บทที่ 9 เสี่ยวหลิงเซียนงามหยาดเยิ้มล่มชาติล่มเมือง
เสิ่นเทียนจ้องเสี่ยวหลิงเซียน เขาอยากรู้ว่าตกลงเด็กสาวคนนี้มีความพิเศษตรงไหน
“องค์ชาย ท่านสนใจนางหรือ”
กุ้ยกงกงกล่าวเสนอความคิดเห็น “หรือไม่ก็รับนางเข้าวังไปเลย! ถ้าพระสนมหลานรู้ว่าฝ่าบาทกำลังจะรับนางสนม จะต้องยิ้มร่าทั่วแดนปรโลกอย่างแน่นอน”
ฉินเกาก็พยักหน้าเช่นกัน “ถูกต้อง แม่นางเสี่ยวหลิงเซียนผู้นี้งามหยาดเยิ้มล่มชาติล่มเมือง เหมาะสมกับฝ่าบาทยิ่งนัก”
เห็นสีหน้าที่จดจ่อของเสิ่นเทียน ฉินเการีบเสนอความคิดเห็นทันที
ปัจจุบันฉินเกาเริ่มฝึกบำเพ็ญ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ แล้ว และการฝึกก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วอีกด้วย
หลังจากที่ได้ฝึกบำเพ็ญเซียน ฉินเกายิ่งเข้าใจถึงความล้ำค่าและความน่ากลัวของวิชามารแขนงนี้มากขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ฝ่าบาทช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ และยังถ่ายทอดคัมภีร์เซียนที่น่าทึ่งเช่นนี้ให้เขา บุญคุณใหญ่หลวงยิ่งนัก ไม่สามารถตอบแทนหมด
ถ้าหากฝ่าบาทสั่งให้บ่าวถวายร่างกายเป็นการตอบแทน บ่าวควรจะทำเช่นไรดี!
เพราะเหตุนี้ฉินเกาจึงหวังอย่างยิ่งว่า เสิ่นเทียนจะสามารถหันเหความสนใจไปที่ตัวของเสี่ยวหลิงเซียน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะดีต่อทุกฝ่าย
แน่นอน เสิ่นเทียนไม่รู้ความคิดที่อยู่ในใจฉินเกา
ถ้าหากรู้เข้า จะต้องเอาเขาตายอย่างแน่นอน
โดยที่ไม่สนว่าเขาคือบุตรแห่งโชคชะตาหรือไม่!
……
ตอนนี้ ตรงหน้าประตูร้านวิญญาณสวรรค์อัดแน่นไปด้วยผู้คน
เสิ่นเทียนและพวกทั้งสามเบียดเสียดอยู่ในฝูงชนด้วยความยากลำบาก สุดท้ายจึงต้องหยิบแท่งเงินออกมาจ่าย ถึงได้ตำแหน่งที่ดีมา และได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเสี่ยวหลิงเซียน
ถ้าหากบอกว่ามองแผ่นหลังของเสี่ยวหลิงเซียนแล้วทำให้รู้สึกคิดจินตนาการเพ้อฝันไปไกลแล้วล่ะก็
เช่นนั้นแล้ว ความงามเบื้องหน้าของนางก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความรู้สึกละอายใจ และไม่กล้ามีความคิดดูหมิ่นผุดขึ้นในใจแม้แต่น้อย
นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวคราม ผ้าคาดเอวทำให้เกิดเป็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้รูป
สง่าพริ้วบางไร้ที่ติ ราวกับเทพธิดาสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์
ส่วนรูปลักษณ์ยิ่งงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง ราวกับเป็นผลงานชิ้นเอกที่วิจิตรตระการตาของเทพเจ้า
ครั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ครั้นขมวดคิ้วบาง แม้แต่ความว่างเปล่าที่อยู่โดยรอบราวกับกำลังเปล่งแสง
รูปลักษณ์ของแม่นางผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าเสิ่นเทียนเลย!
……
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ต้องการพบเสี่ยวหลิงเซียน
ก็อย่างเช่น เถ้าแก่ซ่งแห่งร้านร้านวิญญาณสวรรค์!
“เทพธิดา เหตุใดเจ้าจึงมาอีกแล้วเล่า”
เถ้าแก่ซ่งสังเกตเห็นเสี่ยวหลิงเซียน รอยยิ้มของเขาดูน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ “ ‘กระถางหยกวิจิตร’ ที่เจ้าเปิดออกมาเมื่อครั้งก่อน ถึงกับทำให้ข้าต้องปวดใจไปครึ่งเดือนเต็มเลยเชียว!”
เสี่ยวหลิงเซียนยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มของนางทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตกอยู่ในภวังค์
“ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ซ่งเพิ่งนำเข้าของดีมาชุดหนึ่ง หลินเอ๋อร์ตั้งใจแวะมาดูโดยเฉพาะ”
“ซุ้มแร่วิญญาณเปิดประตู หมายความว่าเปิดทำการค้าขาย ทำไม เถ้าแก่ซ่งไม่ต้อนรับข้าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่กล้า ไม่กล้า ขอแค่เทพธิดาปรานีข้าก็พอ”
เถ้าแก่ซ่งปาดเหงื่อ ในสวนหมื่นวิญญาณแห่งนี้มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าล่วงเกินเสี่ยวหลิงเซียน
ถ้าหากตนเองไม่อนุญาตให้เสี่ยวหลินเซียนเข้าประตู บรรดาผู้คลั่งไคล้นางจะไม่พังร้านของเขาหรอกหรือ
เสี่ยวหลิงเซียนเดินเข้าไปในร้านร้านวิญญาณสวรรค์อย่างใจเย็น สายตากำลังมองหินแร่วิญญาณเรียงเป็นแถวที่วางอยู่บนชั้นวางไปมา
ในดวงตาทั้งคู่มีประกายแสงสีทองจางๆ แลบผ่าน
ทันใดนั้น มีเสียงอุทานดังขึ้นจากฝูงชนอย่างต่อเนื่อง
“ดวงตาเจิดจรัสแสงสีทอง หรือว่านี่จะเป็นทักษะขั้นสูงในหมู่นักชีพจรวิญญาณขั้นกลางจนถึงขั้นสูง—เนตรทองทะลวงชีพจร”
“ตามตำนานเล่ากันว่าหลังจากฝึกเนตรทองทะลวงชีพจรสำเร็จ สามารถอ่านแร่วิญญาณทั่วหล้าไม่ต่างกับการมองไฟโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง ถูกยกย่องให้เป็นวิชาที่ไร้คู่ต่อกร”
“สามารถฝึกทักษะนี้ได้สำเร็จในอายุเพียงสิบหก สมกับที่เป็นเสี่ยวหลิงเซียน!”
……
เมื่อได้ยินเสียงอุทานจากคนรอบข้าง เสิ่นเทียนเริ่มครุ่นคิด
เป็นเพราะเสี่ยวหลิงเซียนเปิดแร่โดยอาศัยความสามารถของตนเองทั้งหมด ไม่เหมือนกับคนอื่นที่เสี่ยงโชค ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเห็นโชคลิขิตอย่างนั้นหรือ
แต่ถ้าอธิบายแบบนี้ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเสียเท่าไหร่!
ในใจของเสิ่นเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย เขาจ้องเสี่ยวหลิงเซียนตาเขม็ง
ไม่นาน เสี่ยวหลิงเซียนก็ค้นพบหินแร่วิญญาณที่ถูกใจตนเองในร้านร้านวิญญาณสวรรค์
“ข้าเลือกเสร็จแล้ว เอาก้อนนี้ก็แล้วกัน!”
นั่นเป็นหินแร่ที่มีขนาดใหญ่ประมาณศีรษะของมนุษย์ สีสันดูมัวหมองไม่มีความเป็นประกาย ถึงขั้นไม่ได้ถูกวางอยู่บนชั้นวางเลยด้วยซ้ำ
ป้ายราคาที่ถูกวางอยู่ข้างหน้าคือศิลาวิญญาณสิบห้าก้อน แลกเป็นตำลึงเงินก็เท่ากับหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง
ถูกมาก
“ก้อนนี้…”
เถ้าแก่ซ่งเห็นเสี่ยวหลิงเซียนตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ในใจรู้สึกตื่นตระหนกไปชั่วครู่
เลือกก้อนใหญ่เช่นนี้เชียว?!
ทว่าขณะนี้ เสี่ยวหลิงเซียนได้หยิบศิลาวิญญาณสิบห้าก้อนออกมาจากถุงเงินวางลงบนชั้นจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นางยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “เมื่อผ่านการเลือก สินค้าและเงินแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น ไม่ว่าขาดทุนหรือได้กำไร ไม่คืนไม่เปลี่ยน เถ้าแก่ซ่งจะกลับคำไม่ได้เด็ดขาด!”
“เฮ้อ ก็ได้!”
เถ้าแก่ซ่งถอนหายใจ ราวกับรู้แล้วว่าวันนี้ต้องขาดทุนเลือดสาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“นางฟ้าจะเป็นคนเปิดเองหรือว่าให้ข้าสั่งคนมาช่วยเปิดแทน”
……
ในซุ้มแร่วิญญาณ การเปิดหินก็เป็นงานฝีมือแขนงหนึ่งเช่นกัน
หินแร่วิญญาณหนึ่งก้อนที่เหมือนกัน หากเปิดดีสามารถรักษาพลังวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ จะสามารถขายออกไปในราคาที่ดีที่สุด
แต่ถ้าหากเปิดไม่ดี อาจจะทำให้พื้นเพเดิมของศิลาวิญญาณได้รับความเสียหาย
ส่งผลให้พลังวิญญาณรั่วไหลสู่โลกภายนอก ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน เมื่อเป็นเช่นนั้นราคาก็จะตกลงอย่างมาก
เพราะเหตุนี้ ในซุ้มวิญญาณจึงมีการจัดนักผ่าหินมืออาชีพเพื่อช่วยผู้ซื้อเปิดหิน
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การบริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าหากเปิดออกมาเป็นศิลาวิญญาณที่มีมูลค่า ทางซุ้มแร่วิญญาณจำเป็นต้องเรียกเก็บร้อยละสิบของกำไร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดหิน
นี่เป็นหนึ่งในรายได้หลักของซุ้มแร่วิญญาณ
ผู้ซื้อสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่ทางร้านไม่มีวันขาดทุน
เสี่ยวหลิงเซียนเก็บถุงเงินแล้วกล่าว “เถ้าแก่ซ่งรู้กฎของหลิงเอ๋อร์ ที่ผ่านมามีแต่เลือกไม่เคยเปิด”
ได้ยินว่าเสี่ยวหลิงเซียนไม่คิดจะเปิดแร่ด้วยตนเอง สีหน้าของเถ้าแก่ซ่งดูดีขึ้นมาไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม สินค้าถูกวางอยู่ภายในร้าน ในไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องขายออกไปอยู่ดี ขายให้ใครมันก็เป็นการขายทั้งนั้น
ขายให้เสี่ยวหลิงเซียน อย่างน้อยตนเองก็สามารถเรียกเก็บร้อยละสิบของผลประโยชน์
“เทพธิดาโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบสั่งให้นักผ่าหินที่ฝีมือดีที่สุดในร้านมาเปิดแร่ให้เจ้าเอง”
ไม่นาน ชั้นผิวของหินถูกลอกออกมาทีละชิ้นอย่างระมัดระวัง
ตอนที่ขนาดของหินแร่มีความใหญ่เท่ากับกำปั้น มีแสงสีเขียวที่เป็นใยจำนวนมากแผ่ออกมาจากพื้นผิวของหิน
สีสันค่อนข้างสมบูรณ์ แลดูให้ความรู้สึกที่สบายตาอย่างมาก
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!”
“เสี่ยวหลิงเซียนสมกับที่เป็นเสี่ยวหลิงเซียน ศิลาวิญญาณเนื้อหยาบที่มีขนาดเท่ากำปั้น อย่างน้อยก็ต้องสามารถแบ่งตัดศิลาวิญญาณได้หนึ่งร้อยก้อนมั้ง!”
“เจ้าจะไปรู้อะไร ศิลาวิญญาณเนื้อหยาบที่มีขนาดเท่ากำปั้น ไม่แน่ด้านในอาจจะมีผลึกวิญญาณก็เป็นได้!”
“ถ้าหากเป็นผลึกวิญญาณจริง หนึ่งก้อนสามารถมีค่าเท่ากับหนึ่งหมื่นวิญญาณเลยมั้ง!”
“น่าอิจฉายิ่งนัก!”
……
ในที่สุดผิวของหินก็ถูกจัดการจนสะอาด
ศิลาวิญญาณเนื้อหยาบสีเขียวโปร่งใสทั้งชิ้นราวกับหยกปรากฏขึ้นต่อหน้าสายตาของทุกคน
ตรงส่วนกลางของศิลาวิญญาณเนื้อหยาบ สามารถมองเห็นผลึกแก้วที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวกำลังเปล่งแสงจางๆ
ผลึกวิญญาณ ผลึกวิญญาณจริงๆ ด้วย!
เถ้าแก่ซ่งทำหน้าเหมือนกับคนจะร้องไห้ “ดูเหมือนในศิลาวิญญาณเนื้อหยาบก้อนนี้มีตัวอ่อนของผลึกวิญญาณเกิดขึ้น คาดว่าน่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณแปดร้อยถึงหนึ่งพันสองร้อยศิลาวิญญาณ”
เสี่ยวหลิงเซียนยิ้มเล็กน้อย “ขายให้เถ้าแก่ซ่งในราคาแปดร้อยก้อนศิลาวิญญาณก็พอ!”
บนใบหน้าของเถ้าแก่ซ่งเต็มไปด้วยความดีใจทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่เก็บเงินค่าเปิดหินก็แล้วกัน เทพธิดา โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเอาเงินก่อน”
“สมกับที่เป็นเสี่ยวหลิงเซียน ใจกว้างยิ่งนัก”
“เถ้าแก่ซ่งเจ้าพอใจเสียเถอะ! ให้เสี่ยวหลิงเซียนเป็นคนเลือก ท่านยังสามารถได้กำไรศิลาวิญญาณสี่ห้าร้อยก้อน”
“ใช่แล้ว มีแต่เสี่ยวหลิงเซียนของเราเท่านั้นแหละที่คุยง่ายเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ท่านจะไม่ได้กำไรแม้แต่ศิลาวิญญาณครึ่งก้อน!”
“เสี่ยวหลิงเซียนของเจ้าอะไร เจ้ากำลังฝันเฟื่องอยู่หรือ!”
“ทำไม เจ้ามองอะไร อยากมีเรื่องหรือ”
……
บรรยากาศเริ่มดุเดือดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนเสี่ยวหลิงเซียนดูท่าทางสงบนิ่งตั้งแต่เริ่มจนจบ
ราวกับแม้ศิลาวิญญาณร้อยก้อนอยู่ในมือ ก็ไม่มีทางทำให้นางเกิดอารมณ์หวั่นไหวแม้แต่น้อย
เหนือทุกสรรพสิ่งราวกับเทพธิดา
“เถ้าแก่ซ่งทำการค้าขายอย่างจริงใจ ครั้งต่อไปหลิงเอ๋อร์จะมาอีกแน่นอน”
เห็นสีหน้าที่เจื่อนลงอีกครั้งของเถ้าแก่ซ่ง เสี่ยวหลิงเซียนขมิบปากแล้วยิ้มเล็กน้อย
“อีกอย่าง สินค้าที่เถ้าแก่ซ่งนำเข้ามารอบนี้มีของดีอยู่ไม่น้อยเลยนะ! ”
หันหลังกลับ เสี่ยวหลิงเซียนเดินจากไปอย่างเชื่องช้า “หลินเอ๋อร์เคยสาบานจะเปิดหินแค่วันละก้อน วันนี้จะไม่เปิดอีก”
“สหายทุกท่านถ้าหากสนใจ สามารถลองไปเสี่ยงโชคดู บางทีอาจจะพบเจอโชคลิขิตอันประเสริฐ!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เสี่ยวหลิงเซียนได้หายลับตาไปจากสายตาของผู้คนแล้วอย่างเชื่องช้า
สะบัดแขนเสื้อโบกลาโดยไม่นำสิ่งของไปด้วยแม้แต่สิ่งเดียว
……………………………………….