บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 394 ปลอบประโลม / ตอนที่ 395 ป้อนยา

ตอนที่ 394 ปลอบประโลม  

 

 

หรงจิงพอได้ฟังคำพูดของซู่เวิ่นแล้วก็ถอนใจ  

 

 

เขาสะบัดมือให้ทุกคนออกไป แล้วอยู่เป็นเพื่อนเซียงฉือเพียงลำพัง  

 

 

เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าเซียงฉือคิดมากและกังวลเรื่องอะไร ความหวาดหวั่นของนางมากจากไหน  

 

 

เซียงฉือเป็นคนมีความสามารถที่หาได้ยาก เขารักสงสารนางยิ่งขึ้น เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากนางจึงได้หยิบผ้าเช็ดหน้าจากข้างๆ เช็ดเหงื่อให้นางอย่างเบามือ  

 

 

“เจ้าเด็กโง่ ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะดูแลเจ้าเอง เหตุใดต้องกังวลเรื่องอะไรมากมายเช่นนี้”  

 

 

หรงจิงไม่อาจเคร่งขรึมจริงจังกับอวิ๋นเซียงฉือได้จริงๆ ตั้งแต่วันที่นางปฏิเสธเขา เขาก็จงใจหลีกเลี่ยงการติดต่อกับนางบ้าง แต่ทว่าสายตาของเขาไม่เคยละจากนางได้จริงๆ เลย  

 

 

ความห่วงใยที่เก็บซ่อนมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นในใจเขา บางขณะเขาแทบไม่สามารถหักห้ามความคิดที่จะดูแลนาง เพียงแต่เขาไม่แสดงออก เขามีพลังในการควบคุมตนเองแรงกล้า เพื่อให้ตนเองทำในสิ่งที่ควรทำและขจัดเรื่องที่ไม่สมควรทำ ดังนั้นเขาจึงจะเข้าใกล้เซียงฉือในยามที่นางอ่อนแอเท่านั้น  

 

 

“ท่านปู่อย่าไป อย่าทิ้งเซียงฉือไว้…”  

 

 

มือของเซียงฉือเปะป่ายสะเปะสะปะเริ่มจะไม่สงบ หรงจิงรู้ว่านางต้องฝันร้ายอยู่แน่ เขาสงสารนาง หญิงสาวคนนี้ต้องกลายสภาพจากคุณหนูสูงส่งมาเป็นสาวใช้ที่ต่ำต้อยที่สุดในวัง ถึงแม้ตอนนี้จะได้เป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว แต่เรื่องที่นางไม่สมปรารถนา ไม่อาจจะได้มา ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงพอจะดูแลปกป้อง ทำให้นางเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น  

 

 

หรงจิงยื่นมือโอบกอดศีรษะนาง กล่อมนางเบาๆ เขายังไม่เคยปกป้องผู้หญิงคนไหนอย่างใส่ใจเช่นนี้มาก่อน  

 

 

เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะความปรารถนาจะเป็นเจ้าของกำลังครอบงำเขาอยู่หรือไม่ แต่ว่าขณะที่กอดเซียงฉืออยู่นี้รู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง  

 

 

คำพึมพำในฝันของเซียงฉือทำให้เขาปวดใจ  

 

 

เขากอดนางอยู่เช่นนั้น กล่อมนางเบาๆ  

 

 

“เด็กดี ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ไม่ต้องกลัว…”  

 

 

ความตระหนกของเซียงฉือค่อยๆ ลดหายไป ร่างกายก็ผ่อนคลายลง เพราะการดิ้นรนเมื่อครู่ เครื่องนอนด้านล่างจึงเปียกชื้น เซียงฉือนอนอยู่ด้านบนจึงไม่ค่อยสบายตัวซึ่งหรงจิงก็รู้สึกถึงความไม่สบายตัวนั้นเช่นกันจึงได้อุ้มนางขึ้นมาทั้งผ้าห่ม  

 

 

ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ฤดูหนาว แต่ได้มีการเปิดท่อส่งความร้อนขึ้นแล้วบนที่นอนเขา บนเตียงจึงอุ่น หรงจิงคิดเพียงจะให้เซียงฉือได้หลับสบายสักหน่อย  

 

 

เมื่ออุ้มนางวางลงบนเตียงแล้ว เขาจึงได้สั่งการให้ขนรายงานทั้งหลายเข้ามาในตำหนักหลัง เขาจะอยู่เป็นเพื่อนเซียงฉือไปด้วยและอ่านรายงานไปด้วย  

 

 

เซียงฉือค่อยๆ สงบลง ร่างครึ่งหนึ่งนอนอิงอยู่ข้างกายหรงจิงไม่ขยับเขยื้อน นานๆ ทีเหงื่อก็จะผุดออกมาบนศีรษะ หรงจิงก็จะใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นค่อยๆ ซับให้นาง  

 

 

แต่ว่าครั้งนี้หรงจิงถือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้แล้วมองดูอยู่นาน  

 

 

“ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ใช้มานานเกินไปแล้วกระมัง ลายเส้นด้ายจางจนเห็นไม่ชัดแล้ว นางยังสู้อุตส่าห์เก็บไว้อีก”  

 

 

หรงจิงรู้ว่าฝีมือการปักของเซียงฉือดีมาก แต่บนผ้าเช็ดหน้าที่เห็นนี้ปักเรียบๆ เพียงต้นเหมยเย้ยหิมะต้นหนึ่ง ภาพทิวทัศน์นั้น จิตใจที่แน่วแน่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดและผืนนี้แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร หรงจิงพิจารณาดูอีกครั้งและรู้สึกว่าผ้าเช็ดหน้าปักนี้งดงามดุจภาพวาด  

 

 

แล้วเขาก็สะบัดศีรษะ นี่ยังไม่ถึงช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัดเลย เหตุใดเขาจึงรู้สึกถึงต้นเหมยเย้ยหิมะขึ้นมาได้  

 

 

หรงจิงไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงให้ความสำคัญกับผ้าเช็ดหน้านี้มากและใช้มาตลอด เขาพับมันเรียบร้อยแล้ววางไว้ข้างหมอน  

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้นี่ มักจะมีอะไรไม่เหมือนชาวบ้านอยู่เรื่อย”  

 

 

หรงจิงสอดชายผ้าห่มให้นาง มองดูนางหลับสนิท เขายิ้มอย่างแจ่มใส  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 395 ป้อนยา  

 

 

วันรุ่งขึ้นตอนที่เซียงฉือตื่นขึ้นมาก็สายตะวันโด่งแล้ว นางขลุกอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างงงงวยสับสน  

 

 

นางจำได้ว่าบนมุ้งของตนนั้นเป็นผ้าไหมสีขาวปักดอกท้อ  

 

 

แต่ตอนนี้ทำไมจึงกลายเป็นผ้ามุ้งทองลายมังกรขนด เซียงฉือขยี้ตา พลันนึกได้ว่าเป็นไปได้ที่ตนเองจะอยู่บนพระแท่นบรรทมจึงดีดตัวลุกขึ้นนั่งในทันที  

 

 

หรงจิงเดินเข้ามาในห้องพอดีจึงได้เห็นท่าทางตื่นตระหนกของเซียงฉือ เขาเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร ยกชามยาแล้วโอบไหล่นางไว้พลางพูดขึ้นแผ่วเบาว่า  

 

 

“เมื่อคืนเจ้านอนอยู่บนเตียงข้า ทำให้ข้าไม่เป็นอันหลับอันนอนทั้งคืน เจ้าเด็กต๊อง หายป่วยแล้วก็อย่าได้ลืมบุณคุณเสียล่ะ”  

 

 

ใบหูเซียงฉือแดงเรื่อขึ้น หรงจิงพูดคำพูดโจ่งแจ้งเช่นนี้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย  

 

 

ความจริงเซียงฉือฟังไม่เข้าใจ แต่ตั้งแต่หรงจิงมักจะให้นางอยู่ฟังเสียงข้างผนังห้องภายในห้องอักษร นางจึงมีความเข้าใจความหมายในคำพูดของเขามากขึ้น  

 

 

นางหน้าแดงและยิ่งหวาดหวั่นจากที่ได้รับการเอาอกเอาใจ เพราะหรงจิงถือชามยาน้ำแล้วเป่าอยู่ใกล้ริมฝีปาก  

 

 

“ได้เวลาแล้ว เซียงฉือดื่มยาสักหน่อย อย่าดื้อ”  

 

 

เซียงฉือถูกหรงจิงโอบแนบอก เมื่อครู่เพราะความตระหนกทำให้ลุกขึ้นนั่งในทันใด แต่ตอนนี้กลับตระหนกยิ่งกว่าจึงนั่งร่างไม่ขยับเขยื้อนอยู่กับที่ มองนิ่งดูหรงจิงยื่นช้อนมาจ่อถึงริมฝีปาก  

 

 

เซียงฉือจึงอ้าปากโดยอัตโนมัติ รสชาติขมเฝื่อนคำหนึ่งไหลลงคอไปทันที นางอยากจะอาเจียน แต่เมื่อเห็นท่าทางของหรงจิงแล้วจึงต้องฝืนกล้ำกลืนลงไป  

 

 

ได้แต่ฝืนห้ามน้ำตาไว้ นางไม่อยากจะทรมานตัวเองด้วยการดื่มทีละคำๆ เช่นนี้จึงยื่นมือออกไปจับชามยาที่หรงจิงถืออยู่ไว้แน่น  

 

 

ฝืนยิ้มมองหรงจิงแล้วพูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาท ทรงให้หม่อมฉันได้หมดทุกข์เร็วสักหน่อยเถิดเพคะ”  

 

 

หรงจิงยิ้มแววตาผุดความชั่วร้าย  

 

 

“เป็นครั้งแรกนะนี่ที่ข้ามาปรนนิบัติป้อนยาคนอื่น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รับความปรารถนาดีเสียแล้ว…”  

 

 

หรงจิงพูดเช่นนี้ เซียงฉือรู้สึกว่าสายตาเขาในฉับพลันนั้นมีใบมีดร่วมร้อยแวบผ่าน นางตกใจไม่น้อย แต่แล้วหรงจิงก็เปลี่ยนความตั้งใจอย่างรวดเร็ว เขาโยนช้อนทิ้งแล้วเป่าเบาๆ จากนั้นยื่นชามยาจ่อริมฝีปากเซียงฉือ พูดว่า  

 

 

“รีบดื่มซะ”  

 

 

หรงจิงออกคำสั่ง เซียงฉือจึงดื่มยาที่เหลือในชามลงไปรวดเดียวแล้วนิ่วหน้า จะน่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหนก็ทำได้  

 

 

เซียงฉือเกลียดของขมฝาดมาแต่ไหนแต่ไรดังนั้นจึงเกลียดการกินยา ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะหรงจิงบังคับนางอยู่เช่นนี้ นางคงจะดิ้นรนถอยหนีไปแล้ว  

 

 

เมื่อหรงจิงเห็นนางดื่มลงไปแล้วก็ยิ้มอย่างดีใจ  

 

 

“รักษาร่างกายให้ดี เมื่อคืนเตียงของเจ้าเปียกชุ่มไปหมด วันนี้แดดดี ข้าสั่งให้นางกำนัลขนที่นอนเจ้าออกไปตากแดดแล้ว คืนนี้เจ้าก็กลับไปนอนยังที่ของเจ้าได้แล้ว”  

 

 

หรงจิงออกคำสั่งไล่แขกอย่างไม่มีความทะนุถนอม สีหน้าเหินห่างอย่างเป็นการเป็นงาน แต่เซียงฉือยิ้ม หรงจิงดีต่อนาง นางย่อมจดจำใส่ใจ  

 

 

ตั้งแต่เข้าตำหนักเจิ้งหยาง นับวันเซียงฉือยิ่งรู้สึกถึงความน่ารักของหรงจิง หลายๆ ครั้งที่เขาเหมือนเด็กไม่ยอมโตที่ยังคงซุกซนอยู่  

 

 

ทั้งยังดึงดันใช้วิธีการของเขาในการทำดีกับนาง โดยไม่ต้องการให้นางรู้  

 

 

เซียงฉือดื่มยาไปแล้วรู้สึกมึนศีรษะ แต่นางไม่มีอาหารตกถึงท้องมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว หรงจิงอดเป็นห่วงไม่ได้จึงได้สั่งให้ห้องเครื่องต้มข้าวต้มให้นางโดยเฉพาะนำมาให้นางกิน  

 

 

เซียงฉือทำตามอย่างว่าง่าย รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษจากหรงจิงด้วยความสบายใจ  

 

 

ร่างกายของนางอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ซู่เวิ่นเข้าตำหนักเจิ้งหยางมาตรวจให้นางอีกครั้งและเปลี่ยนยาที่ไม่ขมให้แก่นาง อีกทั้งยังมอบลูกอมไว้กับฮ่องเต้อีกด้วย ทำให้เซียงฉือเฝ้ารอหรงจิงกลับมาอย่างน่าสงสารทุกวันเพื่อที่จะได้กินยา  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset