ตอนที่ 378 กระดานหมากหยก
เซียงฉือพอได้ยินคำพูดของหรงจิงก็ยิ้มน้อยๆ ขณะที่ก้มหน้าอยู่ แล้วเก็บรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว นางกัดริมฝีปากมองดูหรงจิง แล้วทำความเคารพอย่างสงบ
“ฝ่าบาท ดึกมากแล้ว หม่อมฉันขอทูลลาออกไปก่อนนะเพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปทางนอกตำหนัก ส่วนหรงจิงในขณะนั้นก็ไม่ได้รั้งนางไว้ เขาหมุนกายลงนอนแล้วห่มผ้าผ่ม
ดวงตาเย็นเยือกที่แหงนมองด้านบนเตียงค่อยๆ ปิดลง
คืนนี้คนทั้งสองต่างนอนไม่หลับ เซียงฉือเพราะความกลัวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ส่วนหรงจิงนั้นหนาวเหน็บออกมาจากใจ
เขาเป็นถึงฮ่องเต้แต่ไม่กล้าเข้าใกล้หญิงที่ตนพึงใจ เพียงเพื่อความปลอดภัยของนาง
ตอนนี้หรงจิงเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้จึงได้โดดเดี่ยว นั่นเพราะเขาจำเป็นต้องเก็บตัวเองไว้บนหอคอยงาช้าง ไม่อาจแสดงออกทั้งในสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ
ฮ่องเต้ควรที่จะสูงส่งลึกล้ำสุดประมาณ การเคลื่อนไหวของเขาในสายตาของผู้มีเจตนาร้าย จะกลายเป็นคมมีดที่จะจู่โจมคนที่เขาทะนุถนอม
เขารู้และเข้าใจมาตั้งแต่เล็กแล้วว่า การอยู่ในวังนั้น เขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องโดดเดี่ยว
ผ่านไปหนึ่งคืนราวกับไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะพอเริ่มเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ก็เป็นเหมือนดั่งวันปกติ เพียงแต่ห่างเหินกันไปกว่าเดิมบ้าง
เซียงฉือยังคงเป็นข้าราชสำนักสตรีที่หรงจิงรักและเชื่อถือ นางทำงานอย่างละเอียดรอบคอบและนอบน้อม และมักจะสร้างความสะดวกสบายยิ่งขึ้นให้หรงจิงได้อย่างเหมาะเจาะ แต่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ลดน้อยลงเป็นอันมาก
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ความร้อนในหน้าร้อนกำลังค่อยๆ ผ่านไป ยามเช้าและค่ำของนครอวิ๋นหยางเมืองหลวงแห่งนี้เริ่มรู้สึกได้ถึงความหนาวแห่งสารทฤดู เพียงพริบตาเดียวเดือนเก้าก็ผ่านไปเกือบครึ่งแล้ว ถึงแม้ช่วงกลางวันอากาศยังคงร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง แต่ลมในยามค่ำคืนมิได้อบอุ่นอีกต่อไป
หรงจิงนั่งมองใบไม้เหลืองร่วงพรูทางด้านนอกอยู่ข้างหน้าต่าง เขาเก็บใบหม่อนใบหนึ่งที่ร่วงลงบนระเบียงหน้าต่าง วางเล่นอยู่บนมือครู่หนึ่ง
เซียงฉือยกกระดานหมากเข้ามา เมื่อเห็นหรงจิงนั่งอยู่ริมหน้าต่างจึงยกเดินเข้าไปหาแล้วทำความเคารพพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ซื่อจื่อเยี่ยฉีหนิงจากแคว้นเยี่ยกวนทราบว่าฝ่าบาทโปรดการเดินหมากจึงได้สั่งให้คนใช้หินหยกทำกระดานหมากขึ้นเป็นพิเศษ เร่งรีบส่งจากแปดร้อยลี้เพื่อมาถวายพระองค์เพคะ ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ ในนี้ยังมีเม็ดลูกหมากทำจากหยกสีฟ้าชมพูเรื่อๆ อีกสองกล่อง ดูวาววับใสแจ๋วสวยดี ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทอดพระเนตรไหมเพคะ”
แคว้นเยี่ยกวนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเซียวจิ่ง มีเขตแดนติดกับอวิ๋นโจวลี่โจวเป็นต้น ถึงแม้อาณาเขตของแคว้นเยี่ยกวนจะไม่กว้างขวางเท่าแคว้นเซียวจิ่ง แต่ภายในประเทศอุดมไปด้วยอัญมณีหลากหลาย ช่างฝีมือล้วนทำงานฝีมือได้ประณีต มีความคิดสร้างสรรค์
แคว้นเซียวจิ่งมีกำลังทหารกล้าแกร่ง และแคว้นเยี่ยกวนก็พึ่งพาอาศัยแคว้นเซียวจิ่งตลอดมา ดังนั้นถึงจะอยู่ใกล้แคว้นเซียวจิ่ง แต่ก็อยู่กันด้วยความสงบสุขไม่มีปัญหาตลอดมา
เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรี งานส่งของเช่นนี้ไม่ต้องให้นางเป็นคนนำมา แต่เพราะเมื่อครู่ซูกงกงเกิดไม่สบาย นางจึงรับช่วงงานนี้มาจากซูกงกงนำมาส่งถึงเบื้องพระพัตร์ฮ่องเต้
หรงจิงเพียงเงยหน้าขึ้นมอง เขากำลังซึมเซาอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะของเซียงฉือ ทำให้รู้สึกว่าของนี้เมื่อพูดออกจากปากนางแล้วดูน่าสนใจสำหรับเขาขึ้นมาจริงๆ จึงสะบัดมือพูดขึ้น
“เช่นนั้นก็จัดขึ้นมาให้ข้าดูว่าเป็นอย่างไร”
เซียงฉือรับคำแล้วยกกระดานหมากนั้นไปเบื้องหน้าหรงจิง ฝีมือการเดินหมากของเซียงฉือยังไม่ถึงขั้นลึกล้ำ แต่ในหมู่ผู้หญิงด้วยกันแล้วนับว่าดีทีเดียว ท่านปู่เคยพูดว่าการเดินหมากนอกจากต้องมีพรสวรรค์แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกปรือ เซียงฉือเรียนการเดินหมากเร็วเกินไป และเวลาเดินหมากกับท่านปู่ก็มักพ่ายแพ้โดยที่ใจไม่ยินยอม ดังนั้นจึงฝึกได้ไม่ดีนัก
ที่ผ่านมานางเห็นหรงจิงกับหรงเฉิงเยี่ยเดินหมากกันอย่างสำราญใจก็ได้ครูพักลักจำมาบ้าง
ตอนที่ 379 อาจารย์ดีย่อมมีศิษย์เก่ง
เมื่อเซียงฉือตั้งกระดานเสร็จหรงจิงก็เปิดกล่องใส่เม็ดลูกหมาก เขาหยิบขึ้นมากำหนึ่งแล้ววางลงบนกระดาน
“เม็ดหมากสีฟ้าใส สัมผัสอุ่นละมุน หากนำมาใช้เดินในฤดูหนาว น่าจะดีไม่น้อย”
“เซียงฉือ เจ้าชอบไหม”
หรงจิงมองดูหมากในมือแล้วถามขึ้น เซียงฉือกำลังเปิดฝากล่องเม็ดหมากสีชมพูอยู่จึงตอบขึ้นอย่างไม่ได้คิดอะไร
“ชอบสิเพคะ”
นางตอบเช่นนั้น หรงจิงมองดูฝากล่องสีชมพูในมือนาง เขายื่นมือวางหมากเม็ดหนึ่งลงบนกระดานหมากที่ทำจากหยกขาว
“เดินกับข้าสักกระดาน ถ้าเจ้าชนะข้าจะยกให้”
เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโตมองดูหรงจิง แล้วพูดขึ้นตะกุกตะกัก
“ฝ่าบาท ฝีมือการเดินหมากของหม่อมฉันอ่อนด้อยยิ่งนัก ฝ่าบาทเมื่อไม่ประสงค์จะพระราชทานให้ก็อย่าทรงเยาะเย้ยหม่อมฉันสิเพคะ”
เซียงฉือเตรียมปิดฝากล่องอย่างเขินๆ ทว่าหรงจิงยิ้มแล้วยื่นมือออกไปแตะนาง
“ในเมื่อเดินไม่เก่งแล้วยังอยากได้กระดานหมากไปทำไม เสียของแท้ๆ”
เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ชักโกรธจึงพูดอย่างเคืองๆ ว่า
“ถึงฝีมือการเดินหมากของหม่อมฉันจะไม่ล้ำลึก แต่ก็ฝึกฝนได้นะเพคะ ดังคำว่าอาจารย์ดีย่อมมีศิษย์เก่ง ฝ่าบาททรงพระปรีชาเช่นนี้ ต่อไปหม่อมฉันย่อมต้องเก่งได้แน่เพคะ”
เซียงฉือพูดเช่นนี้ทำให้หรงจิงหัวเราะขึ้นมา เขายื่นมือวางหมากตัวหนึ่งลงบนกระดาน
แล้วเลิกคิ้วมองเซียงฉือ พูดยิ้มๆ ว่า
“ยังไม่คารวะอาจารย์อีก”
ได้ยินหรงจิงพูดเช่นนั้นเซียงฉือส่งเสียงฮาดีใจ นางถอยหลังลงหนึ่งก้าวอย่างนอบน้อม ยกหมากไว้เหนือศีรษะแล้วพูดอย่างเลื่อมใสอย่างยิ่งว่า
“ศิษย์เซียงฉือขอคารวะอาจารย์ ขออาจารย์อย่าได้รังเกียจว่าศิษย์โง่เขลา ได้โปรดสอนสั่งแก่ศิษย์ด้วยเถิด”
พูดจบเซียงฉือก็กอดกล่องหมากไว้แล้วกระโดดโลดเต้นไปเบื้องหน้าหรงจิง อดรนทนไม่ไหวคิดจะแข่งหมากล้อมกับเขา
หรงจิงตกตะลึง แล้วหัวเราะดุออกไป
“เจ้าเด็กต๊อง! ช่างเป็นเด็กต๊องจริงๆ !”
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้ว หรงจิงน้อยครั้งที่จะหัวเราะอย่างเต็มที่เช่นนี้ และเซียงฉือก็ไม่ได้ยินเขาเรียกนางแบบนี้เช่นกัน ทำให้นางอึ้งไปจากนั้นจึงได้วางเม็ดหมากหนึ่งลงข้างๆ ฝ่ายตรงข้าม หัวเราะพูดว่า
“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงตรัสเรียกหม่อมฉันเช่นนี้มานานจนหม่อมฉันเกือบจะลืมความรู้สึกนี้ไปแล้วเพคะ รู้สึกตื่นตระหนกและดีใจที่ได้รับการโปรดปรานอีกเพคะ”
พอพูดจบนางก็วางเม็ดหมากอีกเม็ดหนึ่งลงข้างหมากของหรงจิง
หรงจิงได้ยินคำพูดของเซียงฉือก็อึ้งไป เขาหุบยิ้มทันที เมื่อเห็นนางยื่นมือก็คิดจะวางหมากไว้ข้างตัวหมากของนาง ทำให้นิ้วมือสัมผัสถูกนางเบาๆ
เซียงฉือชะงัก หรงจิงก็เช่นกัน ชั่วขณะนั้นทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม
พวกเขาไม่ได้มองสบตากันเช่นนี้มานานแล้ว เซียงฉือรู้ตัวว่าพูดผิดไปจึงก้มหน้า ยังไม่ทันวางหมากก็คิดจะชักมือกลับ แต่ท่าทางของหรงจิงกลับเป็นตรงกันข้าม เขารีบยื่นมือไปจับมือน้อยๆ ที่กำลังจะชักหนีแล้วกำไว้ ซึมซับความอบอุ่นที่คิดถึงมานาน
เซียงฉือก้มหน้า นางไม่กล้าปฏิเสธ ปล่อยให้หรงจิงกุมมือ ปล่อยให้หน้าแดงก่ำ ใจเต้นระส่ำ
นางพูดผิดไป ไม่ควรจะใช้คำพูดที่ทำให้หรงจิงเข้าใจผิดเช่นนั้น
เมื่อครู่นางเพียงดีใจจนลืมตัว
หรงจิงยึดมือนางไว้ครู่หนึ่งจึงยอมปล่อย ทำให้หมากในมือเซียงฉือร่วงลงบนกระดาน นางเงยหน้ามองหรงจิง ขมวดคิ้วน้อยๆ หรงจิงยิ้มแล้วพูดว่า
“เหอเจี่ยนสุยได้ส่งรายงานมาฉบับหนึ่ง บอกเพียงว่าขุนพลจินได้นำกระดูกของปู่เจ้ากลับไปฝังยังบ้านเกิดแล้ว”
“ทีนี้เจ้าก็วางใจได้แล้วกระมัง”