บทที่ 7 วิธียกระดับดวงชะตา
เสิ่นเทียนไม่รู้ความคิดที่มีอยู่มากมายภายในใจของฉินเกา
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวเสริมว่า “อีกอย่างนะลุงกุ้ย กลับไปแล้วคัดลอกบทหลอมปราณของ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ หนึ่งฉบับ แล้วมอบให้ฉินเกานำไปฝึกฝน”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
กุ้ยกงกงไม่ได้มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด ในมุมมองของเขา ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ เดิมทีก็เป็นขององค์ชายอยู่แล้ว
เขาฝึกฝน ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ ทั้งหมดก็เพียงเพื่อหลังจากที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว จะสามารถปกป้ององค์ชายได้ดียิ่งขึ้น
ในเมื่อองค์ชายยินดีมอบเคล็ดวิชาให้ฉินเกา เขาย่อมไม่มีทางตั้งคำถามต่อองค์ชาย
“แล้วอีกอย่าง ท่านไปเตรียมห้องให้เสี่ยวเกาที่เขตเรือนหนึ่งห้องก็แล้วกัน!”
เสิ่นเทียนกล่าวจบ ก็เตรียมตัวหันหลังเดินจากไป
ในความคิดของเขา เดิมทีคัมภีร์มารสู่สุริยันเป็นโชคลิขิตของฉินเกาอยู่แล้ว แม้เขาไม่ให้ ในอนาคตฉินเกาก็ต้องพบโชคลิขิตอย่างอื่นอยู่ดี
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่สู้ช่วยแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุด ถือโอกาสสร้างน้ำใจโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงไปด้วย
เช่นนี้หากในอนาคตถ้าฉินเการุ่งโรจน์ขึ้นมาจริง ตนเองก็จะมีสหายที่ยอดเยี่ยมเพิ่มขึ้นอีกคน สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้
……
ความคิดของเสิ่นเทียนเรียบง่ายมาก แต่ทันทีที่เขากล่าวคำพูดประโยคนี้จบ
เรื่องอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น!
เสิ่นเทียนรู้สึกว่าร่างกายของตนเองเบาหวิวในทันใด ราวกับได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการที่มองไม่เห็น
ความรู้สึกเช่นนั้นลึกลับซับซ้อน แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนจริงมาก
ทันใดนั้นราวกับเขานึกอะไรขึ้นได้ รีบหันกลับไปมองทางฉินเกา
เขาเห็นว่าวงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของฉินเกาเปลี่ยนไป จุดแสงสีเขียวที่ปะปนอยู่ก่อนหน้านี้หายไปอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นสีแดงวาววับทั้งหมด
เป็นเช่นเดียวกับครั้งแรกที่ได้พบกัน
เสิ่นเทียนหยิบกระจกออกมาจากในอกเสื้อ และมองวงรัศมีเหนือศีรษะของตนเองอย่างละเอียด
ถึงแม้ยังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม แต่ไอมืดมนด้านบนจางลงไปไม่น้อย แลดูไม่เลวร้ายขนาดนั้นอีก
‘หรือว่าเป็นเพราะข้าคืนโชคลิขิตให้ฉินเกา ไม่ก็เพราะข้าได้รับส่วนแบ่งโชคลิขิตกับฉินเกาด้วย?’
เสิ่นเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจลองพิสูจน์
เขาจ้องวงรัศมีเหนือศีรษะของฉินเกา กล่าวอย่างกะทันหันว่า “ช่างเถอะลุงกุ้ย ไม่ต้องถ่ายทอดคัมภีร์มารสู่สุริยันให้แล้ว”
ทันทีที่เขากล่าวจบ ก็เกิดความรู้สึกว่าทั่วร่างหนักเล็กน้อย
ส่วนวงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของฉินเกากลับมาสลัวลงอีกครั้ง และเปล่งแสงสีเขียวเป็นจุดๆ ออกมา
ลุงกุ้ยพยักหน้า “ได้พ่ะย่ะค่ะ”
แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายจึงเปลี่ยนใจ แต่ทุกสิ่งที่องค์ชายตัดสินใจ ต้องเป็นสิ่งที่ถูกแล้วแน่นอน
ลุงกุ้ยไม่มีทางตั้งข้อสงสัยเด็ดขาด
รอจนกระทั่งสีของวงรัศมีคงที่ เสิ่นเทียนถึงกล่าวอีกครั้ง “ข้ามาคิดดูแล้ว ถ่ายทอดให้ดีกว่า!”
เขาเพิ่งกล่าวจบ วงรัศมีเหนือศีรษะของฉินเกาก็เปล่งประกายเจิดจรัสขึ้นอีกครั้ง จุดแสงสีเขียวหายไปจนหมด
ทันใดนั้น เสิ่นเทียนตื่นเต้นอย่างยิ่ง
การคาดเดาของเขาถูกต้อง!
เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย!
……
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ลุงกุ้ยที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเริ่มรู้สึกจนปัญญา
ถึงแม้การว่าร้ายองค์ชายเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเท่าไร แต่การที่องค์ชายไปหยอกล้อขันทีน้อยเช่นนี้
มันสมควรแล้วจริงหรือ
ในเวลานั้นเอง ฉินเกากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “หรือไม่ก็ ไม่ต้องถ่ายทอดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวตามจริง ฉินเการู้สึกกลัวเล็กน้อย
องค์ชายสิบสามมีพระเมตตาต่อเขามากเกินไป ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเขา ยังอนุญาตให้เขาอาศัยอยู่ในตำหนักใจพิสุทธิ์ และยังให้เขาไม่ต้องทำงาน
ตอนนี้ ยังจะถ่ายทอด ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ อะไรนั่นให้ตนเองอีก
ฉินเกาไม่รู้ว่าคัมภีร์มารสู่สุริยันคือสิ่งใด แต่สามารถทำให้องค์ชายสิบสามรู้สึกลังเลและอาลัยอาวรณ์ได้ จะต้องไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไม่แน่มันอาจจะเป็นมรดกตกทอดน่าทึ่งที่ล้ำค่าควรเมืองก็เป็นไปได้
สิ่งที่เขาติดค้างองค์ชายมากพอแล้ว ถ้าหากยอมรับ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ อะไรนั่นอีก ไม่รู้จะตอบแทนคุณอย่างไร
ไม่มีสิ่งใดสามารถนำมาตอบแทนคุณได้หมด!
หลังจากฉินเกากล่าวจบ วงรัศมีเหนือศีรษะของเขาเปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงมีจุดสีเขียวปะปนอีกครั้ง
เสิ่นเทียนเริ่มไม่สบอารมณ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กว่าเขาจะค้นพบวิธีเปลี่ยนดวงชะตาให้ดีขึ้นได้
จะยอมให้ฉินเกามาทำลายแผนการใหญ่ของตนเองได้อย่างไร
มีเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า!
“ถ่ายทอด จำเป็นต้องถ่ายทอด!”
เสิ่นเทียนพูดอย่างหนักแน่น “ไม่เพียงแต่จะถ่ายทอดบทหลอมปราณให้กับเจ้า แม้กระทั่งบทสร้างฐาน บทแก่นพลังทองและบทดวงจิตดรุณ ข้าก็จะถ่ายทอดให้เจ้าทั้งหมด!”
“องค์ชาย บ่าว…”
“ข้าเป็นคนช่วยชีวิตของเจ้ากลับมา ห้ามปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นข้าเอาเจ้าตายแน่!”
เมื่อเสิ่นเทียนกล่าวอย่างเผด็จการจนจบ วงรัศมีเหนือศีรษะของฉินเกาพลันระเบิดแสงอันร้อนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่เพียงสีที่ปะปนจะหายไป แต่ยังสว่างแวววาวขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก
ถึงขั้นมีเส้นแสงสีทองจางๆ ปรากฏให้เห็นตรงตำแหน่งขอบของวงรัศมี ดูไปแล้วให้ความรู้สึกสูงส่งมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน เสิ่นเทียนพบสิ่งที่น่าตกใจ วงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของกุ้ยกงกงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
จากเดิมทีที่เป็นสีเขียวอ่อน ก็กลายเป็นสีเขียวเข้มอย่างรวดเร็ว
แสงสีเขียวรุ่งโรจน์ เขียวจนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เขียวจนทำให้ตกอยู่ในภวังค์
อีกทั้งตรงขอบยังมีเส้นแสงสีแดงปรากฏให้เห็นรางๆ ราวกับถอดแบบมาจากวงรัศมีของฉินเกา
‘วงรัศมียกระดับ? หรือว่านี่ถึงจะเป็นวิธีการเพิ่มระดับดวงชะตาที่ถูกต้อง
แบ่งปันโชคลิขิตกับบุคคลที่มีโชคอันประเสริฐ จะสามารถยกระดับดวงชะตาของเขาให้สูงขึ้น ดวงชะตาของข้าก็ยกระดับสูงขึ้นเช่นกัน แม้กระทั่งดวงชะตาของกุ้ยกงกงก็ยกระดับสูงขึ้นได้?’
เสิ่นเทียนรีบหยิบกระจกขึ้นมา พบว่าสีของวงรัศมีเหนือศีรษะตนเองจางลงไม่น้อย
แม้ดูจากโดยรวมยังคงเป็นสีดำสนิท แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว
อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เสิ่นเทียนเกิดความรู้สึกว่าแค่เดินออกจากประตูก็จะถูกฟ้าผ่าตายอีก
หมกมุ่นมาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็ค้นพบความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
ชั่วขณะนั้น เสิ่นเทียนซาบซึ้งจนน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มคลอเบ้า!
……
อีกด้านหนึ่ง ฉินเกาสังเกตเห็นเสิ่นเทียนน้ำตาคลอเบ้า ก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
“องค์ชายท่านไม่ต้องร้อง ข้าจะฝึก ข้าจะฝึกแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ!”
‘องค์ชายสิบสามมีสถานะสูงศักดิ์ ข้าจะกลายเป็นชายที่ทำให้องค์ชายหลั่งน้ำตาได้อย่างไร
ก็แค่คัมภีร์มารเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไรเองไม่ใช่หรือ!
องค์ชายช่วยชีวิตของข้า ข้าไม่กลัวแม้กระทั่งตายแทนองค์ชาย ยังต้องกลัวการฝึกวรยุทธ์อีกหรือ
ชั่วขณะนั้น ฉินเกาเกิดความรู้สึกองอาจห้าวหาญอย่าง ‘บุรุษที่ยอมตายเพื่อคนสนิท’
“อืม เช่นนี้พอได้แล้ว อีกอย่าง ข้าไม่ได้ร้องไห้ มันคือความตื่นเต้น ความตื่นเต้น!”
เสิ่นเทียนกลอกตา “ลุงกุ้ย พาเขาไปเถอะ!”
ลุงกุ้ยพยักหน้า “ถูกต้อง องค์ชายกำลังตื่นเต้น ตื่นเต้น ไม่ได้ร้องไห้ บ่าวจะพาเขาไปจัดแจงเดี๋ยวนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้เขา”
ขณะมองดูกุ้ยกงกงและฉินเกาเดินจากไป เสิ่นเทียนเช็ดน้ำตา เริ่มครุ่นคิดหนทางต่อจากนี้
……
การฝึกบำเพ็ญในตอนนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เสิ่นเทียนไม่มีทางแตะต้องวิชายุทธ์ฝึกบำเพ็ญอะไรทั้งสิ้น จนกว่าวงรัศมีจะกลายเป็นสีขาวอย่างสมบูรณ์
ถึงอย่างไรประสบการณ์อันน่าเศร้าของเจ้าของร่างคนก่อนก็ยังตราตรึงอยู่ในสายตาของเขา!
ยามนี้เสิ่นเทียนพบวิธีเปลี่ยนดวงชะตาให้ดีขึ้นขั้นแรกแล้ว เป้าหมายต่อจากนี้คือทำตามขั้นตอนทีละขั้น ใช้ประโยชน์จากโชคลิขิตของผู้มีโชคอันประเสริฐให้มากขึ้นอีกหลายคน
หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ คิดว่าเขาน่าจะสามารถชำระล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ กลับมาเป็นคนธรรมดาอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว
‘ไปหาผู้มีโชคอันประเสริฐจากไหนล่ะ!’
เสิ่นเทียนครุ่นคิด
ตามหลักแล้วผู้มีโชคอันประเสริฐล้วนแต่เป็นคนเหนือคน
ในพระราชวังอาณาจักรต้าเหยียน พวกคนที่มีตำแหน่งสูงก็มักจะมีโชคชะตาที่ค่อนข้างสูงด้วย
อย่างเช่นองค์ชายหกเสิ่นเอ้า มีพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญเซียนที่น่าตกใจ อีกทั้งขาข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่แดนเทวาดาวประกายพรึกเป็นที่เรียบร้อย แค่ดูก็รู้ว่ามีโชคชะตาที่ดีมากอย่างแน่นอน
เสิ่นเทียนแทบจะมั่นใจได้เลยว่า อย่างน้อยวงรัศมีโชคชะตาของเสิ่นเอ้าก็น่าจะเป็นสีเขียวที่มีสีแดงปะปน
หรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นสีแดงที่มีสีเขียวแซมอยู่!
ถ้าหากสามารถเฝ้าดูเสิ่นเอ้าในระยะยาว รอจนกระทั่งโชคลิขิตของเขาปรากฏแล้วแบ่งประโยชน์จากเขา เสิ่นเทียนเชื่อว่าดวงชะตาของตนเองจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากแน่
แต่ปัญหาคือ ดูเหมือนเสิ่นเอ้าไม่ต้อนรับเขาเสียเท่าไร
หรือกล่าวอีกอย่างคือในพระราชวังอาณาจักรต้าเหยียน ดูเหมือนเสิ่นเทียนจะไม่เป็นที่ต้อนรับสำหรับพวกคนระดับสูงที่ค่อนข้างมีโชควาสนา
คนเหล่านั้นไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งเหมือนขันทีน้อยเหล่านี้ พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงไม่พบหน้าเสิ่นเทียน
แม้กระทั่งพบหน้าก็ไม่อาจทำได้ ยังคิดจะจ้องเอาโชคลิขิตของพวกเขาอีก
จะเป็นไปได้อย่างไร
‘เหมือนเดินอยู่บนทางตัน ไม่ง่ายเลย!’
ตกลงควรจะไปหาบุคคลที่มีโชควาสนาและในขณะเดียวกันก็ยินดีจะเข้าใกล้เขาได้จากที่ไหนล่ะ!
ชั่วขณะนั้น เสิ่นเทียนจมอยู่ในภวังค์ความคิด
…………………………………………