ตอนที่ 426 สนทนาปราศรัย
อารมณ์หวานละมุนชั่วครู่ยามผ่านไป เซียงฉือผละออกจากร่างของเหอเจี่ยนสุย นางคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ถึงจะบอกกล่าวกับใครไม่ได้ แต่ก็สามารถนำมาพูดคุยกับเหอเจี่ยนสุยได้
สำหรับเซียงฉือแล้ว เหอเจี่ยนสุยไม่ใช่คนอื่นคนไกลมาโดยตลอด
นางเงยหน้า รู้สึกลำบากใจไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร
“เจี่ยนสุย เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าชายชุดดำทั้งสองกลุ่มเมื่อคืนนี้เป็นใคร”
เซียงฉือถามหยั่งเชิงออกไป ร่างเหอเจี่ยนสุยแข็งเกร็งขึ้นทันที ท่าทางของเขาแปลกประหลาดแต่ก็เพียงชั่วพริบตาก็มลายหายไป
หากไม่ใช่เซียงฉือที่คุ้นเคยกับเขาอย่างยิ่งและมองดูสีหน้าอยู่ตลอดจะไม่ทันสังเกตเห็น
“เหตุใดถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
เซียงฉือฟังแล้วจับปอยผมข้างแก้มทัดไว้หลังหู นางก้มหน้าขบริมฝีปากเบาๆ เมื่อครู่แววตาของเหอเจี่ยนสุยอึมครึมลง ไม่รู้ว่านางเข้าใจผิดไปหรือไม่
แววตาแบบนั้นไม่เคยปรากฏในดวงตาเหอเจี่ยนสุยมาก่อน แต่ไรมาเขาเป็นชายหนุ่มที่นุ่มนวลราวหยก ถึงเขาจะฝึกวิทยายุทธ์ก็เป็นเพียงการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เขาไม่เคยฆ่าแม้แต่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อย แต่เหตุใดมีความอึมครึมแบบนั้น เซียงฉือสั่นเทาอย่างระงับไม่ได้
นางก้มหน้าลงสงบสติอารมณ์
“ไม่รู้ก็แล้วไปเถอะ ข้าเพียงแต่ไม่เคยเห็นพวกคนยามวิกาลเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะเป็นพวกโจรร้ายเ**้ยมโหดหรือหัวขโมยปล้นสวาทอะไรพวกนั้นหรือไม่”
เซียงฉือพูดยิ้มๆ เหอเจี่ยนสุยก็ยิ้มแต่สะกดรอยยิ้มไว้ เขาคิดจะกอดเซียงฉือแต่นางหลบเลี่ยงอย่างสำรวม เหอเจี่ยนสุยหรี่ตาแต่เซียงฉือก้มหน้าอยู่จึงไม่เห็น
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ มัวคิดอะไรวุ่นวายอยู่ ระบบรักษาความสงบเรียบร้อยของอวิ๋นหยางจัดว่าดีที่สุดแล้ว พวกสร้างความวุ่นวายไม่กล้าก่อเรื่องขึ้นในเมืองหลวงหรอก หรือว่าเจ้ายังห่วงความปลอดภัยของตัวเองอยู่”
เซียงฉือก้มหน้ามองปลายนิ้วเท้าไม่พูดจา คนที่ไม่รู้จะคิดว่านางเขินอายหรืออาจจะไม่ชอบอีกฝ่าย แต่เหอเจี่ยนสุยรู้จักนางดี เวลาที่นางก้มหน้าเช่นนี้จะต้องมีอะไรติดค้างอยู่ในใจไม่ได้พูดออกมา
นางเก็บงำคำพูดได้แต่เป็นหญิงสาวที่ไม่รู้จักปิดบังความเคยชินของตน ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นอีกว่า
“เหตุใดจึงได้สนใจคนพวกนั้นนัก หรือว่าเจ้าเห็นอะไรผิดสังเกตหรือเซียงฉือ”
อวิ๋นเซียงฉือเงยหน้ายิ้มให้เขา นางเดินไปตามทางเดินช้าๆ แล้วพิงเสาใหญ่ต้นหนึ่งในลานบ้าน พูดกับเหอเจี่ยนสุยเบาๆ
“เจี่ยนสุยเจ้ากำลังคิดอะไร ข้าเพียงแต่สงสัยเท่านั้นเอง อย่างที่เจ้าว่านั่นแหละอยู่ใกล้ฮ่องเต้ขนาดนี้แต่ยังมีคนสวมชุดยามวิกาลมาลักพาตัวคนคนหนึ่ง คนคนนั้นเหมือนว่าข้าจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
เซียงฉือมองตาเหอเจี่ยนสุย คำพูดนางเจือความสงสัย รอยยิ้มของนางนุ่มนวล ไม่ได้มีแววตำหนิหรืออารมณ์อื่นใดเจือปนอยู่เลย แต่เห็นนางในลักษณะนี้แล้ว คิ้วของเหอเจี่ยนสุยก็ขมวดมุ่น
เหอเจี่ยนสุยเข้าใจอวิ๋นเซียงฉือดีเกินไป เพียงเห็นท่าทางของนางก็รู้ความสงสัยนาง
มือของเขากระทบกับพู่บนด้ามพัด พูดขึ้นขรึมๆ ว่า
“เซียงฉือ อวิ๋นหยางเป็นเมืองหลวงอยู่ภายใต้อาณัติของโอรสสวรรค์ แต่ที่นี่ยังมีความลับอีกมากที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เจ้ากับข้าก็เป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ ไร้ความสำคัญในสถานที่นี้ อะไรที่พวกเราหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยงเสีย การที่ไม่ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้า”
“เรื่องของท่านปู่เจ้า ข้าไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะเกิดขึ้นกับเจ้า”
“เซียงฉือ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้า”
คำพูดเหอเจี่ยนสุยแปลกพิกล เซียงฉือฟังเข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ
ตอนที่ 427 ไฟไหม้
เซียงฉือรู้ว่าตนเองควรเชื่อเหอเจี่ยนสุย นางมีความเชื่อเช่นนั้น มีเหตุผลอะไรที่เหอเจี่ยนสุยต้องทำร้ายนาง ในยามที่นางติดคุกอยู่ไม่เหลืออะไรเลยนั้น เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น แล้วตอนนี้จะมาทำเช่นนั้นเพื่ออะไร
นางรู้ว่าคนที่นางไม่ควรติดใจสงสัยที่สุดก็คือเหอเจี่ยนสุย แต่คำพูดในขณะนี้ของเขา แสดงชัดว่ามีเรื่องบางอย่างปกปิดนางอยู่
อวิ๋นเซียงฉือปรารถนาจะรู้ แต่เป็นครั้งแรกที่นางปิดบังเขา นางไม่กล้าบอกว่าชายคนนั้นเหมือนกับบิดานาง การพูดเล่าเลอะเทอะของนางทำให้เหอเจี่ยนสุยผิดปกติไปเช่นนี้ จึงไม่กล้าที่จะกระตุ้นเขาเข้าอีก
แยกจากเขาไปเพียงแค่ปีกว่า แต่นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนไม่สนิทสนมกับเขาเช่นเคย ชายหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ ให้ความรู้สึกแตกต่างจากเหอเจี่ยนสุยในภาพความทรงจำของนาง
แต่บางครั้งในวันปกติที่นางได้พบเหอเจี่ยนสุย เขาในเวลานั้นยังคงมีท่าทางเช่นเดียวกับในความทรงจำนาง แต่ความหนาวครึ้มเพียงพริบตาเมื่อครู่ ได้เพาะเมล็ดพันธุ์ลงในใจนางแล้ว ก่อให้เกิดความไม่เป็นสุขตลอดการสนทนา เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยนั้น ดูเหมือนจะแตกรากงอกเงยขึ้นโดยที่นางไม่อาจควบคุมได้
“ไฟไหม้ ไฟไหม้แล้ว รีบมาช่วยกันดับไฟเร็วๆ!”
การสนทนาของเซียงฉือกับเหอเจี่ยนสุยยังดำเนินไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยดับไฟดังมาจากเรือนทางด้านหลัง ทั้งคู่มองสบตากันแล้วเซียงฉือก็ผลักเขาพูดว่า
“เจ้ารีบไปเถอะ หากถูกคนในบ้านเห็นเข้าเจ้าจะอธิบายลำบากนะ”
เหอเจี่ยนสุยก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะพูดคุยเรื่องไร้สาระ เขาสวมกำไลในมือวงนั้นลงบนมือเซียงฉือ แล้วหมุนกายกระโจนพลิกร่างขึ้นบนกำแพง หายลับไปตรงปลายกำแพง ในบริเวณนั้นจึงเหลือเซียงฉือเพียงคนเดียว
ไฟไหม้เรือนด้านหลังไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะจิ้งเฟยกับองค์หญิงหรงเย่ว์ล้วนพักอยู่ที่นั่น เซียงฉือเองก็อยู่ทางนั้นเช่นกัน แต่เพราะนางเห็นทิวทัศน์ที่ตรงนี้งดงามจึงได้มาพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ได้พบกับเหอเจี่ยนสุยเข้าจึงอยู่นานขึ้นอีกเล็กน้อย
ตอนนี้นางต้องรีบกลับเรือนด้านหลังทันทีเพื่อคุ้มครองจิ้งเฟยกับองค์หญิงหรงเย่ว์
นางกึ่งวิ่งไปตลอดทางถึงเรือนด้านหลัง ยังเห็นเปลวไฟไม่ชัดเจนนัก ต้นเพลิงคือห้องเก็บฟืนของเรือนตงเตี้ยน เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตไม่น้อย จิ้งเฟยกับหรงเย่ว์มีท่าทางตกใจ กำลังมองดูกลุ่มควันหนาทึบอยู่ในกลุ่มคน
เซียงฉือรีบเดินเข้าไปหา เมื่อเห็นจิ้งเฟยกับหรงเย่ว์ปลอดภัยจึงคลายใจลง
จิ้งเฟยเพิ่งกลับบ้านมาได้สองวันก็เกิดเพลิงไหม้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน คนในบ้านสกุลหลิ่วกำลังช่วยกันดับไฟ ในห้องเก็บฟืนไม่มีคนอยู่ แต่วันนี้มีกระแสลมตะวันออกเฉียงเหนือ หากเพลิงลุกโหมขึ้น บ้านเรือนต่างๆ ในบริเวณนี้จะต้องวอดวายหมดสิ้น
วันนี้เป็นวันดีที่ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในเรือนด้านหลังเช่นนี้
ท่านเลขาหลิ่วโกรธจนหนวดกระดิก แต่ก็ได้แต่เพียงลนลานทำอะไรไม่ได้ เซียงฉือเห็นท่าเพลิงจะโหมแรงจึงเดินเข้าไปพูดกับฉู่อวิ๋นเซียวหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ว่า
“ใต้เท้ารีบส่งทหารคนสนิทออกไปสองกลุ่มเถิด กลุ่มหนึ่งไปเรียกคนจากหน่วยงานในอวิ๋นหยางมาช่วยดับไฟ อีกกลุ่มให้ไปตามบ้านใต้เท้าต่างๆ ในละแวกนี้ ขอให้ส่งคนมาช่วย มิเช่นนั้นหากเพลิงลุกโหมรุนแรง เกรงว่าจะเผาผลาญเรือนทั้งหมดนี้ไปสิ้น”
ฉู่อวิ๋นเซียวฟังแล้วไม่พูดอะไร รีบจัดกำลังคนให้ออกไปหาคนมาช่วยดับไฟ เขามองเซียงฉือแล้วพูดว่า
“ใต้เท้าอวิ๋น เพลิงในคืนนี้น่าสงสัย ข้าเป็นห่วงว่าจะมีคนคิดแผนการร้ายเพื่อทำร้ายจิ้งเฟย”
เซียงฉือมองเห็นเปลวไฟโหมขึ้นสูงตามแรงลม ด้วยความร้อนรนจึงได้ทำเช่นนี้
ทหารรักษาพระองค์มีหน้าที่อารักขาจิ้งเฟย ขอเพียงไม่เกิดเรื่องขึ้นกับจิ้งเฟยและองค์หญิงหรงเย่ว์ก็จะเป็นการดี
แม้เขาจะฟังคำพูดของเซียงฉือส่งคนออกไปตามคนมาช่วยเหลือ แต่ตนเองกลับยืนอยู่ข้างหลังจิ้งเฟยกับองค์หญิงหรงเย่ว์ ไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว