ตอนที่ 440 ซูเฟยแก้สถานการณ์
เซียงฉือจ้องมองจินกุ้ยเฟยอยู่เช่นนั้นด้วยแววตายั่วยุ ตอนนี้ถูกจินกุ้ยเฟยจับตัวไว้เช่นนี้ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านแม้แต่น้อย
แต่นางหาได้กลัวไม่เพราะดูออกว่าจินกุ้ยเฟยไม่มีเจตนาจะฆ่านาง อย่างมากที่สุดก็เพียงสั่งสอนนาง แต่ว่านางไม่ใช่อวิ๋นเซียงฉือที่สามารถรังแกได้ง่ายคนนั้นแล้ว ไม่ใช่นางกำนัลไร้กำลังต่อต้านแม้เพียงนิดในตำหนักของนางคนนั้นอีกแล้ว
นางจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองถูกรังแกกลั่นแกล้งอย่างเฉยเปล่า
นางกล้าตะโกนเช่นนี้นอกจากเพราะมีหรงจิงหนุนหลังแล้ว นางยังรู้ว่ามีคนจะมาช่วยนางได้
เมื่อครู่นี้ตอนที่นางเงยหน้า มองเห็นซูเฟยที่เฝ้าดูเสือกัดกันอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้ซูเฟยอยู่ในช่วงจิตใจฮึกเหิมกระชุ่มกระชวย นางกุมอำนาจฝ่ายในไว้แต่เพียงผู้เดียวจึงพีงพอใจที่ได้สมปรารถนา
ส่วนจินกุ้ยเฟยเพิ่งจะถูกปล่อยออกมาก็ไปหาเรื่องกับอวิ๋นเซียงฉือ นางจึงมีความสุขยิ่งที่ได้ชมเรื่องสนุก
แต่หากเป็นเช่นนี้ก็จะไม่เป็นผลดีอะไรต่ออวิ๋นเซียงฉือ นางจะรู้สึกปลอดภัยได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อซูเฟยออกมาช่วยนาง เพราะนางต้องการเป็นพันธมิตรกับซูเฟย หรือยอมเข้าเป็นคนของนาง
ซูเฟยเป็นสตรีที่รู้จักหาช่องทางเพื่อผลประโยชน์ นางรู้ดีว่าการจะอยู่รอดในวังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการกอดผู้มีศักยภาพไว้เพื่อขอปันความอบอุ่น และแน่นอนว่านางจะช่วยเซียงฉือแต่ด้วยอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคือศัตรูของศัตรูนั้นก็คือมิตร
ดังนั้นนางจะต้องยื่นมือเข้ามาแน่
การที่เซียงฉือตะโกนเสียงดังเมื่อครู่ก็เพื่อจะให้ซูเฟยได้ยิน
แล้วก็เป็นเช่นนั้น คำสั่งทำโทษเซียงฉือของจินกุ้ยเฟยยังไม่ทันสั่งการก็ได้ยินเสียงซูเฟยดังขึ้นมาจากด้านหลังจินกุ้ยเฟย
“อ้าว ข้าคิดว่าใครเสียอีก ที่แท้พี่หญิงนี่เอง พี่หญิงมิใช่ถูกฝ่าบาทลงโทษกักบริเวณหรือ เหตุใดจึงออกมาเล่าเพคะ”
“พี่หญิงพอออกมาก็มาจัดอะไรใหญ่โตเช่นนี้ กำลังทรงทำอะไรหรือเพคะ หรือว่านี่จะลงโทษใต้เท้าอวิ๋นหรือเพคะ”
ซูเฟยยิ้ม เดินออกมาจากด้านหลังจินกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าได้ใจเปี่ยมรอยยิ้มหยันเต็มที่ต่อจินกุ้ยเฟย
จินกุ้ยเฟยฟังคำพูดนางแล้วความโกรธก็ประเดประดังเข้ามา นางคือจินรั่วอวิ๋นที่ไม่เคยรับความอดสูขนานใหญ่เช่นนี้มาก่อน ถึงแม้นางจะได้ฐานะกลับคืนมา แต่ตอนนี้ซูเฟยยังมีอำนาจดูแลฝ่ายในอยู่ นางจึงด้อยกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง
“ข้าเป็นกุ้ยเฟย ซูเฟยยังไม่ทำความเคารพอีก!”
จินกุ้ยเฟยถูกคำพูดของซูเฟยทำให้โกรธ แต่เพราะนางเป็นคนรักหน้าตาจึงไม่ยอมปล่อยจุดอ่อนของซูเฟยไป
ซูเฟยมองจินกุ้ยเฟยอย่างเยือกเย็นแล้วย่อกายค้อมให้น้อยๆ
“ขอพี่หญิงกุ้ยเฟยทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
ซูเฟยไม่ใช่อวิ๋นเซียงฉือ เมื่อทำความเคารพแล้วก็ลุกขึ้น นางห่างกับจินกุ้ยเฟยก็เพียงขั้นเดียว อีกทั้งนางยังมีอำนาจดูแลฝ่ายในอยู่ แต่ที่นางทำในตอนนี้ก็เพียงป้องกันข้อครหาเท่านั้น
ซูเฟยลุกขึ้น ขันทีที่ด้านหลังก็เข้ามาบอกอย่างรู้งานกับซูเฟยซึ่งแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องว่า
“กุ้ยเฟยทรงได้รับการอภัยโทษจากฝ่าบาทไม่ต้องถูกกักบริเวณแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลายวันนี้เพราะซูเฟยทรงยุ่งอยู่กับเรื่องคัดเลือกสาวงามจึงยังทรงไม่รู้เรื่องเล็กน้อยนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของขันทีคนนั้นไม่ดังไม่เบาจนเกินไป แต่ทำให้จินกุ้ยเฟยหน้าแดงขึ้น วันนี้นางช่างโชคร้ายจริงๆ พอออกมาก็มีแต่เรื่องไม่สมใจ ตอนนี้เห็นซูเฟยที่สมใจปรารถนาเช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเคียดแค้นจนอยากงับใส่
หากไม่ใช่นิสัยที่แข็งกร้าว ตอนนี้นางคงโกรธจนคลั่งตายไปแล้ว
ซูเฟยพอได้ฟังคำพูดขันทีก็ยิ้มพูดขึ้นว่า
“ตายแล้ว เป็นความผิดของน้องเองที่ไม่รู้ว่าพี่หญิงถูกปล่อยออกมาแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยเพคะ”
“แต่ว่า เหตุใดน้องจึงไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงคืนอำนาจปกครองฝ่ายในให้กับพี่หญิงแล้ว หรือน้องจะจดจำผิดอีกแล้วกระมัง”
จินกุ้ยเฟยฟังคำพูดนางแล้วรู้ว่าเป็นการจงใจนำเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อปรามจินกุ้ยเฟยไม่ให้ทำอะไรตามอำเภอใจ
ตอนที่ 441 แลกเปลี่ยนเงื่อนไข
จินกุ้ยเฟยมองดูท่าทางโอหังอวดดีของซูเฟยแล้วก็พ่นลมหายใจออกจมูก พูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาทยังไม่ได้ทรงคืนอำนาจปกครองฝ่ายในให้ข้า แต่ว่าอวิ๋นเซียงฉือบังอาจลบหลู่ข้า ข้าเพียงแต่ทำโทษเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าข้าจะว่ากล่าวอะไรไม่ได้เลยหรือไร”
ซูเฟยฟังแล้วหัวเราะเบาๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เองหรือเพคะ ไม่ทราบว่าพี่หญิงทรงได้ระบายโทสะหรือยังเพคะ หรือไม่หม่อมฉันจะสั่งคนส่งตัวเซียงฉือไปยังกองคดีเพื่อสอบสวนให้ชัดเจน เพื่อพี่หญิงจะได้หายพิโรธดีหรือไม่เพคะ”
จินกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็สะบัดมือ หมัวหมัวสองคนที่จับเซียงฉือไว้จึงได้ปล่อยแขนนาง จินกุ้ยเฟยมองซูเฟยแล้วเดินไปเบื้องหน้านาง ดวงตางดงามคู่นั้นจ้องมองซูเฟยอย่างดุร้าย แล้วพูดทีละคำอย่างร้ายกาจว่า
“ภูผาไม่เลี้ยวสายน้ำเลี้ยว เส้นทางไม่เลี้ยวคนเลี้ยว ซูเฟยเจ้าคอยรอได้เลย ข้าจะดูว่าเจ้าจะลำพองได้ถึงเมื่อไหร่”
จินกุ้ยเฟยพูดจบก็บิดกายจากไป เซียงฉือถูกโยนอยู่ที่พื้นค่อยๆ ตะกายลุกขึ้นจากพื้นเปียกแฉะ
นางค้อมกายทำความเคารพจ้าวซูเฟย
“เป็นพระกรุณาที่ซูเฟยทรงช่วยชีวิต หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่งเพคะ”
เซียงฉือยื่นคำนับสุดแขนอย่างนอบน้อมยิ่ง ซูเฟยประคองนางขึ้นด้วยความเต็มใจ ถามไถ่อย่างห่วงใยเบาๆ
อวิ๋นเซียงฉือได้แต่ตอบคำว่ามิบังอาจ
ซูเฟยก้าวเข้าใกล้อีกก้าวหนึ่งพูดขึ้นว่า “ครอบครัวข้าทำการค้า จะทำการใดต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ตอบแทนในมูลค่าที่สมน้ำสมเนื้อกัน”
“เจ้าเป็นคนฉลาดคงจะเข้าใจความหมายข้า ในวังนี้มีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน หากต้องให้ฝ่าบาททรงทราบทุกเรื่องแล้วละก็ พระองค์จะยังมีจิตใจเพื่อทรงจัดการราชกิจได้อย่างไร พวกเราเป็นคนของฝ่าบาทสมควรต้องช่วยแบ่งเบาราชภาระ ดังนั้นเรื่องสมควรจึงค่อยทูลให้ทรงทราบ เรื่องไม่บังควรจึงไม่สมควรกราบทูล”
“เจ้าเข้าใจหรือไม่”
คำพูดทั้งปวงของซูเฟยทำให้มุมปากเซียงฉือเพยิดขึ้น นางรู้ว่าซูเฟยจะไม่ยอมปล่อยผ่านโอกาสนี้ นางไม่มีทางยอมให้ทุกการลงทุนของนางไร้ซึ่งผลประโยชน์
เซียงฉือฟังอย่างเข้าใจและคร้านจะไปคิดหมายถึงเจตนาในคำพูดของซูเฟยจึงได้ถามขึ้น
“ซูเฟยทรงภักดีโอบอ้อมและเอาพระทัยใส่ต่อฝ่าบาทเสมอมาซึ่งฝ่าบาททรงทราบดีอยู่ ไม่ทราบว่ายังทรงมีสิ่งใดที่ประสงค์ให้ฝ่าบาททรงทราบอีกเพคะ หม่อมฉันยินดีเป็นกระบอกเสียงเพื่อกราบบังคมทูลถึงฝ่าบาท หม่อมฉันได้รับพระกรุณาจากซูเฟย ย่อมรู้กฎเกณฑ์ดี ซูเฟยรับสั่งมาตรงๆ ได้เลยเพคะ”
เซียงฉือรู้ว่าในวังกำลังจะมีการคัดเลือกสาวงามเร็วๆ นี้ เพราะฝ่าบาทจะเสด็จไปทอดพระเนตรเองทำให้ซูเฟยที่แม้ดีใจหนักหนา แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นทำให้มีเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกมาก
การคัดเลือกสาวงามที่จัดขึ้นสามปีครั้งนั้นจะเป็นเวลาที่นางกับกุ้ยเฟยต่างใช้เพาะเลี้ยงกำลังให้แก่ตน ถ้าหากฝ่าบาทเสด็จไปทุกอย่างก็จะต้องเป็นไปตามพระประสงค์
แต่ซูเฟยไม่กล้าคาดคะเนความคิดของฮ่องเต้ เซียงฉือจึงรู้ความหมายในคำพูดเมื่อครู่ของนางดี
ซูเฟยยิ้ม ลูบมือนางแผ่วเบาพูดขึ้น
“ข้าก็ไม่ได้มีเรื่องอันใด ปีนี้ที่บ้านข้ามีผู้น้องคนหนึ่งหน้าตาสะสวย อายุเพียงสิบหกปี แต่โฉมหน้างดงามรูปร่างอรชร เชี่ยวชาญเสียงสัมผัสดนตรี คล่องการร่ายกาพย์อ่านกลอน ข้ามีความหวังว่านางจะได้เข้าวังในปีนี้ ไม่ทราบใต้เท้าอวิ๋นพอจะมีหนทางหรือไม่”
เซียงฉือฟังแล้วหน้าก็ขรึมลง ลูกพี่ลูกน้องหรือ
ไม่รู้ว่าเป็นน้องห่างไกลถึงรุ่นไหน แต่เซียงฉือไม่คิดมากต่อไป นางยิ้มน้อยๆ พูดว่า
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ถึงจะไม่กล้ารับปากว่าผู้น้องของซูเฟยจะได้เข้าวังแน่นอน แต่หากเป็นจริงอย่างที่ทรงตรัสไว้ว่านางเป็นหญิงงามแล้ว หม่อมฉันก็ไม่อยากให้ความเจิดจรัสของนางถูกกลบฝัง ฝ่าบาทเองก็ทรงรักและถนอมบุปผา หม่อมฉันย่อมต้องพยายามอย่างเต็มที่เพคะ”
เซียงฉือพูดจบซูเฟยก็กุมมือนางตบลงเบาๆ สามครั้ง จากนั้นปลีกตัวออกไปก่อน