ตอนที่ 400 หมอประหลาด
สมัยก่อนเหอจิ่นเซ่อไม่มีความกล้าพอจึงต้องเสียดายเสียใจอยู่หลายปี ถึงจะเข้าวังมาเป็นขุนนางเพราะเขา แต่ผ่านมาหลายปี สิ่งที่ยังเก็บอยู่มากยังคงเป็นความเสียใจ หากในตอนนั้นมีความกล้าสักหน่อย ไม่แน่ว่าวันเวลาของนางอาจแตกต่างไป
หญิงสาวอย่างพวกนาง พอเกิดมาก็ถูกตราของวงศ์ตระกูลนาบไว้แล้ว การปกป้องรักษาชาติตระกูลถือเป็นคำสั่งที่ถูกสลักลงในกระดูกและเลือดของพวกนาง
เพราะจิตใจที่ลึกลับของนางเช่นนี้ จึงทำให้สูญเสียสิทธิ์ในการได้รับความสุข นางอยู่มานานปี กลับได้มาพบหญิงสาวที่มีชะตาชีวิตดุจเดียวกับนางในอดีต
นางชื่นชอบเด็กคนนี้จึงไม่ต้องการให้นางมีชีวิตดุจเดียวกับชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง
ดังนั้นจึงหวังให้นางหลุดจากข้อผูกมัด สามารถได้รับความสุขอย่างแท้จริง
ใจของเซียงฉือถูกคำพูดของนางปลุกให้เต้นเร่าขึ้น ความคิดต่อต้านและความปรารถนาของนางถูกฝุ่นจับไว้จนทำให้สติสัมปชัญญะของนางค่อยๆ จมหาย
นางรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้น หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น
“ท่านพี่ ข้ายังต้องการสู้เพื่อตนเองสักครั้ง แต่ว่าไม่อาจหักหาญได้ พวกเราจะต้องกระทำอย่างระมัดระวัง เพียงเพื่อตัวเองแล้วข้าจะทำร้ายเขา ทำร้ายคนอื่นเพิ่มมากขึ้นอีกไม่ได้”
อวิ๋นเซียงฉือพยักหน้าอย่างจริงจัง แต่ก็จับมือเหอจิ่นเซ่อแล้วพูดขึ้นอย่างกังวลยิ่ง
เหอจิ่นเซ่อเข้าวังมานาน นอกจากนางแล้วเหมือนจะไม่มีใครอื่นที่ทำให้นางเอ่ยคำพูดเช่นเมื่อครู่ออกมา นั่นเป็นเพราะว่ามันคือคำพูดที่นางเก็บอยู่ในใจมานานปีตกเป็นตะกอนมาเนิ่นนานแล้ว
นางจึงได้ให้ความหวังกับตนเองเช่นนี้อีกครั้ง
เมื่อเหอจิ่นเซ่อฟังคำพูดนางแล้วก็ยิ้ม เจ้าเด็กคนนี้จิตใจดีงามจริงๆ
“เจ้าเด็กคนนี้ ลืมแล้วหรือไงว่าบ้านสกุลเหอของเหอเจี่ยนสุย ก็คือบ้านสกุลเหอของเหอจิ่นเซ่อคนนี้ แล้วข้าจะทำร้ายครอบครัวตัวเองได้อย่างไรกัน”
เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ทำตาโต จากนั้นจึงปิดปากหัวเราะขึ้น ใบหน้าแดงเรื่อขวยเขินขึ้นมา
เหอจิ่นเซ่อไม่ได้ล้อนาง พลันคิดขึ้นได้จึงได้ถามนางถึงธุระที่มาหา
เซียงฉือจึงนำของขวัญออกมา ทั้งคู่หัวเราะอย่างสนุกสนาน แล้วเหอจิ่นเซ่อจึงได้พูดกับนางถึงเรื่องซู่เวิ่น
“ข้าราชสำนักสตรีซู่เวิ่น เป็นหญิงสาวประหลาดที่มีความสามารถจริง วิชาการแพทย์ของนางได้มาจากหมอเท้าเปล่า [1] ถึงจะไม่ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง แต่นางสามารถเรียนรู้ได้เองโดยไม่ต้องมีอาจารย์ เพียงได้อ่านตำราผ่านตาก็จะไม่ลืม ศึกษาอย่างแคล่วคล่องและนำไปใช้ได้อย่างถูกทาง ใต้เท้าหัวหน้ากองโอสถเคยชมนางว่าเป็นผู้มีความสามารถมหัศจรรย์คนแรกในรอบพันปี”
เหอจิ่นเซ่อพูดด้วยความชื่นชมอย่างมาก แต่จู่ๆ ก็หยุดชะงักลง สีหน้านางแปลกประหลาดจะว่ายิ้มก็ไม่ใช่ ดวงตาทั้งคู่ผุดความรู้สึกจนใจ พูดกับเซียงฉือยิ้มๆ ว่า
“คงเพราะอัจฉริยะในโลกนี้ล้วนเป็นพวกประหลาด นางชื่นชอบแต่การศึกษาตำราแล้วก็รักษาให้แต่เพียงคนที่นางเห็นสมควร แต่ในวังแบบนี้ใช่เป็นท้องตลาดเสียเมื่อไร เหล่าท่านผู้สูงศักดิ์ใช่ว่าจะรับใช้ได้ง่ายๆ ดังนั้นใต้เท้าหัวหน้ากองโอสถจึงถือเสียว่านางวิกลจริต ให้นางไปดูแลเรื่องตำราและตัวยาต่างๆ ซึ่งนางกลับพอใจมาก ทุกวันจะมีเพียงตำราเท่านั้นที่เป็นเพื่อน”
เซียงฉือฟังแล้วก็สบตากับเหอจิ่นเซ่อ พากันหัวเราะขึ้นมา
“เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็เป็นสตรีที่ประหลาดจริงๆ แต่ไม่ทราบว่าใต้เท้ารู้จักกับนางได้อย่างไร ทั้งยังสามารถทำให้นางยอมช่วยข้าอีกด้วย”
เซียงฉือเกิดความสนใจในตัวนาง ทั้งนางยังเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตเซียงฉือ ถึงจะไม่ได้เป็นการตอบแทนอย่างมากมาย แต่เซียงฉือซาบซึ้งใจและย่อมต้องไปขอบคุณนาง การที่นางถามเหอจิ่นเซ่อเช่นนี้หวังว่าเหอจิ่นเซ่อจะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ เผื่อว่านางจะได้อ้างถึงเหอจิ่นเซ่อในการแสดงความขอบคุณต่อข้าราชสำนักสตรีซู่เวิ่น
เซียงฉือถามเช่นนั้นเหอจิ่นเซ่อก็หัวเราะ นอกจากวันนี้นางจะอารมณ์ดีแล้ว เป็นเพราะคำถามที่เซียงฉือถามล้วนน่าสนใจอีกด้วย
เหอจิ่นเซ่อพูดขึ้นว่า
“บอกแล้วใช่ไหมว่านางเป็นคนประหลาด ไม่ใช่ข้าเป็นคนไปเชิญนาง แต่ว่านางเป็นคนมาเชิญข้าเอง”
เหอจิ่นเซ่อชี้จมูกตนเองแล้วผงกศีรษะ
เซียงฉือตกใจและประหลาดใจ วันนั้นนางป่วยหนักจึงไม่รู้สภาพความเป็นไป แต่ว่ามีหมอมีฝีมือต้องการจะมารักษานางด้วยตนเอง นี่เพราะนางเป็นคนที่โชคดีที่สุดจริงๆ ใช่หรือไม่
[1] หมอเท้าเปล่า (赤脚大夫)หมอเท้าเปล่า (barefoot doctor) คือ เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำและทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน ความมุ่งหมายเพื่อนำสาธารณสุขสู่พื้นที่ชนบทซึ่งหมอที่ฝึกในเมืองจะไม่มาตั้งถิ่นฐาน
ตอนที่ 401 ซู่เวิ่น
เซียงฉือสงสัยอย่างยิ่งว่าเพราะเหตุใดซู่เวิ่นจึงได้ไปตรวจรักษาให้นางเป็นการเฉพาะ ทั้งที่สถานะนางเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้าที่ไม่ทัดเทียมด้วยเลย
หากจะบอกว่าเป็นเพราะนางใกล้ชิดฮ่องเต้ แต่หากเปรียบกับพวกจินกุ้ยเฟยและซูเฟยพระสนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานแล้วก็ยังห่างชั้นกันมากนัก ถ้าหากนางคิดจะประจบประแจง ก็ไม่ควรจะเลือกนาง
และเซียงฉือก็เชื่อว่าซู่เวิ่นไม่ใช่คนประเภทนั้น
เหอจิ่นเซ่อสงสัยเช่นกัน แต่งานในกองราชเลขาของนางมีไม่น้อยจึงไม่อาจปลีกตัวไปได้โดยง่าย เมื่อรับของขวัญไว้แล้วและกำชับเซียงฉืออีกคำสองคำจึงให้นางจากไป
เรื่องราวที่เซียงฉือได้รับรู้มาเมื่อครู่แม้ฟังดูน่าขำ ทว่าความสนใจในตัวซู่เวิ่นนั้นยิ่งทวีมากขึ้น
ช่วงก่อนนางยังมาคอยตรวจดูสภาพชีพจรให้อยู่เสมอ แต่ตอนนั้นเซียงฉือยังอาการแย่อยู่จึงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พอถึงตอนที่สติสัมปชัญญะนางแจ่มใสขึ้น กองโอสถก็ได้ส่งข้าราชสำนักสตรีด้อยอาวุโสมาจับชีพจรให้นางสองวันครั้งประมาณนั้น และถามไถ่อาการนางจนกระจ่างแล้วกลับไปรายงาน ส่วนยาบำรุงร่างกายที่ดื่มอยู่นั้นก็ยังคงต้องดื่มต่อไป
เซียงฉือไปถึงหน้าประตู แจ้งความประสงค์แล้วคอยอยู่ ในใจนางยังคนสนใจซู่เวิ่นคนนี้อย่างมากแต่ก็ไม่มั่นใจว่านางจะยอมให้พบหรือไม่
แต่ขอให้ของขวัญได้ส่งเข้าไปก็ยังดี อย่างน้อยความตั้งใจของนางก็ได้ถูกส่งเข้าไปแล้ว
นางยืนรออยู่ใต้ระเบียง ไม่นานนักก็มีนางกำนัลมาเรียกตัวนางเข้าไป
เมื่อย่างเท้าเข้าไปในกองโอสถ เซียงฉือรู้สึกถึงโลกข้างในและภายนอกนั้นเป็นสองโลกที่แตกต่างกันอย่างแท้จริง ข้างในนั้นมีนางกำนัลกับข้าราชสำนักสตรีกำลังตากเครื่องยาและทดสอบประสิทธิภาพยากันอยู่
ภายในห้องมีหม้อยาหลายใบยังคงเคี่ยวยาน้ำสีดำเข้มข้นอยู่ ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องยาที่ปกคลุมไปทั่ว
เซียงฉือถูกนางกำนัลพาไปยังหอคัมภีร์ของซู่เวิ่น
มองเห็นซู่เวิ่นสวมกระโปรงยาวสีเงินคลุมด้วยเสื้อตัวนอกสีเหลืองอ่อนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เซียงฉือตกตะลึง ใครๆ พากันพูดว่าซู่เวิ่นมีนิสัยประหลาด แต่กลับไม่มีใครเคยบอกว่านางมีใบหน้าที่งดงามประณีตถึงเพียงนี้
ขณะที่ซู่เวิ่นหมุนกายกลับมา กลิ่นบุปผาพาชะงักงัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซียงฉือมีความรู้สึกดีต่อนางตั้งแต่ต้น หรือความจริงแล้วนางเป็นประดุจดั่งนางฟ้าที่เจิดจรัสอยู่ใต้แสงตะวันแห่งต้นฤดูใบไม้ร่วง
“ข้าราชสำนักสตรีงานอักษรขั้นที่เก้าอวิ๋นเซียงฉือ คารวะใต้เท้า”
ลำดับขั้นของเซียงฉือต่ำกว่านางสามขั้น เข้ารับราชการช้ากว่านางสามปี ข้าราชสำนักสตรีส่วนมากในวังนี้หลังจากทำงานได้เจ็ดปีก็จะได้รับอนุญาตให้ออกจากวังไปแต่งงานหรือถูกฮ่องเต้รับไว้ถวายงานหรืออาจอยู่ทำงานในวังไปชั่วชีวิต
เหอจิ่นเซ่อยังคงอยู่ทำงานต่อในวัง ส่วนซูเฟยได้รับพระกรุณา ได้เป็นคนโปรดปรานในวังใน ส่วนข้าราชสำนักสตรีส่วนใหญ่เมื่อถึงวัยแล้วแต่ยังไร้หนทางก้าวหน้าก็จะออกจากวังไปทำงานยังหน่วยงานต่างๆ หรือแต่งงานไป
เซียงฉือรู้ว่านางไม่มีสิทธิพิเศษนี้ เพราะถึงฮ่องเต้จะอภัยโทษให้ครอบครัวนาง แต่นางก็ยังเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษอยู่
เมื่อเซียงฉือพูดจบ ซู่เวิ่นวางตำราในมือลง นางยิ้มพูดกับเซียงฉือว่า
“ดูสีหน้าเจ้าแล้วเหมือนเกือบจะหายดีแล้ว แต่ในใบเตือนแพทย์ของข้าสั่งไว้แล้ว หวังว่าใต้เท้าจะไม่ตรากตรำและใช้สมองมากจนเกินไป มิเช่นนั้นต้องกลายเป็นสตรีงามแสนอาภัพไปจริงๆ”
นางพูดจาอย่างไม่เกรงใจแต่เซียงฉือไม่รู้สึกโกรธ เพียงคารวะแล้วพูดว่า
“ข้ามาเพื่อขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยชีวิต ซึ่งเซียงฉือซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง และได้นำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มามอบให้ ขอใต้เท้าโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
เซียงฉือมาด้วยความซาบซึ้งใจก็ไม่น่าแปลกอะไร เพราะนางไม่ใช่เจ้านายในวัง แต่หรงจิงกลับเรียกข้าราชสำนักสตรีไปตรวจรักษานางยามดึก หากมิใช่เช่นนั้นนางคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว
ดังนั้นนางจึงรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณเหอจิ่นเซ่อกับซู่เวิ่น ส่วนที่มีต่อหรงจิงนั้นนางไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกมาอย่างไร