ตอนที่ 412 การลงโทษ
ถึงแม้หรงจิงจะรู้สึกว่านางไม่เชื่อฟังนัก แต่สำหรับเรื่องนี้ ถึงจะไม่สามารถแก้ไขได้งดงามแต่ก็ไม่ได้ติดขัดหากเขาจะแก้ไข อย่างน้อยเซียงฉือก็ได้แสดงเจตนารมณ์แล้ว
หรงจิงปิดรายงานดังป้าบ
“บนพื้นเย็นหรือไม่”
อวิ๋นเซียงฉือได้ยินก็รู้ว่าหรงจิงไม่โกรธแล้วจึงยิ้มแล้วเตรียมลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ลุกก็ได้ยินหรงจิงพูดว่า
“ข้ายังไม่ได้สั่งให้เจ้าลุกขึ้น คุกเข่าต่อไป”
เซียงฉือเบ้ปากทำตาปริบๆ แต่ยังคงคุกเข่าอย่างเชื่อฟัง นางยังไม่ทันได้ตอบว่าเย็นหรือไม่ หรงจิงก็พูดขึ้นอีก แต่เป็นการพูดกับซูกงกงว่า
“ไปหาเบาะรองมาให้นาง แล้วไปนำ ‘บันทึกรบ’ ที่ข้ายังอ่านไม่จบตั้งแต่เมื่อวานจวบจนวันนี้มานี่”
‘บันทึกรบ’ เป็นคำเรียกย่อของหรงจิง ความจริงแล้วคือ ‘บันทึกจริงด้านยุทธวิธี’ ของแคว้นเซียวจิ่ง แค่ฟังชื่อก็รู้ว่าเป็นตำราเล่มหนา เซียงฉือไม่รู้ว่าหรงจิงจะทำอะไร
ซูกงกงนำเบาะรองหนาๆ มาให้นางใบหนึ่ง เมื่อคุกเข่าอยู่บนนั้นจึงไม่รู้สึกทรมานนัก หรงจิงรับหนังสือ ‘บันทึกรบ’ ที่ซูกงกงส่งให้แล้วก็ยิ้ม
“มาคุกเข่าที่ข้างหน้าข้านี่”
เซียงฉือหยิบเบาะแล้วแวบไปโดยไว จากนั้นคุกเข่าอย่างสงบเสงี่ยม หรงจิงกอดอกพิจารณาดูนาง
“ยกมือขึ้นมา”
เซียงฉือไม่กล้าขัด แต่ก็สงสัย
“โอ๊ย”
ฉับพลันนางรู้สึกถึงน้ำหนักบนมือที่เพิ่มขึ้น แสงสว่างเหนือศีรษะก็ถูกบดบังไป
“ยกสูงขึ้นอีก”
น้ำเสียงของหรงจิงเยือกเย็น เซียงฉือจึงยืดแขนสูงขึ้น
หรงจิงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ต่ำลงอีกหน่อย”
“นั่นแหละ แบบนี้ อย่าขยับ”
แล้วหรงจิงก็หมุนตัวกลับไปทำงานของตนทันที เมื่อเขาอ่านรายงานจบฉบับหนึ่งก็วางลงบนแขนเซียงฉือ
ยังไม่ทันนานเท่าใดเซียงฉือยกต่อไม่ไหวอีกแล้ว เหงื่อบนร่างหยดลงมาติ๋งๆ
หรงจิงหันกลับไปมองแล้วพูดขึ้นว่า
“ตอนนี้อวิ๋นเซียงฉือเมื่อสิบหกปีก่อนยังกล้ากำเริบเสิบสานอีกไหม”
หรงจิงหายโกรธแล้ว แต่เขากำลังใช้วิธีของตนเองสั่งสอนอวิ๋นเซียงฉือ เรื่องอะไรที่ทำดีสมควรให้รางวัล แต่หากทำไม่ดีก็สมควรต้องทำโทษ
เขาเป็นฮ่องเต้ที่แยกแยะรางวัลกับการลงโทษได้อย่างชัดเจนเสมอมา
อวิ๋นเซียงฉือได้ยินแล้ว แต่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ถี่ๆ เป็นชั้นซึมออกจากร่างนาง แขนของนางสั่นน้อยๆ ทว่าไม่พูดอะไรสักคำ
หรงจิงมองนางอีกครั้ง เมื่อเห็นนางไม่ตอบจึงขมวดคิ้วแล้วสะบัดมือให้คนอื่นออกไป
“เซียงฉือ อย่ามาทำอวดฉลาดอยู่ต่อหน้าข้าเลย ข้าไม่ชอบ เจ้าเป็นคนสนิทข้างกายข้า ทุกอากัปกิริยาของเจ้าไม่ใช่เพียงแสดงตัวตนของเจ้าแต่เป็นการแสดงถึงตัวข้าด้วย อย่าให้การอวดฉลาดของเจ้าทำลายชีวิตเจ้าเลย”
เซียงฉือได้ยินแล้วร่างสั่นเทิ้มขึ้น รายงานบนมือไม่ทันระวังก็ร่วงหล่นเผละลงไปเล่มหนึ่ง พอหรงจิงเห็นก็หยิบขึ้นมาแล้ววางกลับลงไปใหม่
“ครั้งแรกที่ได้พบเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ามีความหยิ่งทะนงราวนกยูง แต่การอยู่ในวัง อยู่ข้างกายข้านี้ ทุกการพูดจาและการกระทำจะต้องรอบคอบระมัดระวัง เก็บความหยิ่งทะนงของเจ้าเอาไว้ในใจไม่อาจให้เผยออกเบื้องนอกได้ และจะต้องฝึกเป็นนกกระจอกให้ได้”
เซียงฉือฟังแล้วนิ่งงัน นกกระจอกหรือ
นางรู้ว่าหรงจิงไม่ได้โกรธแล้ว แต่กำลังอบรมนางอยู่เหมือนกับท่านปู่
เมื่อใจเซียงฉือหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องราว ทำให้มือนางไม่นิ่ง รายงานพากันร่วงหล่นลงพื้น แล้วแขนของนางก็ห้อยตกตามลงมาด้วย
ท่ามกลางความลนลานนางกำลังรีบเก็บเพื่อยกทูนขึ้นใหม่ หรงจิงยื่นนิ้วมือออกสองนิ้วแตะปลายคางนางแล้วเชยศีรษะนางขึ้นเบาๆ
ดวงตาเรียวยาวคู่หนึ่งจ้องลงในดวงตานาง
“ฝ่าบาท”
เซียงฉือเรียกเขา ไม่กล้าสบตาด้วยแต่ก็ไม่กล้าหลบเลี่ยง ทว่าแสงสว่างในดวงตานางมืดหม่นลง
ตอนที่ 413 จิ้งเฟย
เซียงฉือยังคงถูกอบรมอยู่ สายตาหรงจิงที่มองดูนางลึกซึ้งขึ้นทุกที เซียงฉือได้แต่นิ่งตะลึงอยู่กับที่ มองดูเขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ตนเอง
กระทั่งสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกัน ใบหน้าของเขาเข้าใกล้ม่านตานางเข้าไปทุกที
“ฝ่าบาท จิ้งเฟยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงขานร้องของซูกงกงด้านนอกทำให้หรงจิงได้สติขึ้นทันใด เขาชะงักร่าง หัวคิ้วฉายความไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะ เขาปล่อยคางของเซียงฉืออย่างช้าๆ มองดูนางแล้วยิ้ม
“ต่อไปก็เชื่อฟังหน่อยล่ะ กลับไปนั่งที่ได้แล้ว”
เซียงฉือพยักหน้าแล้วทำความเคารพ นางเก็บของต่อในอิริยาบทเดิม แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ใจของนางแทบหยุดเต้น
ระยะนี้หรงจิงสนใจนางเป็นพิเศษจึงมักหยอกเย้าล้อนางเล่น แต่เขายังคงมีขอบเขตและจะไม่ล้ำเส้นอย่างเด็ดขาด เซียงฉือรู้สึกว่าหรงจิงทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับแมว ส่วนนางก็คือหนูตัวหนึ่ง
เมื่อนางไม่เชื่อฟัง ดังนั้นเจ้าแมวจึงสนใจแล้วจับนาง จากนั้นก็ปล่อย วนเวียนไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะรู้ว่าเจ้าหนูตัวนั้นไม่คิดหลบหนีอีก เมื่อถูกเขาจับได้แล้วก็จะนิ่งรอรับชะตากรรม
เขากำลังทำให้เซียงฉือคุ้นชินกับเขาเช่นนี้
เพราะว่าฮ่องเต้อย่างเขายังไม่เคยพลาดจากสิ่งที่ตนปรารถนา ไม่เคยถูกหญิงสาวคนใดปฏิเสธมาก่อน ซึ่งอาจบอกได้ว่าหลังจากที่เขาครองราชย์เป็นต้นมา ยังไม่เคยมีเรื่องอะไรที่เขายังทำไม่ได้มาก่อน
เขากำลังหยั่งเชิง เขาหยั่งเฉิงเซียงฉือและทดสอบตัวเองด้วย
เมื่อเซียงฉือเก็บของเสร็จกลับไปนั่งยังที่นั่งของตนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว หรงจิงจึงได้สั่งกับด้านนอก
“ให้นางเข้ามาได้”
พอหรงจิงพูดจบก็ได้เห็นสตรีในชุดลายตะวันยามสารทจูงเด็กหญิงเกล้าแกละคู่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เด็กหญิงพอเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้งแล้วเห็นหรงจิงนั่งอยู่ก็ยิ้มอย่างดีใจ แต่ก็หลบไปอยู่ข้างหลังสตรีคนนั้น เพียงโผล่ดวงตาออกมามองดูหรงจิงอย่างหวาดๆ
เด็กหญิงคนนี้ก็คือองค์หญิงหรงเย่ว์ที่เมื่อครู่ยังกินเหรินเซินกั่วอยู่กับเซียงฉือนั่นเอง
หรงจิงคิดว่าจะมีเพียงจิ้งเฟยคนเดียว ไม่คิดว่าหรงเย่ว์จะตามมาด้วย ดังนั้นจึงดีใจขึ้นมา หรงเย่ว์เป็นธิดาคนโตของเขา ถึงเขาจะเป็นคนเข้มงวด แต่ปฏิบัติกับบุตรสาวคนนี้ด้วยความรักใคร่
“เย่ว์เอ๋อร์ก็มาด้วยหรือ มา รีบมานี่ให้เสด็จพ่ออุ้มหน่อย”
หรงเย่ว์แอบอยู่ข้างหลังจิ้งเฟย จิ้งเฟยเห็นนางขวยอายอยู่เช่นนั้นจึงคิดจะดึงตัวนางออกมาจากด้านหลังแต่นางไม่ยินยอมจึงได้แต่ถอนใจพูดว่า
“ฝ่าบาททรงน่าเกรงขามเช่นนี้ทำให้เจ้าหนูนี่หวาดกลัวเพคะ คงเป็นความผิดของหม่อมฉันที่ไม่ได้พานางมาเฝ้าฝ่าบาทบ่อยๆ ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยเพคะ”
จิ้งเฟยงามละมุนละไม มีสง่าและนุ่มนวล มีรอยยิ้มอบอุ่น เป็นสตรีที่งดงามเพียบพร้อม คิ้วโก่งราวใบหลิวบนใบหน้ารูปไข่ห่าน แบบฉบับความอบอุ่นอ่อนโยนของหญิงสาวแดนซูโจว
นางงดงามอย่างยิ่ง สงบเสงี่ยมประดุจต้นเสาเย่าผลิดอกเบ่งบานเงียบสงบ มองดูสบายตา
หรงจิงตั้งใจเตรียมกอดบุตรสาว แต่หรงเย่ว์ดูห่างเหินไม่คุ้นชินกับเขา ถึงจะไม่หงุดหงิดแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ
เซียงฉือเห็นสายตาองค์หญิงหรงเย่ว์จ้องนิ่งมายังนาง ทั้งยังขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดปัญหาอะไรอยุ่
เซียงฉือเดินเข้าไปทำความเคารพ
“ข้าราชสำนักสตรีตำหนักเจิ้งหยางอวิ๋นเซียงฉือถวายบังคมจิ้งเฟยและองค์หญิงหรงเย่ว์เพคะ”
เซียงฉือทำความเคารพจิ้งเฟยไม่ได้ทำให้นางลำบากจึงเรียกนางลุกขึ้น
เมื่อลุกขึ้นแล้ว เซียงฉือก็ยิ้มแล้วพูดกับหรงเย่ว์ที่ข้างหลังจิ้งเฟยว่า
“องค์หญิงหรงเย่ว์ทรงจำเซียงฉือได้ไหมเพคะ บ่ายวันนี้…”
เซียงฉือค่อยๆ โน้มน้าว จิ้งเฟยกับหรงจิงนิ่งงัน แต่เด็กน้อยนั้นกลับค่อยๆ คลายมือที่จับจิ้งเฟยไว้ มองดูเซียงฉือด้วยความใกล้ชิดยิ่งขึ้น