ตอนที่ 388 อวยยศ
หรงจิงไม่ใช่ฮ่องเต้คร่ำครึ ก่อนเขาจะเป็นฮ่องเต้เวลาเดินหมากกับผู้ใดก็จะแพ้ชนะสลับกันไป ถึงเขาจะชอบการเดินหมาก แต่ก็ไม่ได้ศึกษาจริงจัง และรู้สึกว่าการเล่นนั้นต้องมีการแพ้ชนะจึงจะเรียกว่าสนุกสนาน
แต่ว่าตั้งแต่เขาเป็นฮ่องเต้แล้วก็ไม่เคยแพ้อีกเลย
เขาไม่ได้เขลาจนกระทั่งไม่รู้ว่าผู้ใต้บัญชาล้วนจงใจยอมให้เขาทั้งสิ้น
หมากของข้าราชบริพาร เขาไม่รู้สึกสนุกเลยแม้แต่น้อย กระทั่งได้พบกับเหอเจี่ยนสุยในวันนี้ ตอนแรกเริ่มเขายังมีความลังเล แต่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรไปกระทบเขาเข้าจึงได้เริ่มต่อสู้อย่างจริงจัง และเข้ารุกเสมอ
ในใจของหรงจิงนั้น ชายผู้นี้มีความทะเยอทะยาน มีความสามารถและยิ่งกว่านั้นคือมีความกล้า ซึ่งเขาชื่นชมมาก
มองดูเหอเจี่ยนสุย เขาแตกต่างจากพวกขุนนางใหญ่เหล่านั้น เหอเจี่ยนสุยมีความนอบน้อมต่อฮ่องเต้อย่างเขายิ่งนัก ไม่มีความกระด้างกระเดื่องแม้แต่น้อย แต่ดูแล้วเป็นคนหยิ่งทะนง เขาไม่ได้เชิดหน้าโอ้อวด ทว่าด้วยบุคลิกที่หนักแน่นสุขุม การพูดการกระทำล้วนมีมาด
เขาชื่นชอบ ดังนั้นถึงจะเป็นคนที่หรงเฉิงเยี่ยแนะนำ แต่เขาเกิดชอบขึ้นมาอย่างจริงจังตั้งแต่หมากกระดานเมื่อครู่แล้ว
เขาพ่ายแพ้ด้วยความดีใจ
ถึงเขาจะไม่ได้ทดสอบภูมิความรู้ของเหอเจี่ยนสุย แต่เขารู้แจ้งแก่ใจแล้วว่า การที่สามารถขึ้นถึงตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาในวัยหนุ่มแน่นเช่นนี้ ย่อมต้องมีความรู้ความสามารถจริง
ส่วนหรงเฉิงเยี่ยก็ไม่ใช่คนที่จะเลือกใครเพราะความสนิทรักใคร่ แต่ต้องเป็นเพราะเขาเลื่อมใสในความรอบรู้จึงได้คบเป็นเพื่อนกับเขา และเพราะเหตุนี้ หรงจิงจึงเพียงกังวลใจแต่เรื่องนิสัยใจคอของเขาเท่านั้น
ถ้าหากเป็นเพียงคนคร่ำครึไม่พัฒนา เขาคงไม่เกิดความคิดเช่นนั้น แต่เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่ไม่บ้าระห่ำ ไม่อวดดี เสมือนดั่งกระบี่ล้ำค่าที่เก็บอยู่ในฝัก
เพียงขัดเกลาเพิ่มอีกเล็กน้อย นำออกใช้อย่างห้าวหาญ เขาจะต้องเปล่งประกายเจิดจ้า ชนะศึกโดยไม่พ่าย
หรงจิงชอบความซื่อสัตย์และกระตือรือร้นของคนหนุ่ม ซึ่งจะเป็นการถ่ายเลือดสดใหม่ให้กับชนชั้นปกครองในราชสำนัก เขาพอใจในเหอเจี่ยนสุยคนนี้
เมื่อหรงจิงได้ยินเหอเจี่ยนสุยขอเสนอตัวเองจึงยิ้มแล้วตบบ่าเขา
“ข้าชื่นชมคนหนุ่มที่มีความสามารถ รับผิดชอบและกล้าหาญ เจ้าดีมาก เช่นนั้นข้าก็จะมอบอำนาจทั้งหมดในเรื่องนี้ให้เฉิงเยี่ยกับเหวินเซวียนแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะเป็นนักสู้เพื่อประชาชน ต่อสู้กับพวกขุนนางทุจริตชั่วร้ายพวกนั้นเพื่อชาวบ้านและต้องสู้ให้ถึงที่สุด”
คำพูดหรงจิงเต็มไปด้วยความฮึกเหิม หรงเฉิงเยี่ยกับเหอเจี่ยนสุยพากันคุกเข่าให้คำมั่น
เมื่อถึงเวลาอาหาร หรงจิงมิได้รั้งคนทั้งสองไว้และสั่งคนส่งพวกเขาออกไป
เซียงฉือแอบอยู่ห้องด้านหลัง แต่เพราะนางคอยเงี่ยหูฟังจึงได้ยินอย่างละเอียด
เหอเจี่ยนสุยไม่ได้มอบกำไลให้เซียงฉือ แต่จับผลัดจับผลูได้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นกลับมาแทน เซียงฉือมองดูผ้าเช็ดหน้า อดไม่ได้ต้องหมองหม่นน้ำตาไหล
นางต้องทำใจร้ายอย่างมากจึงสามารถหันหลังให้กับเขาได้อย่างเย็นชา แล้วยังมองดูเขาอย่างคนทั่วไป แต่ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งกลับทำให้ใจนางไหวคลอนไม่สงบขึ้นมา
เหอเจี่ยนสุยสำหรับนางแล้วก็คือความหวัง เหมือนกับที่นางเคยเป็นคนไม่เคยทุกข์ร้อนมาก่อน เซียงฉือมักรู้สึกว่าหากนางได้ออกจากวังแล้วใช้ชีวิตอยู่กับเหอเจี่ยนสุยแล้ว จะเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้เลยทีเดียว
ซึ่งในความเป็นจริงชีวิตนางควรเป็นเช่นนี้ จากบ้านสกุลอวิ๋นสู่บ้านสกุลเหอ นางเชื่อมั่นว่าเหอเจี่ยนสุยจะต้องดีต่อนางและรักนางชั่วชีวิต
และเพราะความคาดหวังเช่นนี้ทำให้นางยืนหยัดมาตลอด แต่พอได้พบกับหรงจิงและหรงเฉิงเยี่ย ชีวิตของนางก็ยิ่งยุ่งยากขึ้น ความรักและการรอคอยของเหอเจี่ยนสุยจะกลายเป็นเครื่องพันธนาการนาง ทำให้นางไม่อาจปลดปล่อยจิตใจของตัวเองได้ และจะต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในวังนี้ด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น
ยามที่นางเหน็ดเหนื่อยก็คิดจะปล่อยวาง แต่พอได้พบเขา คิดถึงเขาก็จะเจ็บปวดใจจนต้องน้ำตาไหลพราก
ตอนที่ 389 ฝนสารทฤดู
ค่ำคืนนี้ฝนตกหนักมาก ตั้งแต่เหอเจี่ยนสุยออกจากวังก็ตกไม่หยุด เซียงฉือแต่งชุดข้าราชสำนักสตรีเสื้อบางสำหรับฤดูร้อนจึงรู้สึกเย็นขึ้นมา
อากาศอบอ้าวมาตลอดวันนี้ ในที่สุดฝนห่าใหญ่ก็ได้ตกลงมา
นอกหน้าต่างฝนตกโปรยปราย ท้องฟ้ามืดสลัว มองไม่เห็นความสวยงามยามฝนพรำเหมือนในบทกลอนหรือภาพวาด
ทั้งเสียงฝนสนั่นฟ้าด้านนอกยังทำให้เซียงฉือบังเกิดความหวาดกลัว
ฮ่องเต้ในยามนี้กำลังตรวจอ่านรายงานอย่างตั้งใจ
ตั้งแต่วันนั้นที่หรงจิงบอกว่าต้องการจะดูว่าเซียงฉือตั้งใจทำงานหรือไม่ และหลังจากทำกองรายงานที่จัดตั้งอยู่บนโต๊ะล้มไปแล้วนั้นก็ได้สร้างความลำบากให้กับเซียงฉือเพราะนางไม่รู้ว่าจะจัดวางรายงานส่วนเกินพวกนั้นได้อย่างไร ซูกงกงได้ช่วยนางคิดหาวิธี ครั้งต่อไปหากเซียงฉือจะตั้งกองรายงาน ก็จะจงใจเปิดช่องว่างในกองรายงานไว้ เพื่อที่หรงจิงจะได้มองเห็นเซียงฉือได้จากช่องว่างนั้น
หรงจิงไม่ได้ต่อต้านวิธีการนี้ ดังนั้นจึงได้เห็นรายงานอีกตั้งหนึ่งอยู่บนโต๊ะของเขา
การเป็นฮ่องเต้ช่างเป็นเรื่องลำบากแสนเข็ญที่สุดในโลกจริงๆ ในแต่ละวันแม้ไม่มีเรื่องสำคัญมากมายอะไร ก็ยังมีรายงานใหญ่น้อยประมาณหนึ่งพันเล่มส่งเข้ามาถึงแม้จะมีการไล่เรียงตามความสำคัญเร่งด่วน และได้ผ่านทั้งองคมนตรีและฝ่ายบริหารตรวจอ่านมาแล้ว
แต่ในตอนนี้อำนาจรวมอยู่ในส่วนกลาง
ฝ่ายบริหารและองคมนตรีไม่ใช่หน่วยงานที่สำคัญมาก รายงานส่วนใหญ่เมื่อผ่านมือพวกเขาครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยังคงต้องเข้าสู่มือของหรงจิงอีก
ฝ่ายบริหารดูแลหกกรม ดังนั้นการประชุมทุกเช้าจึงต้องนำเรื่องในรายงานที่ต้องการปรึกษาขึ้นหารือ
ส่วนใหญ่ที่เซียงฉือต้องทำคือจัดการแยกประเภทหรือเก็บรวบรวม หรือส่งกลับไป
แต่ละวันจึงเหนื่อยยากเช่นกัน
ช่วงระยะนี้นางทำงานได้คล่องแคล่วขึ้น หรงจิงไม่สามารถหาข้อบกพร่องอะไรจากเซียงฉือได้อีก นางเป็นข้าราชสำนักสตรีที่ดีพร้อม ทำให้หรงจิงยิ่งพึงพอใจนางมากขึ้น
แต่มาวันนี้นางเหม่อลอย มองดูนอกหน้าต่างอย่างใจลอย
วันนี้นางได้พบเหอเจี่ยนสุย นางปฏิเสธกำไลของเขา ความรักที่บริสุทธิ์เช่นนั้นถูกนางกลบฝังไปด้วยมือตนเอง
หรงจิงไม่รู้เลยว่าใจของอวิ๋นเซียงฉือตอนนี้ราวกับถูกไฟแผดเผา และร่างกายเพราะเหน็บหนาวจึงสั่นเทา เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนร่างนางเป็นระลอก
เมื่อเห็นฝนซาลงแล้ว เซียงฉือจึงเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อสูดกลิ่นไอดินและอากาศบริสุทธิ์จากภายนอก
แต่ยังไม่ทันเดินกลับถึงที่นั่งก็ได้ยินเสียงสั่งจากหรงจิง
“เซียงฉือ ไปเชิญเหอซ่างกงมานี่”
จู่ๆ หรงจิงพูดขึ้น ทำให้เซียงฉือหลุดออกมาจากความนึกคิด ลุกขึ้นตอบรับแล้วหันกายออกไป
ด้านนอกฝนตกหนักมาก แต่ตอนนี้ในวังมีคนรับใช้ให้เรียกใช้ขึ้นมาอีกคน เพราะซูกงกงก็ไม่อยู่
ได้ยินว่าฮ่องเต้ใช้ให้เขาออกนอกวังไปทำเรื่องส่วนตัว ถึงไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรแต่เมื่อเป็นความลับของราชวงศ์ เซียงฉือจึงไม่จำเป็นต้องรู้
ดังนั้นงานในการไปตามเรียกคนจึงตกเป็นหน้าที่ของเซียงฉือ
เซียงฉือหาเสื้อกันฝนไม่พบจึงเพียงกางร่มแล้วยกชายกระโปรงเดินไปทางกองราชเลขา
ด้านนอกฝนหนักลมแรง ร่มกระดาษน้ำมันคันเดียว เพียงไม่นานก็กระจายร่วงลงพื้น นางไม่อาจคำนึงอะไรได้อีกจึงวิ่งเหยาะๆ ไปถึงสำนักราชเลขา
“ใต้เท้าเหอ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ใต้เท้าเข้าตำหนักเจิ้งหยางเจ้าค่ะ”
“ฮัดเช้ย!”
เซียงฉือไปถึงกองราชเลขาในสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว เมื่อเหอจิ่นเซ่อเห็นดังนั้นก็จะให้นางเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เซียงฉือส่ายหน้าปฏิเสธ