ตอนที่ 410 เทศกาลหยวนชิ่ง
องค์หญิงหมิงอวี้เงยหน้าขึ้นเช่นกัน นางเป็นน้องสาวหรงจิง ตามศักดิ์แล้วจึงเป็นอาหญิงของหรงเย่ว์
เมื่อนางเห็นหรงเย่ว์มองด้วยสายตามุ่งหวัง ดวงตานางแจ่มจ้าขึ้นมาจึงยิ้มแล้วเรียก
“เย่ว์เอ๋อร์รีบมา มีของกินด้วยนะ”
หรงเย่ว์ได้ยินแล้วก็รีบวิ่งเข้าไป ยิ้มร่าเริงเรียกขึ้น
“ท่านอาหญิง”
เมื่อก่อนนี้หมิงอวี้เก็บตัวอยู่แต่ในอารามในเขาลึกมาโดยตลอด ทำให้ไม่ได้พบปะญาติพี่น้อง ส่วนหรงเย่ว์เป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดู ถึงแม้อายุของทั้งคู่จะต่างกันมาก แต่พอได้ยินหรงเย่ว์เรียกนางว่าอาหญิงก็ดีใจ
ดังนั้นจึงมีเพียงหรงเย่ว์เท่านั้นที่สามารถแบ่งปันของกินจากมือของหมิงอวี้ได้
“ให้เจ้า นี่เป็นเหรินเซินกั่วที่พี่เซียงฉือให้มา เจ้าเคยกินมาก่อนไหม”
พวกนางสองเด็กหญิงแบ่งปันของกินทั้งพูดคุยหัวเราะกัน ทำให้เซียงฉือพลอยเบิกบานใจไปด้วย
เมื่อกลับถึงตำหนักเจิ้งหยาง หรงจิงนั่งอย่างสงบเรียบร้อย กำลังเดินหมากอยู่กับหรงเฉิงเยี่ย
สหายเดินหมากของฮ่องเต้มีไม่มาก มีหรงเฉิงเยี่ยที่มาบ่อยที่สุด ยังมีท่านเลขากรมขุนนางฟังโหย่วเหลียง ราชครูสวี่เสี่ยนหยางและยังมีเหอเจี่ยนสุย วันนี้หรงเฉิงเยี่ยเข้าวังมาจึงได้ยกชุดกระดานหมากหยกฟ้านวลของเซียงฉือออกมา
ถึงแม้ฮ่องเต้จะบอกว่าประทานให้เซียงฉือ แต่กระดานหมากนั้นยังคงตั้งอยู่ตำหนักฉินเจิ้ง ตำหนักหน้าของตำหนักเจิ้งหยางอย่างเรียบร้อย เพียงหรงจิงบอกว่ามอบให้ เซียงฉือกล้าหรือที่จะเคลื่อนย้ายออกไป
เพียงแต่ว่าตั้งแต่นั้นมานางก็ได้มีที่นั่งชมอย่างถูกต้องเหมาะสม เซียงฉือยังทำหน้าที่บริการน้ำร้อนน้ำชาให้ฮ่องเต้กับหรงเฉิงเยี่ย หากบังเอิญเห็นจุดอะไรที่น่าสนใจ นางก็จะปิดปากหัวเราะเบาๆ
‘ชมหมากห้ามพูดและห้ามหัวเราะ’
หรงเฉิงเยี่ยเมื่อจวนเจียนจะพ่ายแพ้ พอได้ยินเสียงหัวเราะของเซียงฉือก็ทำให้เขาไม่พอใจ แล้วพูดขึ้นอย่างโกรธๆ
เซียงฉือไม่ถือสาเขา นางนั่งลงข้างๆ หรงจิง พูดยิ้มๆ ว่า
‘ฝ่าบาท โปรดทรงเบามือหน่อยเถิดเพคะ เหลียนชินอ๋องจะต้านไม่ไหวอยู่แล้ว ทรงได้รังแกลูกศิษย์ของพระองค์อย่างหม่อมฉันนี่แล้วเพคะ’
หรงจิงได้ยินแล้วก็หัวเราะร่าเสียงดัง กระดานนี้เขาเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอนแล้ว พอเซียงฉือพูดเช่นนี้ทำให้เขาดีใจยิ่ง
เขายกน้ำชาที่เซียงฉือส่งให้ เลิกคิ้วขึ้นสูง
‘บางครั้งเท่านั้นแหละที่เขาจะร้ายกาจแต่ก็ได้แค่ปากเท่านั้นเอง’
หรงจิงหัวเราะแล้วลุกเดินออกไป เขาพลิกดูรายงานในช่วงระยะนี้แล้วกุมหน้าผากถอนใจ
‘เซียงฉือไหนบอกทีซิว่าเหตุใดรายงานในช่วงนี้จึงดูเหมือนกันไปหมด เจ้ามาช่วยเลือกอันที่ข้าคิดอยากดูและควรต้องดูออกมาที’
เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้น แล้วหยิบรายงานแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ นางเงยหน้าขึ้นมองหรงจิงยิ้มๆ พูดว่า
‘ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะทอดพระเนตรรายงานแบบไหนเพคะ หม่อมฉันจะเขียนในทันทีเพคะ’
เซียงฉือรู้ดีว่าที่หรงจิงพูดเช่นนี้ก็เพื่อหาทางออกให้ตัวเองเท่านั้น
ส่วนนางรู้เท่าทันความคิดหรงจิงอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังสามารถเปิดเผยได้ แต่นางรอให้หรงจิงเอ่ยปากขึ้นก่อน เพื่อที่ว่าหรงจิงจะได้เกิดความรู้สึกติดค้างต่อนาง
อีกทั้งต้องการให้พวกขุนนางเก่าแก่ทั้งหลายแสดงตัวออกมา ไม่ว่าคนบ้านสกุลจิน พวกพึ่งพาอาศัยหรือพวกเหยียบเรือสองแคม นางต้องการให้ฮ่องเต้ได้เห็น
หรงจิงได้ยินเซียงฉือพูดเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นเบิ่งตาโต
เขาเพียงยิ้มให้กับความใจกว้างของเซียงฉือ รายงานส่วนใหญ่ในระยะนี้ล้วนเป็นการขอความเมตตาให้กับจินกุ้ยเฟย หวังว่าฮ่องเต้จะยอมปล่อยนาง เพราะใกล้เทศกาลหยวนชิ่งแล้ว ซึ่งเป็นประเพณีสืบทอดต่อมาของแคว้นเซียวจิ่ง เป็นการเฉลิมฉลองที่ผลเก็บเกี่ยวตลอดปีมั่งคั่งบริบูรณ์ คนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
สำหรับคนในแคว้นเซียวจิ่งแล้ว ถือเป็นวันเทศกาลที่สำคัญยิ่ง ดังนั้นต่างก็ฉกฉวยโอกาสนี้เพื่อบ้านสกุลจิน ขอความเมตตาจากฮ่องเต้ให้ปล่อยจินกุ้ยเฟยจากการถูกหรงจิงสั่งกักบริเวณ เนื่องจากปกครองคนเบื้องล่างบกพร่อง
เดิมหรงจิงสั่งกักนางครึ่งเดือนเพื่อให้นางปิดประตูสำนึกผิด แต่เพราะท่านปู่ของเซียงฉือถูกทำร้าย หรงจิงจึงจงใจไม่ออกคำสั่งเพื่อให้ปลดปล่อยนาง
ตอนที่ 411 เสือน้อยที่ดื้อรั้น
เซียงฉือถามหรงจิงเช่นนั้นทำให้หรงเฉิงเยี่ยหัวเราะขำ พูดกับฮ่องเต้ว่า
“ข้าราชสำนักสตรีของฝ่าบาทคนนี้เห็นท่าจะไม่ใช่ลูกแมวแต่เป็นลูกเสือนะพะย่ะค่ะ เดี๋ยวๆ ก็กางเล็บออกมา เสด็จพี่ทรงพระเกษมสำราญเถิด กระหม่อมขอทูลลาไปก่อนแล้ว”
หรงเฉิงเยี่ยมองเห็นตำหนักเจิ้งหยางใกล้เกิดช่องว่างหนาวเหน็บขึ้นแล้วจึงหัวเราะแล้วรีบเร่งจากไป เนื่องจากฮ่องเต้มักจะเรียกหาเขาให้มาเดินหมากด้วยในยามว่าง คุยกันเรื่องภาพวาดกาพย์กลอน เขาจึงกลายเป็นคนคุ้นเคยเก่าแก่ของตำหนักเจิ้งหยางไป
การเข้าออกบ่อยๆ ทำให้รู้ว่าหลายวันมานี้หรงจิงทำเหมือนไม่เห็นรายงานพวกนั้น รวมถึงความรู้สึกของอวิ๋นเซียงฉือ
รายงานต่างๆ ของหรงจิงจะต้องผ่านมืออวิ๋นเซียงฉือก่อน หากนางฉลาดหรือใจกว้างพอ ย่อมต้องทูลขอให้หรงจิงปล่อยจินกุ้ยเฟยด้วยตัวเอง
แล้วหรงจิงก็จะชมนางว่าใจคอกว้างขวางเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ว่านางไม่พูด แต่ละวันทำเหมือนมองไม่เห็น ราวกับไม่รู้ว่าในนั้นพูดถึงเรื่องอะไร บางทีหรงจิงจะทำเป็นเตือน นางก็เห็นแต่ไม่พูดอะไร
ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่า เพียงแค่นางปลิ้นปล้อนสักนิด แล้งน้ำใจสักหน่อย ยินยอมใช้ชีวิตของท่านปู่กับท่านอารองของนาง เพื่อแลกกับคำชมจากหรงจิง นางเคยคิดว่า การที่นางคอยแต่แบกเรื่องนี้ไว้ มีแต่จะทำให้หรงจิงเบื่อ หาว่านางไม่รู้จักมองให้เข้าใจในภาพรวม
แต่ว่านางยอมเป็นแบบนี้ โดยจะไม่มีวันยอมก้มหัว นี่เป็นอุปนิสัยของนาง
หรงจิงมองดูอวิ๋นเซียงฉือแล้วขมวดคิ้ว การพูดคุยเล่นเมื่อครู่มลายหายไป
เขาเริ่มโกรธ เรื่องนี้ถึงแม้จินกุ้ยเฟยจะทำผิด แต่ในใจเขานั้นคิดว่าการลงโทษเท่านี้เพียงพอแล้ว ก็เพียงแค่ขุนนางต้องโทษคนหนึ่งเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะต้องการรักษาหน้าฮ่องเต้ของเขา เขาคงไม่ไปก่อปัญหากับบ้านสกุลจิน ถึงขนาดนี้แล้วอวิ๋นเซียงฉือยังไม่รู้ดีชั่วอีก
เขาชักไม่พอใจ ไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เซียงฉือยังคงยืนอยู่ ถามยิ้มๆ ว่า
“ฝ่าบาททรงประสงค์รายงานแบบไหนเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรี รู้ดีถึงความต่ำต้อยของสถานะตัวเอง ไม่อาจล่วงรู้ถึงพระทัยฮ่องเต้ที่สูงส่งได้เพคะ”
“ดังนั้นจึงต้องรอให้พระองค์รับสั่งก่อน หม่อมฉันจึงจะรู้ว่าควรทำอย่างไรเพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้หรงจิงชักสีหน้า ซูกงกงเห็นนางเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าแต่ไม่กล้าพูดแทรก
เมื่อฟังเซียงฉือพูดเช่นนั้น หรงจิงที่ไม่พอใจอยู่ ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งขึ้นมา
“พอได้แล้วอวิ๋นเซียงฉือ อย่าคิดว่าข้าไว้ใจเจ้าแล้วก็กล้ามากำแหงกับข้าได้!”
เซียงฉือคุกเข่า โขกศีรษะดังโป๊กลงบนพื้นเย็นเฉียบ
หรงจิงเห็นนางทำเช่นนั้นหน้าอกก็กระเพื่อมรุนแรง เขารีบหันหน้ากลับไม่ต้องการเห็นนาง
เซียงฉือโขกศีรษะลงทื่อๆ จากนั้นยืดตัวขึ้นพูดว่า
“ชีวิตของหม่อมฉันเป็นของฝ่าบาท หากพระองค์ประสงค์ชีวิตของหม่อมฉัน หม่อมฉันย่อมต้องถวายให้เป็นแน่แท้ แต่ว่าเรื่องนี้หม่อมฉันไม่สามารถช่วยแบ่งเบาพระราชภาระได้เพคะ” อวิ๋นเซียงฉือโขกศีรษะอีกครั้งพูดว่า
“หม่อมฉันเข้าวังตอนอายุสิบหกปี ก่อนอายุสิบหกปีนั้น ชีวิตของหม่อมฉันเป็นของบิดามารดา หลังอายุสิบหกปีเป็นชีวิตที่ฝ่าบาททรงประทานให้ ฝ่าบาททรงสามารถบัญชาหม่อมฉันภายหลังสิบหกปีแล้วได้ แต่ไม่อาจทรงเปลี่ยนแปลงหม่อมฉันตอนก่อนสิบหกปีเพคะ”
“หม่อมฉันเป็นคนดื้อรั้น ฝ่าบาททรงทราบดีอยู่แล้วนี่เพคะ”
เมื่ออวิ๋นเซียงฉือพูดเช่นนี้ หรงจิงกลับถูกนางป่วนเสียจนความโกรธกลายเป็นความเพลิดเพลินขึ้นมา
ดวงตาหงส์คู่นั้นยิ้มจนหยีเป็นยาวรี เขามองดูอวิ๋นเซียงฉือแล้วหัวเราะ
เขาชอบอวิ๋นเซียงฉือในลักษณะนี้มิใช่หรือ ดุจราวเสือน้อยที่ไม่ใช่ฝูงลูกแมวในฝ่ายในพวกนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นนางก็มาจากความแข็งกร้าวจากภายในใจนางนั่นเอง
และที่เขาชื่นชอบที่สุดก็เพราะนางหัวแข็ง แต่ก็เชื่อฟังคำพูดเขาอย่างยิ่ง ขอเพียงความดื้อรั้นนี้จะไม่ทำร้ายนาง
คำพูดของอวิ๋นเซียงฉือประกาศอย่างชัดเจนแล้ว
คำบัญชาจากฮ่องเต้ อวิ๋นเซียงฉือย่อมเชื่อฟังโดยไม่มีความคับแค้นใจแม้แต่น้อย แต่ถ้าจะให้นางขอความเมตตาให้จินกุ้ยเฟยนางจะไม่ยินยอมทำ นอกเสียจากว่าฮ่องเต้สามารถกลับไปในช่วงก่อนที่นางอายุสิบหกแล้วสั่งนางในขณะนั้น