บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 392 ซู่เวิ่น / ตอนที่ 393 คลี่คลาย

ตอนที่ 392 ซู่เวิ่น  

 

 

หมาหวงทังยังป้อนเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นเซียงฉือสำลัก อาเจียนน้ำยาสีดำนั้นออกมาหมด  

 

 

สีหน้าเปลี่ยนจากแดงเป็นขาวซีด ดูแย่กว่าเดิมมาก  

 

 

หรงจิงเห็นเข้าเช่นนั้น ใจที่วางลงไปแล้วจู่ๆ ก็เกิดเป็นโทสะขึ้นมา สวีฝูคนนั้นพูดได้น่าฟังที่แท้ก็เป็นพวกสุกใสภายนอกข้างในเป็นโพรง โรคของอวิ๋นเซียงฉือไหนเลยจะไม่เป็นอะไรมากอย่างที่นางบอก  

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้กลับน่าจะป่วยไข้หนักขึ้นกว่าเดิม  

 

 

“สวีฝู เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”  

 

 

สวีฝูเห็นฮ่องเต้พิโรธจัดจึงคุกเข่าลงตัวสั่นน้อยๆ นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ถึงแม้นางจะอยู่ในวังนี้มานานแต่ยังไม่เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้ เพียงถูกหรงจิงทำให้ตกใจจึงมือไม้อ่อนไปทันที ทำอะไรไม่ถูก  

 

 

หรงจิงตวาดด้วยความโกรธ เมื่อเห็นเซียงฉือยิ่งหายใจลำบากขึ้นก็ยิ่งเป็นห่วง  

 

 

“ยังไม่ลุกไปตรวจดูอาการอีก มาคุกเข่าอยู่ตรงนี้จะให้ข้าบั่นคอเจ้าหรืออย่างไร!”  

 

 

หรงจิงเห็นนางคุกเข่าตัวสั่นอยู่ก็ยิ่งโกรธจึงออกคำสั่งไป สวีฝูจึงวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปยังเซียงฉือ นางทาบนิ้วลงบนชีพจรแล้วต้องโอดครวญ ชีพจรเซียงฉือในตอนนี้ไม่เหมือนกับที่ยังเต้นดีอยู่เมื่อครู่ แสดงว่าโรคได้เข้าสู่ภายในแล้ว เมื่อครู่นางได้เพิ่มปริมาณยาในหมาหวงทัง กลับทำให้อาการของนางหนักขึ้น  

 

 

หรงจิงเดินเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังสวีฝูเห็นนิ้วมือนางสั่นน้อยๆ เมื่อมองเห็นเซียงฉือยิ่งทรมานขึ้นก็ยิ่งอดสงสารไม่ได้จึงได้ตะโกนสั่งขันที  

 

 

“ไปเชิญหัวหน้าหลี่เหวินที่กองโอสถ แล้วไปสั่งคนออกนอกวังไปเชิญหมอหลวงหลี่กับหมอหลวงจังเข้าวัง”  

 

 

หรงจิงไม่แลมองสวีฝู ในใจเพียงห่วงกังวลแต่เซียงฉือ อาการป่วยของนางรุนแรงและฉุกเฉินเช่นนี้ เขากลัวว่าเจ้าเด็กนี่จะทนไม่ไหว จึงได้ยิ่งกระวนกระวายใจ  

 

 

หรงจิงเพิ่งพูดจบ ขณะที่ขันทีคิดจะก้าวเท้าออกนอกประตูก็ได้ยินเสียงวุ่นวายขึ้นที่หน้าประตู แล้วคนสองคนก็เดินเข้ามา  

 

 

“เหอจิ่นเซ่อจากกองราชเลขาถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรงรอสักครู่เพคะ หม่อมฉันขอทูลเสนอซู่เวิ่นจากกองโอสถแด่ฝ่าบาทเพคะ ฝีมือการรักษาของนางโดดเด่น อาจจะรักษาโรคนี้ได้นะเพคะ”  

 

 

ซู่เวิ่นเผยตัวออกจากด้านหลังเหอจิ่นเซ่อแล้วทำความเคารพหรงจิง พูดขึ้นว่า  

 

 

“เจ้าหน้าที่ถวายโอสถซู่เวิ่นจากกองโอสถถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”  

 

 

หรงจิงมองดูเหอจิ่นเซ่อ เห็นนางผงกศีรษะกับตน จากนั้นมองดูสภาพของเซียงฉือแล้วจึงพยักหน้าพูดขึ้น  

 

 

“ให้นางลองดูหน่อยก็ได้ แต่หมอหลวงกับหัวหน้ากองโอสถก็ยังต้องไปเชิญมา ข้าจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับนาง ฟังชัดเจนหรือไม่”  

 

 

คำพูดประโยคเดียวของหรงจิงทำให้พวกที่กำลังงานยุ่งอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางใจสั่นขึ้นมา เดิมทีคิดว่านางเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีธรรมดาคนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ ดังนั้นถึงแม้ทุกคนต่างยังทำงานของตนอยู่จึงยิ่งเพิ่มความขยันขันแข็งยิ่งขึ้น  

 

 

ทั้งยังอธิษฐานอยู่ในใจ ขอให้ใต้เท้าซู่เวิ่นคนนี้สามารถช่วยใต้เท้าอวิ๋นคนนี้ได้ด้วยเถิด  

 

 

ซู่เวิ่นได้ยินคำสั่งของหรงจิงแล้วก็เดินเข้าไปตรวจอาการจับชีพจรที่ข้างกายเซียงฉือ เหอจิ่นเซ่อขวางขันทีที่กำลังจะออกไปไว้ แล้วหันกลับไปพูดขึ้นที่ข้างกายหรงจิง  

 

 

“หม่อมฉันได้ยินว่าเซียงฉือป่วยจึงได้ส่งคนไปเชิญใต้เท้าหลี่เหวินที่กองโอสถ แต่ว่าวันนี้ใต้เท้าหลี่เหวินออกไปทำธุระที่นอกวังไม่ได้อยู่ในวัง แล้วตอนนี้ประตูวังก็ปิดไปแล้ว หากยังคงส่งคนออกนอกวังไปอีก เกรงว่าเรื่องนี้จะเข้าไปถึงหูขุนนางในราชสำนักนะเพคะ”  

 

 

“ฝ่าบาท เซียงฉือเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรี หากทำเช่นนั้นก็จะกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงขุนนางนะเพคะ ขอฝ่าบาทโปรดทรงเชื่อใจใต้เท้าซู่เวิ่น นางมีความสามารถในการรักษาโรคให้หายได้ เป็นราวกับท่านหวาถัว [1] ในเพศสตรีกลับชาติมาเกิดเพคะ”  

 

 

เหอจิ่นเซ่อพูดกับฮ่องเต้อย่างจริงจังและอธิบายด้วยเหตุผล  

 

 

เมื่อครู่หรงจิงเป็นเพราะเห็นเซียงฉือมีอาการหนักแม้แต่ยาก็กลืนไม่ลง จึงร้อนรุ่มใจ แต่เมื่อเห็นเหอจิ่นเซ่อมีความมั่นใจในตัวซู่เวิ่นเช่นนี้จึงพยักหน้า และรู้ว่าที่นางกล่าวมานั้นถูกต้อง  

 

 

 

 

 

[1]   หวาถัว  เป็นหมอในราชวงศ์ฮั่นตะวันออกตอนปลาย ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอเทวดา สามารถรักษาได้ทุกโรค   

 

 

 

 

 

ตอนที่ 393 คลี่คลาย  

 

 

ซู่เวิ่นเมื่อตรวจอาการแล้วก็ถามสวีฝูว่าให้ยาอะไรไป สวีฝูมองดูซู่เวิ่นบังเกิดความเกลียดแค้นในใจยิ่งนักแต่ก็ไม่กล้าปิดบังในเวลานี้ จึงได้บอกสิ่งที่สั่งเมื่อครู่ก่อนออกมาจนหมด  

 

 

สีหน้าซู่เวิ่นไม่เปลี่ยนเพียงแค่ขมวดคิ้ว  

 

 

“นางไม่ได้ป่วยเป็นไข้ตัวร้อนธรรมดา แต่อวัยวะภายในของนางปรวนแปร ร่างกายภายนอกได้รับความเย็นจึงทำให้เกิดเป็นไข้ขึ้น การใช้หมาหวงทังนั้นเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงยิ่ง หากมิใช่เช่นนั้นคงไม่ทำให้โรคของนางหนักขึ้น อาการป่วยที่สามารถหายขาดได้ภายในเจ็ดวัน ตอนนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนแล้ว”  

 

 

ซู่เวิ่นพูดออกมาอย่างไม่เลี่ยงคำพูดแม้แต่น้อย สวีฝูรู้สึกตัวว่าหน้าแดง ความเกลียดชังในตัวซู่เวิ่นก็ยิ่งมากขึ้น แต่นางก็รู้ว่าในกองโอสถนั้นฝีมือการรักษาของซู่เวิ่นดีที่สุด หากมิใช่ปากที่ร้ายกาจของนางและการดูสีหน้าใครอื่นไม่เป็นแล้วละก็ คงจะได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้ากองไปนานแล้ว  

 

 

แต่ไม่ว่านางจะโกรธแค้นอย่างไรในตอนนี้อับจนปัญญาแล้วจึงได้แต่นิ่งเงียบ แต่ก็ยังมีความคิดชั่วร้ายอยู่ คิดว่าหากนางไม่สามารถรักษาอาการป่วยของอวิ๋นเซียงฉือได้ ก็จะสะใจยิ่งนัก  

 

 

แต่ถึงสวีฝูจะคิดเช่นนั้นก็ไม่กล้าแสดงความริษยาออกมาแม้แต่น้อย เพียงยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง พยายามทำตัวไร้ตัวตน  

 

 

ซู่เวิ่นเขียนใบสั่งยาเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วส่งให้นางกำนัลไปต้มโดยด่วน เสร็จแล้วจึงจะใช้ยาอวี้ผิงเฟิงส่าน จากนั้นจึงเติมชานซูดื่มเพื่อช่วยเสริมสร้างอวัยวะที่ขาดพลังงานและละลายเสมหะ นางมองดูสีหน้าเซียงฉือแล้วรีบทำการฝังเข็มยังจุดลมปราณจงฝู่ ชงหยาง ไท่ยวนเป็นต้น ทำให้สีหน้าเซียงฉือดูผ่อนคลายลงอย่างมาก  

 

 

สวีฝูเบิ่งตาโตมองดูอยู่ข้างๆ ถึงนางจะรู้สึกว่าการพูดจาของซู่เวิ่นช่างน่ารังเกียจยิ่ง แต่ความรู้ทางการแพทย์ของนางนั้นสูงส่งจริงๆ  

 

 

นางกำลังครุ่นคิดถึงการวินิจฉัยโรคของซู่เวิ่นซึ่งเมื่อครู่นางคิดไม่ถึง และยังเกือบก่อเกิดภัยใหญ่หลวงขึ้นด้วย  

 

 

ดีที่ยาน้ำเมื่อครู่เซียงฉืออาเจียนออกมากว่าครึ่ง มิเช่นนั้นแล้วหากหมาหวงทังดื่มลงกระเพาะไป เซียงฉือคงยิ่งทรุดลงไปอีก  

 

 

ซู่เวิ่นป้อนยาน้ำให้ด้วยตนเอง หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงตรวจอีกครั้งแล้วถอนใจโล่งอก จากนั้นจึงเขียนใบสั่งยา  

 

 

อาการของเซียงฉือดีขึ้นมาก สีหน้าก็ไม่ได้ดูแย่อย่างเคย หรงจิงกับเหอจิ่นเซ่อจึงได้วางใจ  

 

 

ซู่เวิ่นจัดการงานต่อ นางเหลือข้าราชสำนักสตรีสองคนไว้คอยดูแล ส่วนคนอื่นๆ ให้กลับไปยังกองโอสถ นางทำงานได้อย่างคล่องแคล่วไม่เยิ่นเย้ออืดอาดแม้แต่น้อย หรงจิงชื่นชอบหญิงผู้นี้ยิ่ง  

 

 

เมื่อนางจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้วจึงค่อยไปรายงานหรงจิง  

 

 

“ฝ่าบาท อาการป่วยของใต้เท้าอวิ๋นควบคุมได้แล้วเพคะ หากจะกำเริบขึ้นอีกก็ไม่ร้ายแรง หม่อมฉันได้เขียนใบสั่งยาไว้แล้ว ทั้งยังสั่งเรื่องเวลาไว้ด้วย ฝ่าบาทมิต้องกังวลพระทัยเพคะ”  

 

 

หรงจิงฟังแล้วก็เดินไปช้างเตียงเซียงฉือ ยื่นมือออกไปตรวจอุณหภูมินาง รู้สึกได้ถึงลมหายใจนางค่อยๆ สม่ำเสมอขึ้นแล้วจริงๆ อาการป่วยดูจะสงบลงแล้ว จึงได้วางใจไม่หวาดหวั่นจริงๆ ได้  

 

 

เขาพูดกับซู่เวิ่นที่ข้างหลังว่า  

 

 

“คืนนี้อาการของนางจะกำเริบขึ้นไหม นางป่วยเป็นอะไรถึงได้น่าตกใจเช่นนี้”  

 

 

เมื่อหรงจิงเห็นเซียงฉือปลอดภัยแล้วก็คลายท่าทางที่เหมือนกำลังเผชิญหน้าศัตรูแกร่งกล้าลง เขาอ่อนโยนลงมาก เหอจิ่นเซ่อยังไม่ได้กลับไปเพียงแต่ยืนห่างออกไปอยู่กับสวีฝู จึงไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่  

 

 

หรงจิงยิ้มให้ซู่เวิ่นอย่างอ่อนโยนแล้วถาม  

 

 

ซู่เวิ่นทำการคารวะก่อนตอบว่า  

 

 

“อวัยวะภายในสับสน คิดมากเกินไป เหน็ดเหนื่อยและหวั่นเกรงอีกทั้งความเย็นเข้าร่างเพคะ จึงทำให้โรคซุกตัวอยู่ ถึงโรคนี้จะดูอันตราย แต่ในความเป็นจริงเพียงกินยาให้ดีสักหลายเทียบก็จะหายได้เพคะ แต่ต่อไปจะต้องใส่ใจในการพักผ่อน ไม่อาจตรากตรำเกินไปนัก จิตใจอย่าได้เศร้าหมองก็ไม่เป็นไรแล้วเพคะ”  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset