บทที่ 45 กอดขาท่านเซียน จำเป็นต้องเร็วด้วยหรือ
มองดูคนทั้งสองที่กอดขาของตนเองปล่อยโฮร้องไห้
เดิมทีในใจเสิ่นเทียนคิดจะปฏิเสธ
‘อย่างไรก็ดีร้องไห้ก็ส่วนร้องไห้ แต่อย่ามาเช็ดใส่กางเกงของข้าสิ!
ทั้งน้ำตาทั้งขี้มูก…
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าสองคนเป็นใคร’
เสิ่นเทียนเกาศีรษะ เหมือนจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน!
ทว่าตอนที่เขาเหลือบไปเห็นวงรัศมีเหนือศีรษะของคนทั้งสอง
เสิ่นเทียนกระตือรือร้นขึ้นมาแล้ว
‘โอ้โห ใช้ได้เลยน้องชาย เหมือนข้าจะนึกขึ้นได้แล้ว
เมื่อสามวันก่อนเพิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตของพวกเจ้า เหตุใดมันถึงได้งอกขึ้นมาใหม่เร็วเช่นนี้
อืม ไม่เลวๆ’
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นเทียนดูอ่อนโยนขึ้นมาทันที
เขายิ้มเล็กน้อยพลางประคองผู้มีวาสนาคนแรกและคนที่สองลุกขึ้นยืน ตบไหลปลอบใจคนทั้งสอง
“น้องชายทั้งสองเกรงใจเกินไปแล้ว ช่วงไม่กี่วันที่ข้าไม่อยู่ ข้าก็คิดถึงพวกเจ้าแทบแย่แล้วเช่นกัน!”
……
ผู้มีวาสนาคนแรกและคนที่สองหันไปสบตากัน ความตื่นเต้นในแววตายากที่จะปกปิด
เป็นอย่างที่คิด ท่านเซียนมีความประทับใจในตัวพวกเราสองคน
อย่างไรก็ดีคนหนึ่งเป็นผู้มีวาสนาคนแรกของท่านเซียน
ส่วนอีกคนยิ่งเป็นเจ้าคนน่ารักที่ชักชวนให้ผู้มีวาสนาทุกคนแบ่งผลประโยชน์ให้ท่านเซียน!
คนทั้งสองเป็นคนริเริ่มลัทธิปรมาจารย์เซียน และเป็นสมาชิกที่เก่าแก่ที่สุด
ท่านเซียนจะจำพวกเราไม่ได้ได้อย่างไร!
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่ท่านเซียนกล่าวว่าคิดถึงพวกเราแทบแย่แล้ว?
และบนใบหน้าก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ใจดีมีเมตตา!
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ในสายตาของท่านเซียน พวกเราสำคัญมาก!
ผู้มีวาสนาคนแรกกล่าวอย่างจริงจัง “ในช่วงไม่กี่วันที่ท่านเซียนไม่อยู่ พวกข้าคอยเฝ้าคำนึงถึงท่านโดยตลอด”
ผู้มีวาสนาคนที่สองก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน “ท่านเซียน ข้ายังตั้งป้ายอายุยืนให้ท่านไว้ในบ้านด้วย!”
ตั้งป้ายอายุยืนให้ข้าไว้ในบ้าน?
เช่นนั้นคงรบกวนเจ้าแย่แล้ว
……
เสิ่นเทียนลูบศีรษะของคนทั้งสองแล้วกล่าว “ดี ข้าได้รับความหวังดีจากพวกเจ้าแล้ว
บอกตามตรง วันนี้พวกเจ้าสองคนกับข้ายังคงมีวาสนาต่อกัน
อีกเดี๋ยวข้าจะช่วยพวกเจ้าค้นวิญญาณประเมินแร่”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเสิ่นเทียน บนใบหน้าของผู้มีวาสนาคนแรกและคนที่สองปรากฏให้เห็นความดีใจที่บ้าคลั่งทันที
ผู้มีวาสนาคนที่สองหันไปส่งสายตาไปให้ผู้มีวาสนาคนแรก
ความหมายของมันชัดเจนมาก “เห็นหรือไม่! ข้าว่าแล้ว! เชื่อข้าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแน่นอน!”
ส่วนผู้คนที่อยู่ด้านหลัง บนใบหน้าล้วนแต่เผยให้เห็นความอิจฉาริษยา
สมกับเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดในลัทธิ ความสามารถในการประจบสอพลอแข็งแกร่งจนน่าตกใจ
หากรู้เช่นนี้ เมื่อกี้ข้าคงจะไม่ลังเลและไม่รู้สึกอายแล้ว
เป็นอย่างที่คิด โชคลิขิตมีไว้ให้คนที่เตรียมตัวพร้อม
วาสนาต้องได้มาจากการหา!
……
นึกถึงตรงนี้ ผู้บำเพ็ญหญิงที่มีหน้าตาสวยงดงามคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสิ่นเทียน ขยิบตาอย่างเย้ายวน
นางยิ้มแล้วกล่าว “พี่เซียน ไม่ทราบว่าวันนี้ข้ากับท่านมีวาสนาต่อกันหรือไม่”
เสิ่นเทียนมองเหนือศีรษะของผู้บำเพ็ญหญิงแล้วส่ายศีรษะ
“วันนี้เจ้ากับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน วันหลังสามารถแวะไปดูที่แผงลอยของข้า”
“บางทีวันใดวันหนึ่งในวันข้างหน้า วาสนาอาจจะมาแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้บำเพ็ญหญิงแข็งทื่อทันที กระทืบเท้า “ท่านเซียน ท่าน…”
ผู้บำเพ็ญหญิงอับอายจนโมโห กำลังจะโต้แย้ง
ทว่าก่อนที่นางจะได้พูดอะไร กลับโดนคนที่อยู่ด้านข้างลากออกไปก่อน
“ไม่คิดจะกอดขาเลยด้วยซ้ำ ยังคิดจะมีวาสนา?”
“รีบหลบไปเถอะ! ข้างหลังยังมีคนรออยู่นะ!”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสิ่นเทียน
ชายฉกรรจ์คนนี้สวมชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวดำตัวใหญ่ ท่าทางราวกับหมี
บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าที่ดุร้าย แต่แววตาของเขาค่อยๆ ดูแน่วแน่ขึ้น
แต่ทว่าชายฉกรรจ์คนนั้นกลับนั่งยองลงบนพื้นอย่างเชื่องช้า มือทั้งคู่ยื่นไปกอดขาของเสิ่นเทียน
ท่าทางของเขามันดูทื่ออย่างเห็นได้ชัด!
เขาเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นเทียนด้วยสายตาที่น่าสงสาร “ท่านเซียน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ข้าสยงเหมิ่งก็คิดถึงท่านมากเช่นกัน!”
เสิ่นเทียน “???”
ฉินเกา “???”
เสี่ยวหลิงเซียน “???”
กุ้ยกงกง “???”
ผู้คนที่อยู่โดยรอบ “???”
วินาทีนี้ สายตาของทุกคนจ้องไปที่เสิ่นเทียนโดยไม่กะพริบตา
พวกเขาต้องการพิสูจน์เรื่องบางอย่าง
นั่นก็คือการกอดขาพึ่งใบบุญได้ผลจริงหรือไม่
……
เสิ่นเทียนไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้เขาก็พอมองออกว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่
บอกตามตรง เขาอยากบอกคนเหล่านี้ว่ากอดขาของเขาไม่มีประโยชน์
แม้ข้าช่วยพวกเจ้าค้นศิลา สามารถทำให้โชคของพวกเจ้าเพิ่มพูนขึ้น
แต่จะพบเจอโชคลิขิตใหม่เมื่อไหร่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ากอดขาของข้า
ทว่าสิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนคือบนเหนือศีรษะของผู้ชายที่ชื่อสยงเหมิ่งคนนี้มีโชคลิขิตอยู่จริง
บ้าไปแล้ว พวกเจ้าที่มีโชคลิขิตอยู่เหนือศีรษะเหล่านี้ตั้งกลุ่มกันมาหรือ
มากอดขาของข้าคนแล้วคนเล่า ไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้วหรือ
เช่นนี้ไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดหรอกหรือ!
หรือไม่บอกกับสยงเหมิ่งคนนี้ไปเลยว่าข้ากับเจ้าไม่มีวาสนาต่อกัน
เช่นนี้แล้วคนอื่นก็จะไม่เข้าใจผิดว่าแค่กอดขาก็สามารถแสวงหาวาสนาได้แล้ว
แต่พอก้มมองสายตาที่น่าสงสารของสยงเหมิ่ง เสิ่นเทียนก็เกิดความรู้สึกทำไม่ลง
อย่างไรก็ดีน้องชายคนนี้ท่าทางแลดูกำยำราวกับสามารถสยบทั่วหล้า แต่กลับยอมทิ้งศักดิ์ศรีมากอดขา
คนอื่นยอมปล่อยวางสถานะ เจ้ากลับทำลายความหวังของเขาอย่างไร้ความปรานี?
เช่นนี้ก็แลดูไร้น้ำใจเกินไป ไร้ยางอายเกินไป และไร้เหตุผลเกินไปแล้วกระมัง!
หากเขารู้สึกอับอายจนโกรธ สู้ตายกับเจ้าจะทำอย่างไร
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เสิ่นเทียนกล่าวอย่างหมดหนทาง
“ลุกขึ้นเถอะน้องชาย เจ้าและข้าก็มีวาสนาต่อกัน”
ทันใดนั้น สยงเหมิ่งดีใจจนออกหน้าออกตาทันที “ฮ่าๆๆๆๆ!”
“ขอบคุณท่านเซียน หากข้าเปิดได้ศิลาวิญญาณ จะตั้งป้ายอายุยืนให้ท่านเซียนเช่นกัน!”
เสิ่นเทียน “…”
เสิ่นเทียน “เจ้าถอยไปก่อนเถอะ!”
สยงเหมิ่งถอยไปด้านข้าง ทันใดนั้นทุกคนมองไปที่ต้นขาของเสิ่นเทียน
ถึงขั้นมีผู้บำเพ็ญหญิงบางคนใช้สายตาเจ้าเล่ห์จ้องไปที่ขาที่สามของเสิ่นเทียน
ทันใดนั้น หนังศีรษะเสิ่นเทียนชาไปหมด
หากคนเหล่านี้กรูกันเข้ามาพร้อมกัน แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว
……
“หยุด!!!”
เสิ่นเทียนรีบตะโกนเสียงดัง “คนที่หนึ่งสองได้ แต่ห้ามมีคนที่สามสี่!”
“พวกเจ้าห้ามกอดขาของข้าอีก ไม่เช่นนั้นข้ากับทุกคนไม่มีวาสนาต่อกัน!”
ทันใดนั้น เดิมทีพวกคนที่กำลังคิดจะเข้าไปลองกอดขาก็ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าอีกแล้ว
คำพูดของเสิ่นเทียนเป็นดั่งเสียงฟ้าผ่าในวันที่ท้องฟ้าสดใส ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
หากรู้แต่แรกว่าท่านเซียนจะสานวาสนาต่อกับสามคนแรกที่เข้าไปกอดขา เมื่อกี้ควรจะพุ่งเข้าไป!
เป็นเพราะไม่สามารถปล่อยวางศักดิ์ศรี ปรากฏว่าเสียโอกาสที่จะได้สานวาสนากับท่านเซียน
ครั้งนี้เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของข้า!
เฮ้อ เคยมีต้นขาคู่หนึ่งของท่านเซียนวางอยู่ตรงหน้าข้า แต่ข้าไม่คว้ามันเอาไว้
จนกระทั่งมาถึงตอนที่สูญเสีย เพิ่งจะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว
นี่คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดบนโลกใบนี้
หากสวรรค์ให้โอกาสข้าได้เริ่มใหม่อีกครั้ง
ข้าจะกอดขาท่านเซียนให้แน่น กล่าวกับเขาเจ็ดคำ “ท่านเซียน ข้าคิดถึงท่านมาก!”
……
เห็นสีหน้าที่เศร้าหมองของทุกคน เสิ่นเทียนกล่าวอย่างหมดหนทาง “ทุกคนไม่ต้องเสียใจไป”
“แม้วันนี้ข้าไร้วาสนากับพวกเจ้า แต่วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล”
“ขอเพียงวันหลังแวะเวียนมาที่แผงของข้า วาสนาจะปรากฏแน่นอน”
หลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นเทียน อารมณ์ของทุกคนดีขึ้นเล็กน้อย
ผู้มีวาสนาคนที่สองที่ถอยไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีชัย
เขามองไปทางผู้มีวาสนาคนแรกและสยงเหมิ่ง ยิ้มแล้วกล่าว “สหายพวกเจ้าดู ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่!
“เรื่องประจบสอพลอท่านเซียนเช่นนี้จำเป็นต้องเร็ว สองสามคนแรกยังสามารถทำให้ท่านเซียนพึงพอใจ แต่คนที่อยู่ข้างหลังทำไม่ได้แล้ว”
“การเอาอกเอาใจเซียน ก็ต้องเน้นมีแนวคิดใหม่ๆ ด้วย!”
ผู้มีวาสนาคนแรกกล่าวด้วยสีหน้าที่เลื่อมใส “พี่ชายสมกับที่เคยบำเพ็ญอยู่ในสถานฝึกเซียน มีความรู้มากกว่าพวกเราเยอะ”
“จากนี้ไปน้องชายขอทำตามท่านทุกอย่าง หวังว่าพี่ชายจะช่วยสอนเรื่องควรจะประจบท่านเซียนอย่างไร”
อีกด้านหนึ่ง สยงเหมิ่งเกาศีรษะ
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ข้าก็เช่นกัน!”
………………………………………………