ตอนที่ 404 ยาบำรุง
เซียงฉือจะไม่ถามหรงจิงว่าเพราะเหตุใดองค์หญิงจึงต้องออกไปอยู่นอกวังตั้งแต่เล็ก ความลับของราชวงศ์แสนสลับซับซ้อน หากไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ย่อมไม่มีทางจะเข้าใจความเป็นมาเป็นไปได้กระจ่างตลอดกาล
แต่ถึงจะเป็นคนคลุกคลีอยู่ข้างในก็ใช่ว่าต้องรู้ ที่นางจำเป็นต้องรู้มีเพียงผลสรุปสุดท้ายก็เพียงพอ
หรงจิงมองเซียงฉือ เขาเคาะนิ้วเบาๆ บนโต๊ะอย่างใช้ความคิดแล้วพูดว่า
“เซียงฉือ จากนี้องค์หญิงหมิงอวี้จะอยู่ในตำหนักอวี้ชิง นางไม่มีคนสนิทในวังนี้ ถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็ไปเป็นเพื่อนนางบ่อยๆ สอนเรื่องกฎระเบียบให้นางบ้าง ข้าคงต้องเชิญอาจารย์มาสอนนางพร้อมกับองค์หญิงใหญ่หรงเย่ว์ที่ถึงเวลาเข้าศึกษาเล่าเรียนแล้วเหมือนกัน”
หรงเย่ว์อายุหกปีแล้ว เป็นวัยศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นของเหล่าลูกหลานในราชวงศ์ หรงเย่ว์เป็นเด็กฉลาดน่ารัก บางครั้งจิ้งเฟยก็สอนนางอ่านหนังสือบ้าง แต่อย่างไรก็ยังต้องมีครูอาจารย์มาสอนพวกนางอยู่ดี
เซียงฉือฟังคำพูดหรงจิงแล้วคิดตาม อาจารย์คนนี้ควรจะเป็นใครกัน
หรือจะเป็นเหอจิ่นเซ่อ
นางคิดได้ไม่มากก็ได้ยินองค์หญิงหมิงอวี้ยินดีปรีดา นางดึงมือเซียงฉือแล้วขอบคุณฮ่องเต้อย่างดีใจ
เซียงฉือผงกศีรษะน้อยๆ ทูลฮ่องเต้ว่า
“หม่อมฉันจะคอยเป็นเพื่อนองค์หญิงอย่างดี ไม่ให้ฝ่าบาททรงผิดหวังเพคะ”
พูดจบนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าปิดปากไอเบาๆ ถึงสภาพทั่วไปนางจะหายดีแล้ว แต่หากถูกลมเข้าก็จะแพ้อากาศอยู่บ้าง หรงจิงคิดขึ้นได้ว่านางยังป่วยอยู่จึงบอกว่า
“รักษาสุขภาพเจ้าให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน เรื่องนี้ไม่เร่งด่วน”
“หมิงอวี้เจ้านี่ก็หนีออกมาก่อนเช่นนี้ พวกทหารองครักษ์คงตกใจแทบตายกันไปแล้ว ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก เจ้าคงเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้พี่ค่อยคุยกับเจ้าใหม่”
หรงจิงสะบัดมือ หมิงอวี้ถอยออกไปแล้ว ขณะเซียงฉือคิดจะออกไปบ้างกลับถูกหรงจิงเรียกไว้
“เซียงฉืออยู่ก่อน”
หมิงอวี้ออกประตูไปไม่เหลียวหลัง เซียงฉือชะงักก่อนจะเดินกลับมายืนเรียบร้อยยังที่เดิม
“ฝ่าบาทยังทรงมีพระรับสั่งอันใดเพคะ”
เซียงฉือก้มหน้าถามอย่างนอบน้อมยิ่ง พอหรงจิงสะบัดมือซูกงกงก็ส่งชามกระเบื้องสีขาวใบหนึ่งให้นาง
“ดื่มยาบำรุงนี้ลงไปเสีย ข้าถามซู่เวิ่นแล้ว ที่เจ้าป่วยหนักเช่นนี้เพราะร่างกายขาดพลัง จะต้องบำรุงสักหน่อยจึงจะดีขึ้น”
เซียงฉือรับชามกระบื้องขาวมาแล้วดมกลิ่นข้างใน นางเลิกคิ้วแอบมองสีหน้าหรงจิง เห็นเขายังคงตรวจอ่านรายงานอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงได้ห่วงใยนางเช่นนี้
ถึงจะรับชามกระเบื้องขาวมาแล้วแต่ยังลังเลใจ นางมองดูของเหลวข้นสีขาวในชาม ในขณะที่เอ้อระเหยอยู่นั้นซูกงกงพูดขึ้นว่า
“โถๆ ใต้เท้าอวิ๋น นี่คือบัวหิมะชั้นเลิศอวิ๋นอู้ผสมกับโก๋วฉี่ชั้นเยี่ยมอวิ๋นกุ้ยและสาลี่หิมะหนานหยาง อีกทั้งยังมีตัวยาบำรุงล้ำค่าอีกมากมาย ต้องใช้เวลาเคี่ยวถึงสองวันจึงได้ออกมาถ้วยเท่านี้ ฝ่าบาททรงห่วงใยใต้เท้าอวิ๋นมาก ใต้เท้ายังไม่สำนึกในพระกรุณาอีกหรือ”
เซียงฉือยกชามกระเบื้องขาวอย่างสั่นเทา น้ำเชื่อมเพียงชามเล็กๆ แต่พิถีพิถันถึงเพียงนี้ นางยกชามไว้แล้วคุกเข่าลง
“เป็นพระมหากรุณาเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกในพระกรุณาเป็นล้นพ้น หม่อมฉัน…”
เซียงฉือยังคิดจะพูดด้วยความซาบซึ้งใจต่อแต่ถูกหรงจิงพูดขัดขึ้น
“รักษาร่างกายให้ดี ถ้าวันๆ เจ็บโน่นป่วยนี้แล้วจะมารับใช้ต่อเบื้องพระพักตร์ได้อย่างไร ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปห้ามการโลภนอนอีก ให้ตื่นขึ้นมาฝึกยุทธ์กับข้า”
เซียงฉือตกใจ มองดูหรงจิงตาโต ดวงตาเต็มไปด้วยความอึดอัดและไม่อยากเชื่อ
หรงจิงสีหน้าเคร่งขรึม เขาพยักหน้า ทำให้ความเพ้อฝันสุดท้ายของเซียงฉือพังทลาย จากนั้นเขาก้มหน้าจัดการรายงานต่อ เซียงฉือถือชามยาบำรุง แต่ใจร้องคร่ำครวญ
คิดจะดื่มเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
ถึงคิดเช่นนั้นแต่ก็ยังคงใช้ช้อนตักเข้าปากคำน้อย รสชาติหวานๆ นั้นไม่เลวเลย นางจึงดื่มต่อจนหมด
ตอนที่ 405 โหรวผินถวายงาน
เซียงฉือถอยออกไปแล้ว ซูกงกงมองเห็นมุมปากของหรงจิงแย้มขึ้นน้อยๆ ขณะที่ก้มหน้าอ่านรายงาน
เมื่อเขาเห็นแล้วก็บันทึกไว้ในใจ เหนือหัวของเขาน้อยครั้งนักที่จะผุดรอยยิ้มเช่นนี้
อาการป่วยของเซียงฉือยังไม่หายดี ยาบำรุงบัวหิมะชามนั้นที่นางได้ดื่มมีรสชาติหวานอร่อยมาก ทำให้นางติดใจหลงใหล
เพียงไม่นานทางลานด้านหลังก็มีเสียงประกาศขึ้นว่าโหรวผินได้มาถึงโถงยางหรงในตำหนักหลังแล้ว ตามด้วยเสียงฝีเท้าอลหม่านและผู้คนสับสนวุ่นวาย พวกกงกงและหมัวหมัวในกองพระตำหนักดูยังจะห่วงใยเรื่องการหลับนอนของฮ่องเต้ยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก
เซียงฉือเปิดหนังสือเล่มที่หรงจิงพูดถึงกับนางไว้เมื่อคราวก่อน ในช่วงที่ป่วยอยู่นี้หรงจิงเป็นห่วงสุขภาพนาง จึงอนุญาตให้นางไปตำหนักฉินเจิ้งได้เพียงวันละสองชั่วยามเท่านั้น เวลานอกจากนั้นนางต้องกลับมาพักผ่อน
เซียงฉือไม่ใช่คนประเภทอยู่นิ่งเฉยได้จึงได้เลือกหนังสือเล่มนี้มาอ่าน
“ทงเจี้ยน [1] ” เป็นหนังสือที่นางไม่เคยอ่านมาก่อน เป็นคัมภีร์ที่เก็บรักษาไว้ภายในพระราชฐาน สมัยก่อนเซียงฉือเคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ทางราชสำนักมีการควบคุมตำราเช่นนี้อย่างเข้มงวด หากนางไม่ได้เข้าวังและอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็น
เนื่องเพราะเป็นบันทึกเหตุการณ์การรบทั่วสารทิศของบูรพกษัตริย์ในสมัยก่อนที่เก็บไว้เพื่อแนะนำสอนสั่งชนรุ่นหลัง ทั้งการตีเมืองยึดครองดินแดน โดยให้คนบันทึกไว้หลายแง่มุม
เมื่อเซียงฉือได้อ่านแล้วทำให้ยิ่งนับถือฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่พระองค์นี้มากขึ้น ทุกอากัปกิริยา ทุกความคิดที่ลึกซึ้งของเขา ล้วนดำเนินไปอย่างรอบคอบทุกย่างก้าว สำหรับเซียงฉือแล้ว นี่คือจักรพรรดิผู้บุกเบิกงานใหญ่พระองค์หนึ่ง
ขณะที่นั่งอ่านอย่างจดจ่อก็ได้ยินเสียงประตูหลังที่จะผ่านเข้าโถงยางหรงถูกคนเคาะเบาๆ เซียงฉือเงยหน้าขึ้น นางคิดถึงคราวก่อนที่ถูกจินกุ้ยเฟยจับไปในห้องใต้ดินทำให้นางได้รับความอยุติธรรมจนบัดนี้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางจะไม่ยอมเปิดประตูโดยง่ายอีก
แต่วันนี้ฝ่าบาทยังอยู่ในตำหนัก ส่วนนางก็เป็นคนป่วยไม่เป็นพิษภัยกับใครจึงค่อยวางใจลงมาก
อย่างไรเสียช่วงนี้จินกุ้ยเฟยก็ถูกฝ่าบาทลงโทษให้สำนึกผิดอยู่คงไม่ถึงกับจะกลั่นแกล้งนางได้ หรือว่าจะเป็นโหรวผิน
เซียงฉือคิด ตอนนี้โหรวผินอยู่ในโถงยางหรง มาเคาะประตูในตอนนี้หรือว่าจะมีธุระอันใด
เซียงฉือวางหนังสือลงแล้วถามออกไปว่า “ท่านเป็นใคร”
นางรออยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงตอบจากด้านนอกว่า
“ใต้เท้าอวิ๋น โหรวผินทราบว่าท่านป่วยจึงได้มาเยี่ยม”
เป็นเสียงตอบจากนางกำนัลคนหนึ่ง เซียงฉือประหลาดใจเพราะยามปกตินางไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกับโหรวผิน จึงไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงจะมาเยี่ยมตน แต่นางก็ได้แต่คิด แล้วรีบเปิดประตูออกต้อนรับ มองเห็นโหรวผินในชุดสีฟ้าอ่อนยืนยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่หน้าประตู
“หม่อมฉันเซียงฉือ ถวายบังคมโหรวผิน…”
เมื่อครู่เซียงฉือเพิ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างโต๊ะแล้วรีบลุกมาเปิดประตูทำความเคารพจึงดูไม่เป็นการเสียมารยาท
โหรวผินรีบเดินเข้าไปประคองนางขึ้นแล้วพูดเสียงเบาว่า
“ใต้เท้าอวิ๋นรีบลุกขึ้นเถิด ข้ามาเพื่อเยี่ยมไข้ ไม่ต้องมากพิธี”
เสียงของโหรวผินนุ่มนวล นางรู้จักกับฮ่องเต้ตั้งแต่ยังเด็ก มีกิริยาท่าทางที่ดีงามไร้เดียงสาอยู่ในใจฮ่องเต้เสมอมา และนางยังคงรักษาความนุ่มนวลจริงใจนี้ไว้ เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจของฮ่องเต้อย่างที่สุด
“หม่อมฉันเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรี โหรวผินทรงห่วงใยเช่นนี้ เป็นเกียรติแก่หม่อมฉันยิ่งนักเพคะ”
เซียงฉือคารวะโหรวผินถูกนางประคองไว้แล้วพูดยิ้มๆ ว่า
“ฝ่าบาทโปรดปรานคนที่รู้ระเบียบที่สุด มิน่าเล่าจึงได้เห็นใต้เท้าอวิ๋นเป็นประหนึ่งแขนซ้ายขวา แต่ว่าข้าไม่ใช่ฝ่าบาทจึงไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากนัก หมัวหมัวหงซีบอกว่ายังเตรียมน้ำอาบไม่เสร็จ ข้าจึงใช้เวลานี้มาเยี่ยมดูอาการป่วยของน้องว่าหายดีหรือยัง…”
เซียงฉือได้ยินคำพูดเช่นนี้ย่อมซาบซึ้งใจอย่างยิ่งและสำนึกขอบคุณ
[1] ทงเจี้ยน หรือ จือจื้อทงเจี้ยน (资治通鉴) เป็นหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์สมัยก่อนโดยซือหม่ากวง มีทั้งหมด 294 เล่ม เริ่มบันทึกตั้งแต่สมัยคริสต์ศักราชที่ 403 ถึงคริสต์ศักราชที่ 959