ตอนที่ 406 ของขวัญจากโหรวผิน
“ความเจ็บป่วยของหม่อมฉันทำให้โหรวผินทรงกังวลพระทัยแล้ว แต่อีกไม่กี่วันก็คงจะหายดี เป็นพระกรุณาที่โหรวผินทรงห่วงใยเพคะ”
เซียงฉือพูดอย่างเกรงใจ โหรวผินได้ยินนางยังคงเกรงใจเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ถือโกรธอะไร นางปิดปากหัวเราะเบาๆ พูดว่า
“สมกับเป็นคนข้างพระวรกายฝ่าบาทจริงๆ โฮะโฮะ…”
“ได้ยินมาว่าใต้เท้ายังคงต้องบำรุงร่างกาย ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงประทานบัวหิมะให้ข้าเลี้ยงสองต้น ข้าเห็นว่าพลังในร่างกายใต้เท้ายังอ่อนแออยู่จึงนำมาให้ท่านต้นหนึ่ง”
เซียงฉือเมื่อได้ยินว่าบัวหิมะ ไม่รู้ว่าครั้งนี้ฝ่าบาทได้รับมามากน้อยเท่าไร คงกลัวจะเน่าอยู่ในคลัง ดังนั้นพบใครจึงได้มอบให้กระมัง
ความซาบซึ้งใจเดิมที่นางมีต่อหรงจิงลดลงไปกว่าครึ่ง แต่นางพูดปฏิเสธว่า
“ความปรารถนาดีของโหรวผินนับเป็นพระกรุณายิ่งเพคะ แต่หม่อมฉันเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้าจึงไม่กล้าละเมิดกฎระเบียบ โหรวผินทรงประทานให้ แต่ฝ่าบาทเคยทรงสั่งสอนห้ามมิให้รับของจากฝ่ายในเพคะ ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้หม่อมฉันขอรับไว้ด้วยใจ แต่ไม่กล้ารับของไว้เพคะ”
“เป็นพระกรุณาสำหรับความปรารถนาดีของโหรวผินเพคะ แต่ว่า…”
เซียงฉือยกเอาฮ่องเต้ออกมาอ้างเพื่อปฏิเสธ เพื่อหวังว่าโหรวผินจะไม่ทำให้นางลำบากใจ เพราะหรงจิงได้กำชับนางเป็นนักหนาว่าไม่ให้ติดต่อใกล้ชิดสนิทสนมกับนางสนมกำนัลฝ่ายในให้มาก ซึ่งนางก็เข้าใจความหมายดีจึงไม่กล้าละเมิด
วันปกติโดยส่วนมากแล้วนางจะอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง และหากจำเป็นจะไปไหนก็จะบอกกล่าวแก่ฮ่องเต้ก่อน ส่วนบัวหิมะต้นหนึ่งถึงจะไม่ใช่ของขวัญใหญ่โตอะไร แต่นางก็ไม่กล้ารับไว้อยู่ดีจึงได้ปฏิเสธ
แต่คิดไม่ถึงว่านางปฏิเสธแบบนี้ไปแล้วกลับถูกโหรวผินจับมือไว้แล้วพูดยิ้มๆ
“ของขวัญล้ำค่าอะไรกัน เจ้านี่จะเป็นประโยชน์ก็เฉพาะกับคนที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น หากกับฝ่าบาทที่มีพระพลานามัยแข็งแรงก็จะกลายเป็นของไร้ค่าไป ทั้งยังไม่ใช่แก้วแหวนเงินทองอะไร ทุกวันยังต้องคอยดูแลเอาใจใส่มันอีก”
“อีกอย่าง บัวหิมะของข้าก็เป็นของพระราชทานจากฝ่าบาท นำมาให้ต่อกับใต้เท้าอวิ๋นเช่นนี้เพียงหวังว่าใต้เท้าจะหายดีเร็วขึ้น จะได้ช่วยแบ่งเบาพระราชภาระได้”
“ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะสงสารฝ่าบาท ก่อนหน้านี้มีใต้เท้าอวิ๋นคอยช่วยเหลือฝ่าบาทจึงทรงสบายขึ้น แต่ระยะนี้อาการปวดศีรษะของพระองค์เริ่มกำเริบอีกแล้ว เฮ้อ…”
โหรวผินถอนใจเบาๆ เห็นได้ว่านางเพราะเป็นห่วงฮ่องเต้อย่างจริงใจจึงได้ทำเช่นนี้ เซียงฉือได้ยินแล้วรู้สึกเข้าใจถึงมิตรภาพในวัยเด็ก คู่รักเด็กชายหญิงที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันจึงได้เอาใจใส่กันเช่นนี้
ใจของนางคลายลงบ้างแล้วเพราะนางก็คิดถึงเหอเจี่ยนสุยขึ้นมา
จิตใจแบบนี้นางก็เป็นเช่นกัน ดังนั้นจึงยิ่งเข้าใจโหรวผินยิ่งขึ้น
แต่นางยังไม่ได้ตอบรับปากก็ได้ยินเสียงกระแอมจากด้านหลัง เซียงฉือนิ่งอึ้งแล้วหันกลับไปมองด้านหลังพร้อมโหรวผิน
เซียงฉือหันกายกลับไปก็เห็นหรงจิงเดินเข้ามาพอดี นางถอยหลังก้าวหนึ่งทำความเคารพ หรงจิงเดินไปเบื้องหน้านางแล้วพูดกับนางว่า
“เอาเถอะ ในเมื่อนางมอบให้ เจ้าก็เก็บไว้กินเถอะ”
เซียงฉือเงยหน้าขึ้นมองสายตาเขาและผงกศีรษะตอบรับ
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
หรงจิงจึงเดินไปเบื้องหน้าโหรวผิน ลูบไหล่นางแล้วพูดว่า
“สุขภาพข้าดีออกเช่นนี้ซูซูไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก เจ้าควรจะดูแลตัวเองให้ดีถึงจะถูก”
หรงจิงพูดกับโหรวผินด้วยน้ำเสียงเนิบช้าลง จากนั้นตระกองนางเดินเข้าตำหนักหลังไป
เซียงฉือทำความเคารพอยู่ในที่เดิม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นโหรวผินอิงแนบไหล่ของหรงจิงประดุจดั่งนกน้อยที่คลอเคลียคนอยู่
“ฝ่าบาทตรัสสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้น หม่อมฉันเห็นว่านางเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เจ็บป่วยขึ้นมาน่าสงสารนัก จึงหวังจะให้นางหายป่วยเร็วขึ้น เป็นเพราะหม่อมฉันไม่สามารถแบ่งเบาภารกิจของฝ่าบาทได้ หากใต้เท้าอวิ๋นหายดีเมื่อไร ฝ่าบาทจะได้ไม่ต้องทรงตรากตรำมากเช่นนี้อีกเพคะ”
หรงจิงฟังคำพูดนางแล้วยิ้มหวานอย่างยิ่ง เซียงฉือยืนอยู่ในที่นั้น มองดูหวนหวนนางกำนัลของโหรวผินค่อยๆ ปิดประตูลง
เซียงฉือมองเห็นหรงจิงจูบหน้าผากนางเบาๆ จากช่องประตูที่ค่อยๆ แคบลง
ตอนที่ 407 จุมพิตหน้าผาก
เซียงฉือไม่ได้ยินเสียงอ่อนหวานกระซิบกระซาบอีก แต่บางครั้งยังแว่วเสียงหัวเราะสนุกสนานออกมาอยู่บ้าง
เซียงฉือรู้ว่าสิ่งที่เด็กชายหญิงที่เติบโตมาด้วยกันแตกต่างจากคนอื่นนั้นก็คือความรู้สึกคุ้นเคย เหมือนสัญญาลับที่รู้กันเอง แค่เพียงคนหนึ่งคิดจะเขียนอะไร อีกคนหนึ่งก็สามารถรู้ได้
เซียงฉือนั่งลงข้างโต๊ะที่ริมหน้าต่าง หยิบหนังสือที่วางไว้เพื่อจะอ่านต่อ นางมองดูบัวหิมะที่โหรวผินมอบให้แล้วหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสมาธิอยู่กับตำรานั้น
แต่ไม่ว่านางจะบังคับตนเองอย่างไรก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ เพราะนางคิดถึงเหอเจี่ยนสุยขึ้นมา
‘หากเป็นไปได้จริงๆ หากยังมีโอกาส ข้าก็มีโอกาสจะได้อยู่เคียงคู่กับชายที่เติบโตมาพร้อมกับข้าคนนั้นตลอดไป’
เซียงฉือกอดแขนรู้สึกถึงลมหนาวอ่อนๆ โชยเข้ามาจากด้านนอก
“อย่าเพิ่งคิดมาก อดทนไปก่อนอีกสักระยะหนึ่งเถิด ย่อมจะต้องมีโอกาส”
ไม่ง่ายเลยกว่าเซียงฉือจะเก็บความคิดของตนลงได้และไม่ไปคิดถึงโลกที่อยู่ข้างหลังประตูบานนั้น อาจเป็นเพราะความหวาดกลัวตอนอยู่ในตำหนักซูเฟย ทำให้คืนนี้ต้องผ่านไปอย่างกังวล
แต่นางมีความรู้สึกค่อนข้างดีต่อโหรวผิน ความน่าอิจฉาที่รู้จักหรือก็คือความน่าอิจฉาในสิ่งที่นางไม่อาจจะมีได้
เซียงฉืออ่านหนังสือตอนหนึ่งแล้วจมสู่ความนึกคิด
“ราชันย์พึงต้องทำเพื่อชาติ ข้าราชบริพารต้องซื่อสัตย์ภักดีสุดกำลัง มนุษย์ต้องทำหน้าที่ตนให้ถึงที่สุด สรรพสิ่งพึงควรเป็นประโยชน์อย่างสูงสุด ให้ตนคงไว้ซึ่งชื่อเสียงดีงาม เพื่อความสถาพรสืบไปนิรันดร์”
ร่างทั้งร่างจมลงในพนักเก้าอี้ ปากพร่ำท่องประโยคนี้เบาๆ กระทั่งหลับไป
เวลาผ่านไปเซียงฉือหลับไปแล้ว หรงจิงออกมาจากโถงยางหรงเดินผ่านมาทางหนิงอวี้เก๋อของเซียงฉือ เขาเหลือบเห็นนางหลับอยู่บนเก้าอี้
คืนนี้เป็นโหรวผินที่เขาสนิทสนมด้วยมานานเป็นคนถวายงานบรรทม ซึ่งหรงจิงดีต่อนางตลอดมา แต่เมื่อครู่ก่อนไม่รู้เพราะเหตุใด เขาได้เห็นดวงตาคู่นั้นของเซียงฉือขณะที่ประตูกำลังจะปิดลง
แลดูเหมือนเปี่ยมด้วยความปรารถนา แม้ขณะเขาหลับตาก็ยังปรากฏขึ้นให้เห็น ทำให้เขานอนไม่หลับแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้เสมอ
ถ้าหากวันนี้คนที่ถวายงานบรรทมเป็นคนอื่น เขาต้องให้ออกจากตำหนักเจิ้งหยางไปแล้ว แต่เพราะเป็นโหรวผินที่ทำให้เขามีใจสงสารจึงได้ค่อยๆ ลุกออกมาเพื่อจะกลับไปทำงานต่อในตำหนักฉินเจิ้ง
ดังนั้นจึงได้มาถึงที่นี่ เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ มองดูเซียงฉือสยายผมนั่งอยู่บนเก้าอี้กอดไหล่หลับไป
“มิน่าถึงได้เจ็บป่วย นี่นะหรือที่เจ้าบอกว่าดูแลตัวเองอย่างดีแล้ว”
หรงจิงเดินเข้าไปปิดหน้าต่างอย่างระมัดระวัง แล้วถอดเสื้อคลุมบนกายห่มลงบนร่างนาง
ยามที่มองดูนาง ในใจพลุ่งพล่านบังเกิดความปรารถนาในตัวนาง แต่เขาเป็นฮ่องเต้ อีกทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่ฉลาดมีเหตุมีผล ไม่ได้เป็นฮ่องเต้ที่เหลวไหล
เขารู้ดีว่าสถานะความเป็นนักโทษหญิงของนางนั้น ถึงแม้จะเป็นข้าราชสำนักสตรีทำคุณไถ่โทษได้ แต่หากเป็นสนมขึ้นมาแล้ว บุตรที่กำเนิดจากนางจะต้องถูกผู้คนประณามตลอดไป ทั้งยังจะเป็นการฝังกลบความสามารถของนาง ทำให้นางกลายเหมือนดั่งคนสามัญทั่วไปอีก
และหรงจิงมองออกว่านางเองก็ไม่ยินยอมพร้อมใจ
แต่ว่าสายตาเมื่อครู่ทำให้หรงจิงไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่กันแน่ ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บทั้งยังเหมือนความอิจฉา
เขามองเห็นความรู้สึกมากมายที่ไม่ควรเกิดขึ้นในดวงตานาง
นางเองแท้ๆ ที่เป็นคนปฏิเสธ แต่เหตุใดจึงยังมีสายตาเช่นนั้น หรือว่าจะเป็นความหวาดกลัวจริงๆ
หรือว่าเป็นเพราะเรื่องของบ้านสกุลอวิ๋นที่ทำให้นางเกลียดตัวเอง
หรงจิงคิดหาเหตุมากมาย แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะเซียงฉือกำลังคิดถึงคนอีกคนหนึ่ง คนที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับนาง ที่จะปฏิบัติต่อนางเช่นเดียวกันนี้
หรงจิงมองนางเนิ่นนาง สุดท้ายจุมพิตเบาๆ ลงบนหน้าผากนาง
“ต่อไปข้าจะไม่ยอมให้เจ้าหาความลำบากใส่ตัวอีกแล้ว”
หรงจิงพูดจบและเพิ่งหมุนตัวจากไป ขณะที่เขาหมุนตัวไปนั้นขนตาเซียงฉือขยับน้อยๆ น้ำตาหลั่งรินลงมาหยดหนึ่ง