เรียกว่าผู้สูงศักดิ์นั้น!
ปรากฏการณ์อีกาทองเก้าดวงค่อยๆ ลอยขึ้นข้างหลังเสิ่นเทียน เก้าตะวันขวางอยู่บนฟ้าบ้าอำนาจถึงที่สุด ทว่าก็เหมือนจะยังไม่ใช่ขีดจำกัด
เพราะว่าค่อยๆ เกิดเค้าโครงของปรากฏการณ์ดวงตะวันดวงที่สิบขึ้นข้างหลังเสิ่นเทียนท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทุกคน อีกทั้งยังใหญ่กว่าปรากฏการณ์ดวงตะวันเก้าดวงก่อนหน้านี้มากกว่าสิบเท่า
เปรี้ยง~
ศิลาจักรพรรดิสืบต่อมรรคสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะแตกออกเป็นรูหนึ่ง
เปลวไฟขนาดเท่ากำปั้นสีแดงอมทองสายหนึ่งพุ่งออกมาจากรูนั้น เหมือนกับดวงตะวันฉบับย่อส่วนพุ่งใส่เสิ่นเทียน
ฟิ้ว~
เปลวไฟผ่านไปที่ใด มวลอากาศจะถูกเผาบิดเบี้ยว ก่อนกลายเป็นความว่างเปล่า
เปลวไฟนั้นพุ่งมาตรงหน้าเสิ่นเทียน ก่อนจะจมเข้าไปในปรากฏการณ์ดวงตะวันดวงที่สิบข้างหลังเสิ่นเทียน หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
…..
พริบตานั้น ดวงตะวันอีกาทองสิบดวงข้างหลังเสิ่นเทียนก็ระเบิดแสงสว่างจ้าไร้พรมแดนออกมาพร้อมกัน
ทั้งเกาะมหานทีถูกปกคลุมด้วยแสงของดวงตะวันสว่างจ้า ผนึกที่เดิมทีแข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้เริ่มละลายลงอย่างรวดเร็วเหมือนกับน้ำแข็งใต้ดวงตะวัน
ผู้อริยะทุกคนหน้าเปลี่ยนสี เพราะพวกเขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าบนเกาะแห่งนี้
สุสานของมหาจักรพรรดิอีกาทอง เหมือนจะเปิดแล้ว!
…………………..