ตอนที่ 422 เหอเจี่ยนสุยมีวิทยายุทธ์?
เซียงฉือกลับไปบ้านสกุลหลิ่ว ถึงนางจะยังรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งแต่ก็พยายามบังคับตัวเองไม่ให้คิด แล้วล้มตัวลงนอน
ส่วนคนชุดดำทั้งสองฝ่ายเมื่อครู่ไล่ล่ากันไปจนถึงในป่าทึบใต้ภูเขาของอารามเทียนอินที่นอกกำแพง
“ถ้าพวกเจ้ายังตามมาอีก ข้าจะเชือดคอเจ้านี่ซะ!”
พวกที่ถือมีดสั้นถูกพวกข้างหลังไล่มาอย่างกระชั้นชิด พวกมันไม่สามารถสลัดหลบหนีทั้งยังสู้ไม่ได้ ตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลและเหนื่อยล้ากันอย่างยิ่ง
แต่พวกที่เผชิญหน้าด้วยไม่ยอมลดละ
หัวหน้ากลุ่มชุดดำเพราะแบกชายที่ปิดหน้าไว้ทำให้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรง ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็มีเป้าหมายเดียวกับพวกเขา คิดจะจับชายคนนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปเช่นนั้น
แต่พอเขาพูดจบ เกิดเสียงหวีดหวิดของลูกธนูดังขึ้นแล้วพุ่งเสียบลำคอเขาเป็นโพรงเลือดไหลออกมาเป็นสาย เขาตกตะลึง กว่าจะรู้สึกตัวไปอุดปากแผลก็สายเกินแก้แล้ว
ร่างเขาค่อยๆ ล้มลง มีคนชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งเข้าสมทบกับกลุ่มของคนชุดดำดาบด้ามสั้น แล้วโอบล้อมพวกชุดดำด้านในเอาไว้
ในความเลือนรางของป่าทึบ มองเห็นชายถือโคมไฟคนหนึ่ง โคมไฟในมือเขาปลิวไสวด้วยลมจากบนภูเขา แสงไฟไหวริบหรี่
“จับตัวกลับไป!”
น้ำเสียงเขาเย็นเฉียบ พอเขาสั่งการไปแล้ว พวกถือมีดสั้นที่ยืนประจัญหน้ากันอยู่พากันฆ่าตัวตาย คนคนนั้นยืนจ้องเขม็ง บรรยากาศรอบด้านหนาวเย็นขึ้นอีกมาก
“เจ้าพวกขายชีวิต ทำได้หมดจดนัก คิดว่าคงตรวจสอบอะไรไม่ได้แล้ว จัดการกับศพเสีย ส่วนคนพากลับไป!”
คนคนนั้นหมุนกายแล้วเดินออกจากที่เดิม โคมไฟในมือเขาเป็นโคมที่วาดภาพต้นท้อต้นหนึ่ง แบบเดียวกับของเซียงฉือ
หลังจากพวกเขาจากไปได้ไม่นานก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งไปถึงที่นั่น
เหอเจี่ยนสุยอยู่ในที่นั้น
“นายน้อย คนของพวกเราตายหมดแล้วขอรับ”
เหอเจี่ยนสุยสวมเสื้อเกราะสีดำ ผ้าคลุมสีดำถูกลมพัดดังพั่บๆ ใบหน้าเหอเจี่ยนสุยปานหยกทว่าเย็นเยือก
เขาพูดขึ้นด้วยความโกรธจัด
“เจ้าพวกไม่ได้เรื่อง ให้พวกเจ้าเฝ้าคนใกล้ตายคนหนึ่งยังเฝ้าไม่ได้ ไร้ประโยชน์จริงๆ!”
เหอเจี่ยนสุยฟาดฝ่ามือไปบนลำต้นไม้ข้างกายขนาดเท่าปากชามต้นหนึ่ง เสียงปังดังขึ้นตามด้วยลำต้นไม้ที่ล้มลงพื้น
เหอเจี่ยนสุยเป็นพวกปัญญาชน ไม่มีใครรู้ว่าเขามีกำลังภายในที่ลึกล้ำขนาดนี้ ใบหน้าที่ฉุนเฉียวในยามนี้ แตกต่างจากชายหนุ่มผู้อ่อนโยนปานหยกในยามปกติอย่างสิ้นเชิง
แววตาเขาเปล่งประกายเข่นฆ่าดุร้าย
“ยังไม่รีบไปตรวจสอบดูอีกว่าใครกันที่กล้ามาปล้นคนของข้า ตรวจสอบได้แล้วรีบมารายงาน!”
แววตาเหอเจี่ยนสุยอำมหิตยิ่งขึ้น เขามองดูความมืดไม่สิ้นสุดเบื้องหน้า หรี่ตาแล้วริมฝีปากบางขยับขึ้นเบาๆ
“แจ้งเหยาฮวา เลื่อนแผนให้เร็วขึ้น”
เงาสีดำสายหนึ่งด้านหลังผละไปเงียบๆ ราวเมฆดำก้อนหนึ่ง หายเข้าไปในป่าทึบลึก
ดวงตาเหอเจี่ยนสุยยิ่งลึกล้ำขึ้นทุกที เขามองออกไปไกลแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร อย่าหมายคิดมาทำลายแผนการของข้า!”
พูดจบมุมปากก็ฉีกรอยยิ้มเยาะ หลังจากนั้น ป่าทึบใต้อารามเทียนอินก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง
ความจริงคืนนี้ควรเป็นวันอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่ดีงาม แต่กลับมาเกิดเรื่องเช่นนี้ ทำให้เซียงฉือถึงกับหมดอารมณ์
ยิ่งคิดนางยิ่งรู้สึกว่าคนคนนั้นคือบิดาของตน ยามที่นางหลับตาก็จะคิดถึงสายตาของคนคนนั้นที่มองมายังตน
เซียงฉือรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรกับนางแต่ยังไม่มีโอกาส
นางบังเกิดความสงสัยยิ่งขึ้นทำให้นอนกระสับกระส่าย
ตอนที่ 423 วันเกิดจิ้งเฟย
ระยะเวลาเข้าวังของจิ้งเฟยยาวนานกว่าคนอื่น ต่อมาถึงแม้จินกุ้ยเฟยกับจ้าวซูเฟยจะเข้าวังมาทีหลัง แต่ลำดับของพระสนมทั้งสี่คือ เต๋อ ซู จิ้ง เสียนนั้น ซูเฟยกับกุ้ยเฟยต่างอยู่ลำดับก่อนนาง
ตามกฎระเบียบในวัง หากเป็นวันเกิดของจิ้งเฟย ฮ่องเต้จะพระราชทานของขวัญวันเกิดกับร่วมเสวยอาหารฉลองวันเกิดมื้อหนึ่ง และหากเป็นคนที่ฮ่องเต้โปรดปราน บิดามารดาจะได้รับเรียกให้เข้าวังมาร่วมด้วย ทั้งยังจะมีงานเลี้ยงแขกเหรื่อในวังอีก
จิ้งเฟยอายุยี่สิบหกปีเท่ากับหรงจิงซึ่งไม่ใช่อายุจริง หากจะจัดงานเลี้ยงฉลองก็จะหรูหราเกินไป ดังนั้น การที่จิ้งเฟยคิดถึงอยากพบพ่อแม่ จึงมีเพียงวิธีการขออนุญาตออกนอกวังเท่านั้น
อีกอย่างเพราะสุขภาพนางหลิวซื่อมารดาจิงเฟยไม่อำนวย ถึงฮ่องเต้จะอนุญาตให้เข้าวังก็คงจะกระทบกระเทือนต่อสุขภาพนางบ้าง
จิ้งเฟยเมื่อกลับถึงบ้านสกุลหลิ่วก็คอยอยู่เป็นเพื่อนมารดาตลอดเวลา คอยปรนนิบัติอย่างใกล้ชิดราวกับบุตรสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน จิ้งเฟยเป็นสตรีที่กตัญญูยิ่ง ตั้งแต่เข้าวังมาก็มีเพียงวันตรุษจีนเท่านั้นที่จะได้พบหน้ากันในวัง
แต่ระยะนี้มารดาป่วยหนัก บิดาได้บอกกับนางหลายครั้งแล้ว นางเองก็วางใจไม่ลงจึงได้ไปขอกับฮ่องเต้
วันเกิดในครั้งนี้จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่นางได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูอย่างเต็มที่
เซียงฉือตื่นขึ้นมาทำงานแต่เช้า การตกแต่งจวนบ้านสกุลหลิ่วนี้นางเพียงออกคำสั่ง คนรับใช้ก็จะจัดการทุกอย่างให้อย่างเรียบร้อย
นางเพียงตรวจดูตามจุดต่างๆ ว่ามีสิ่งใดที่ต้องทำอีกหรือไม่เท่านั้น
ถึงแม้วันนี้บ้านสกุลหลิ่วจะบอกว่ามีงานฉลองวันเกิดให้จิ้งเฟย แต่ก็เพียงเชิญคนในครอบครัวเข้าร่วมอวยพรเท่านั้น เพราะอย่างไรยังเป็นงานวันเกิดของคนรุ่นหลัง
จิ้งเฟยห่วงใยอาการป่วยไข้ของมารดาจึงไม่คิดจะจัดงานเลี้ยง เพียงคนในครอบครัวนั่งลงสนทนาปราศรัยกันก็เพียงพอแล้ว แต่เพราะเซียงฉือได้รับคำสั่งมาจากฮ่องเต้จึงไม่กล้าไม่จัด เมื่อสอบถามจากหมิงเอ๋อร์นางกำนัลคนสนิทของจิ้งเฟยแล้วจึงได้รู้ถึงความชอบของจิ้งเฟย
งานเลี้ยงในครอบครัวจะไม่เชิญคนนอก เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้า ไม่มีฐานะอะไรในจวนของซูเฟยกับท่านเลขากรมพิธีการ แต่ว่านางเป็นผู้แทนพระองค์ ดังนั้นจึงนั่งอยู่กับจิ้งเฟยทางด้านขวามือ
เซียงฉือเห็นฟ้าเริ่มมืดค่ำแล้ว คนทั้งบ้านต่างล้อมวงคุยกันอยู่ในบ้านอย่างรื่นเริงยินดี เมื่อเห็นได้เวลาแล้วนางจึงตบมือ จากนั้นมีนางกำนัลวิ่งออกมาจุดดอกไม้ไฟ ดอกไม้ไฟแต่ละดอกงดงามวับวาวแตกระเบิดขึ้นกลางอากาศ
จิ้งเฟยยืนอยู่หน้าประตู มือซ้ายจูงองค์หญิงหรงเย่ว์ที่ถือโคมไฟกระต่ายน้อย มองดูดอกไม้ไฟเผาไหม้อยู่บนท้องฟ้า
เซียงฉือกะเวลาแล้วจึงเรียกคนให้ปล่อยโคมลอยขึ้นบนท้องฟ้า เมื่อโคมลอยลอยขึ้นฟ้าแล้วองค์หญิงหรงเย่ว์มองเห็น จึงดึงมือมารดาถามขึ้นว่า
“เสด็จแม่ โคมไฟอันนั้นลอยหนีไปแล้วเพคะ เรียกใครไปเอากลับมาเร็วๆ”
เด็กหญิงลนลานเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้ใหญ่ข้างๆ พากันหัวเราะเป็นการใหญ่ เซียงฉือย่อตัวลงแล้วอธิบายอย่างอดทน
“องค์หญิงหรงเย่ว์เพคะ อันนั้นไม่ใช่โคมไฟแต่เป็นโคมลอยเพคะ ชาวบ้านเล่ากันต่อมาว่าบนโคมลอยที่ปล่อยออกไปนั้นหากได้เขียนความปรารถนาลงไปก็จะสำเร็จผล หากอธิษฐานกับโคมลอยๆ ก็จะนำพาความปรารถนาของเราขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วเทวดาบนสวรรค์ก็จะได้รับรู้เพคะ”
พอเซียงฉืออธิบายแล้ว หรงเย่ว์ก็รบเร้าสอบถามว่าต้องอธิษฐานอย่างไร เซียงฉือบอกกับนาง นางจึงกำมือน้อยๆ แล้วอธิษฐานอย่างตั้งใจ
เซียงฉือลุกขึ้นทำความเคารพจิ้งเฟยอย่างนอบน้อมแล้วพูดว่า
“หม่อมฉันบังอาจเขียนขอพรให้กับฮูหยินลงบนโคมลอยทุกโคมเพคะ ด้วยหวังว่าท่านแม่ของจิ้งเฟยจะมีสุขภาพแข็งแรงในเร็ววัน จิ้งเฟยทรงเป็นเจ้าของวันเกิดในวันนี้ ความปรารถนาของพระองค์ เชื่อว่านางฟ้าจะต้องช่วยดลบันดาลให้เป็นจริงแน่เพคะ”