ตอนที่ 436 ชะตาที่ถูกกำหนด
เซียงฉือไม่กล้าพูด นางไม่กล้า ในมือนางไม่มีแต้มต่อดังนั้นนี่ย่อมเป็นเกมที่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน และนางกลัวว่านี่จะเป็นการลองใจของหรงจิง
ในชั่วพริบตานั้นเกิดความคิดขึ้นมากมายในใจนาง ความคิดทั้งปวงของสิ่งทั้งปวงในท้ายที่สุดจึงได้สลายกลายเป็นรอยยิ้มอย่างฝืนๆ
“ฝ่าบาทตรัสว่าจะทรงประทานรางวัลให้หม่อมฉัน หรือจะทรงรังเกียจว่าของขวัญของหม่อมฉันไม่ล้ำค่าจึงทรงขับไล่ไสส่งหม่อมฉันเพคะ”
เซียงฉือก้มหน้า แล้วตอบกลับฝ่ายตรงข้ามด้วยคำพูดเล่น
หรงจิงหมุนกายกลับไม่มองนาง เขาสูดหายใจเข้าลึก ไม่ขัดจังหวะนาง
มือของเขากุมถุงหอมที่ปักลายดอกท้อไว้
ใจของเขากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ถ้าหากอวิ๋นเซียงฉืออยากจะออกจากวังไปจริงๆ จะแต่งงานกับเหอเจี่ยนสุยจริงๆ แล้ว เขาจะพระราชทานสมรสหรือปล่อยนางออกไปหรือไม่
เขาสมควรปล่อยนางกระมัง ให้นางได้กลับไปในที่ที่เหมาะสมกับนางเช่นเดียวกับนกน้อย อย่างน้อยทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่นางเลือก
เขาถามแล้วแต่อวิ๋นเซียงฉือไม่ได้พูดออกมา
“หากฝ่าทรงเคืองหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะคิดเพคะว่าควรทูลขออะไรกับฝ่าบาทดี มิเช่นนั้นออกจากวังไปแล้ว ทำงานหนักอะไรก็ไม่ได้ หม่อมฉันคงต้องอดตายอยู่ข้างถนนเพคะ”
หรงจิงหันหลังให้เซียงฉือ นางจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของหรงจิงได้ นางไม่รู้หรอกว่าความระวังรอบคอบของนางในขณะนี้ทำให้นางพลาดจากโอกาสที่สำคัญไปแล้ว
หรงจิงได้ยินที่นางพูดแล้วก็หัวเราะพูดว่า
“เจ้าเด็กน้อย ได้คืบจะเอาศอก”
“เซียงฉือ ข้าถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะออกจากวังหรือไม่ คิดให้ดีแล้วตอบมา”
หรงจิงไม่ได้พูดเสียงดังอีกทั้งไม่ได้มองเซียงฉือ เขาเพียงคลึงถุงหอมบางๆ นั้น ท่าทางดูตื่นเต้น
เซียงฉือฟังคำพูดที่แสนจะยั่วยวนนั้น แต่นางไม่กล้าคิดมากอีก นางไม่กล้าแล้ว
เพราะว่านางชอบความสนุกสนานชั่วครู่ยามจึงได้ทำร้ายท่านปู่อีกทั้งอารองจนเสียชีวิต นางเหลือบิดาเพียงคนเดียวกับเหอเจี่ยนสุยอีกคนหนึ่ง นางจึงไม่กล้าจะเสี่ยงอีก
ความหวั่นเกรงของนางทำให้นางพลาดโอกาสนี้ในที่สุด
“หม่อมฉันจะไม่ออกจากวังเพคะ”
เสียงของนางไม่ดังและไม่ชัดเจนเหมือนเคย เพราะว่านางต้องกัดริมฝีปากจึงจะสามารถพูดออกมาได้
นางคิดว่าต่อไปยังมีโอกาส ตอนนี้โอกาสยังสุกงอมไม่เต็มที่
แต่ความลังเลของนาง ได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตในอนาคตของนางไป
เซียงฉือพูดจบหรงจิงถอนใจโล่งอก มือที่บีบถุงหอมไว้แน่นก็คลายลง
หรงจิงหันกายกลับมา แผ่นอกเขาแทบจะชนเข้ากับจมูกของเซียงฉือ นางไม่กล้าเงยหน้า แต่หรงจิงเชยคางนางขึ้น บังคับให้นางต้องมองตาเขา
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว”
“หนทาง เจ้าเป็นคนเลือกเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ได้แต่เพียงต้องเดินไปกับข้าต่อไป”
“จากนี้ต่อไปเจ้าจำไว้เถอะว่า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าอีก ไม่มีวันอีกแล้ว”
รูม่านตาเซียงฉือหดเล็กลง ใบหน้าหรงจิงดูขยายใหญ่ขึ้นมาก รูม่านตานางสั่นไหว ฉับพลันรู้สึกเหมือนนางทำพลาดไป คิดมากเกินไป นางคล้ายดั่งสูญเสียอะไรไป
หรงจิงปล่อยนาง เดินผ่านข้างกายนางไปอย่างปลอดโปร่ง
ส่วนอวิ๋นเซียงฉือยังคงยืนอยู่กับที่เป็นนานโดยไม่เคลื่อนไหว
ดูเหมือนนางจะเลือกผิดไปแล้ว แล้วนางจะยังมีโอกาสอีกหรือไม่
เซียงฉือยืนอยู่กับที่ นางตะลึงงันไปแล้ว ส่วนหรงจิงได้นำถุงหอมที่เก็บขึ้นเรียบร้อยแล้วออกไปจากตำหนักฉินเจิ้ง
เซียงฉือปวดศีรษะขึ้นมา นางเลือกผิดไปแล้วใช่หรือไม่
จู่ๆ นางรู้สึกว่าตนได้สูญเสียโอกาสไปแล้วจริงๆ แต่นางไม่กล้าคิดเช่นนี้
เพราะนางได้เห็นสายตาครั้งสุดท้ายของหรงจิงแผ่ขอบเขตยิ่งใหญ่ ยามที่มองดูนาง ดูราวกับกำลังมองดูสมบัติล้ำค่าของตนชิ้นหนึ่ง แทบจะนับตั้งแต่เวลานั้น อวิ๋นเซียงฉือไม่ใช่อวิ๋นเซียงฉืออีกต่อไป แต่เป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรของเขา
ตอนที่ 437 เล่นว่าว
เซียงฉือเลอะๆ เลือนๆ ไปสามวัน วันนี้องค์หญิงหมิงอวี้ส่งเถียนซินนางกำนัลคนสนิทให้มาเรียกเซียงฉือ เพราะอากาศในฤดูใบไม้ร่วงปลอดโปร่งเย็นสบาย ว่าวที่เซียงฉือนำกลับมามอบให้นางจากข้างนอกวังจึงมีโอกาสได้นำออกมาเล่น
เดิมทีองค์หญิงหมิงอวี้ก็เติบโตขึ้นมาจากข้างนอกวัง แต่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในอารามสวดมนต์ไหว้พระ ไม่ค่อยได้เล่นได้ทำอะไรที่ครึกครื้นอย่างในโลกภายนอกมากนัก
เซียงฉือลางานกับหรงจิงแล้วรีบนำว่าวนกนางแอ่นที่นางให้ทางหน่วยงานภายในทำให้นางออกไปทางสวนด้านหลัง
ที่แท้อาจารย์ฉินขององค์หญิงทั้งหลายลางาน ดังนั้นจึงได้เลิกเรียนเร็วขึ้น มีเวลาที่จะไปปล่อยว่าวพร้อมกับเซียงฉือ
เซียงฉือนำว่าวผีเสื้อขนาดใหญ่มากมาฝากองค์หญิงหมิงอวี้ ส่วนองค์หญิงหมิงอวี้ก็พาองค์หญิงหรงเย่ว์มาด้วย
ก่อนที่เซียงฉือจะมาถึง ทั้งสองคนกับนางกำนัลกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงชี้ชวนกันดูและวิจารณ์ว่าวผีเสื้อที่มีสีสันสดใสงดงามนั้นกันอยู่
ถึงแม้ในวังจะมีช่างฝีมือดีมากมาย ทำพวกอัญมณีเครื่องประดับได้เป็นเลิศ แต่กับการทำว่าว ฝีมือยังไม่ประณีตทัดเทียมกับร้านค้าด้านนอกที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วคน
เซียงฉือเพียงปรากฏกาย องค์หญิงหมิงอวี้ก็มองเห็น นางยิ้มแล้วกวักมือเรียกเซียงฉือ
“เซียงฉือเจ้ารีบมานี่ กำลังรอเจ้าอยู่เลย”
เซียงฉือวิ่งไปถึงเบื้องหน้าองค์หญิงหมิงอวี้กับหรงเย่ว์แล้วทำความเคารพ
“ถวายพระพรองค์หญิงทั้งสองเพคะ หม่อมฉันมาสายแล้ว”
หรงเย่ว์วิ่งออกมาจากกลุ่มนางกำนัลตรงเข้าไปกอดขาเซียงฉือพูดขึ้นว่า
“หลายวันนี้เย่ว์เอ๋อร์ไม่ได้พบเสด็จพ่อเลยก็เลยไม่ได้ขอความเมตตาให้เซียงฉือ เซียงฉือคงไม่ได้ถูกตีใช่ไหม”
“แต่เย่ว์เอ๋อร์ได้ทูลขอเสด็จแม่ให้ช่วยพูดกับเสด็จพ่อแล้ว เซียงฉือยังถูกตีอีกหรือไม่”
ท่าทางของหรงเย่ว์ชวนให้คนรักใคร่อย่างที่สุด เพราะฟันหลุดไปหนึ่งซี่เวลาพูดจึงไม่ค่อยชัดเจน แต่เซียงฉือรับรู้ได้ถึงความรู้สึกสนิทนสนมนั้นของนาง
เซียงฉือย่อตัวลงกอดหรงเย่ว์พูดขึ้นว่า
“เพราะหม่อมฉันได้รับบารมีจากองค์หญิงเพคะ ฝ่าบาททรงมีงานในราชสำนักที่ต้องทรงทำทั้งวันทั้งคืน ทำให้ลืมเรื่องความผิดเล็กน้อยของหม่อมฉันไป เพียงแต่ถูกตัดเบี้ยหวัดไปครึ่งเดือนเท่านั้น ไม่ถูกตีเพคะ”
เซียงฉือพูดความจริงทั้งหมด เพียงแต่นางไม่ได้บอกว่าเหตุที่ถูกตัดเบี้ยนั้นเป็นเพราะนางทำจานหมึกที่เป็นของหวงของหรงจิงร้าวไป
หรงจิงจึงโกรธและตัดเบี้ยหวัดนางครึ่งเดือน
หรงเย่ว์ที่มีจิตใจดีงามแตะอกเซียงฉือพูดขึ้นว่า
“ก็ยังดี ก็ยังดี”
ท่าทางแบบผู้ใหญ่ตัวน้อยของนางทำให้เซียงฉือมีความสุข แต่พวกนางไม่ได้คุยกันต่อ หมิงเย่ว์คอยต่อไปไม่ไหวจึงดึงเซียงฉือให้ไปเล่นว่าว เซียงฉือก็ไม่ได้ขัด นางจูงหรงเย่ว์พากันวิ่งอยู่ในสวน คิดจะปล่อยว่าวให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า
เด็กหญิงเกล้าผมแกละคู่วิ่งหัวเราะอย่างร่าเริง เซียงฉือที่วิ่งอยู่ด้านหลังชื่นชอบอย่างยิ่ง
เซียงฉือมีดวงสมพงษ์กับเด็กมาตั้งแต่เล็ก เด็กน้อยรอบข้างล้วนชอบนาง น้องชายนางเองก็ชอบที่จะเล่นกับนางเช่นกัน
และนางก็ชอบเด็กเล็กๆ วันนี้หรงเย่ว์สวมชุดจันทราสีขาวทั้งชุด บนชุดปักเพียงดอกมะลิดอกเดียว แลดูอ่อนโยนโดดเด่น ดูสะดุดตาในฤดูใบไม้ร่วงสีนวลเช่นนี้
นางวิ่งเร็วมาก เซียงฉือกับนางกำนัลคนสนิทที่เบื้องหลังตามไม่ทัน
“องค์หญิง ช้าหน่อยเพคะ วิ่ง ช้าหน่อย…”
แม่นางหมิงเอ๋อร์คนใกล้ชิดของจิ้งเฟยติดตามได้กระชั้นชิดที่สุด นางได้แต่ขอร้องให้หรงเย่ว์ผ่อนฝีเท้าลง
หรงเย่ว์หัวเราะร่าเริงวิ่งห่างออกไป นิสัยของเด็กๆ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะหยุดยั้งได้
“โอ๊ย!”
เสียงร้องขององค์หญิงน้อยดังขึ้น พวกที่อยู่ด้านหลังรีบเร่งรุดขึ้นไปทันใด มองเห็นองค์หญิงน้อยนั่งตุ๊บลงกับพื้น มองดูสตรีที่เบื้องหน้านิ่ง