ตอนที่ 446 โอกาสของเซียงฉือ
ฟังจบหรงจิงก็พยักหน้าน้อยๆ เขาเห็นพ้องกับเซียงฉือ เซียงฉือเห็นเขาพยักหน้าจึงพูดต่อ
“ถึงแม้องค์หญิงหมิงอวี้จะยังไม่ฟื้น แต่เซียงฉือคิดว่าเป้าหมายของคนคนนี้ไม่ใช่องค์หญิงหมิงอวี้ เพียงแต่องค์หญิงไปเห็นมันเข้าในขณะกำลังทำอะไรบางอย่างจึงทำให้คิดจะฆ่าแต่ถูกเซียงฉือเห็นเข้าเสียก่อนจึงหลบหนีไป”
“เซียงฉือคิดถึงการกระทำนี้แล้ว คนคนนั้นมีลักษณะพิเศษบางประการ ข้อแรก คนคนนี้จะต้องเดินเหินอยู่ภายในวัง ข้อสอง เขามีวิทยายุทธ์เพราะสามารถทำร้ายทหารรักษาพระองค์ได้รับบาดเจ็บถึงสองคนโดยปราศจากอาวุธ ดังนั้นเป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าทหารรักษาพระองค์คนหนึ่ง การที่เขาสามารถหลบพ้นขอบข่ายการตรวจค้นของทหารรักษาพระองค์ได้เช่นนี้จะต้องมีคนคอยช่วยเหลือ หรือพูดได้ว่าเขายังมีพรรคพวกอยู่ในวัง”
เซียงฉือชี้ขาดอย่างห้าวหาญ ทำให้เหงื่อเย็นของคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงไหลซึม
ถึงจะเป็นการคาดเดาของเซียงฉือ แต่เป็นเครื่องบ่งบอกถึงระดับความปลอดภัยของคนที่อยู่ในวัง
ในวังไม่ได้มีนักฆ่าเพียงคนเดียว และยังคงหลบซ่อนหาตัวไม่พบ อาจจะเป็นนางกำนัลข้างกายของพวกเขา หรือจะเป็นคนที่พวกเขาสนิทชิดเชื้อไว้ใจ การคุกคามและน่าหวาดหวั่นทำให้สีหน้าของคนในที่นั้นย่ำแย่ไปตามๆ กัน
หรงจิงมองดูเซียงฉือด้วยความเย็นชา เขารู้ว่าเซียงฉือพูดถูก แต่นางไม่สมควรพูดออกมาโจ่งแจ้งแจ่มชัดเช่นนี้ เพราะคนที่นั่งอยู่ไม่ใช่พวกขุนนางแต่เป็นผู้หญิงกับลูกของเขา หรงจิงไม่ต้องการให้พวกนางอยู่ด้วยความหวาดกลัว
ไม่ว่าคนที่ปกป้องนักฆ่าจะอยู่ในที่นี้หรือไม่ก็ตาม เขาก็ยังคงไม่ต้องการให้คนอื่นๆ ต้องอยู่อย่างหวาดผวา
ฉู่อวิ๋นเซียวกับสวี่อี้ฟังที่เซียงฉือพูด ถึงแม้จะเข้าใจ แต่ก็ยิ่งกังวลใจขึ้นมา
เมื่อไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยภายในวังได้แล้ว จะให้หัวหน้าทหารรักษาพระองค์กับข้าราชสำนักสตรีกองคดีอย่างพวกเขาทำตัวอย่างไร
อวิ๋นเซียงฉือรู้ว่าคำพูดของตนฟังแล้วน่าสะพรึงกลัวเพียงใด นางอ่านสีหน้าหรงจิงได้ชัดเจนจึงได้รีบพูดเสริมขึ้นว่า
“ฝ่าบาท พระชายาทุกพระองค์เพคะ หม่อมฉันรู้ว่าการคาดเดานี้ก่อเกิดความหวาดหวั่น แต่เนื่องเพราะทุกพระองค์ล้วนทรงสำคัญสูงส่ง หม่อมฉันจึงมิกล้าปกปิดแม้แต่น้อย ซึ่งอาจเป็นผลร้ายต่อความปลอดภัยของฝ่าบาทและสนมชายาทุกตำหนักได้เพคะ”
“หม่อมฉันกังวลใจ คนคนนั้นกบดานอยู่ในวังจะต้องมีแผนการร้ายที่ใหญ่กว่านี้ ดังนั้นจึงบังอาจกล่าววาจาน่าตกใจออกมา เพียงหวังให้ทุกพระองค์ทรงระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้นเท่านั้นเพคะ”
คำพูดของเซียงฉือทำให้ซูเฟยพยักหน้าตาม พวกนางสบตากัน ซูเฟยเลิกคิ้วน่าชมให้และยิ้มอย่างสมใจ
นางคิดในใจว่าผู้ช่วยคนนี้เริ่มออกลายแล้ว ที่ช่วยนางไว้ในตอนนั้นนับเป็นก้าวหมากที่ดีจริงๆ นางเชื่อว่าเพียงร่วมมือกับเซียงฉือก็เพียงพอที่จะกดจินกุ้ยเฟยไว้ในฝ่ายในไม่ให้ได้ผุดได้เกิด
ราวกับนางมองเห็นแล้วว่าในฝ่ายในไม่มีใครที่จะมาแก่งแย่งความรักและเกียรติยศกับนางได้อีกแล้ว
รอยยิ้มที่มุมปากนางจึงยิ่งแย้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
เซียงฉือก็ไม่ยอมพลาดโอกาส ถึงนางจะไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร ทั้งไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งของจินกุ้ยเฟยหรือไม่ แต่สิ่งที่นางต้องการคือการทำให้ทุกคนคิดว่าใช่ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ยังไม่เคยมีการตีเพียงครั้งเดียวก็พ่ายได้ในวังนี้ โดยเฉพาะกับจินกุ้ยเฟย นอกจากนางกับฮ่องเต้จะมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแล้ว ยังมีความเกี่ยวพันถึงการเมืองในฝ่ายหน้า ดังนั้นหากจะถอนรากถอนโคนนาง จะทำให้เกิดการล้างบางในราชสำนักฝ่ายหน้าขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เซียงฉือจะควบคุมได้
นางทำได้แต่เพียงค่อยๆ เพิ่มความรังเกียจของหรงจิงที่มีต่อนาง เกิดความคลางแคลงในบ้านสกุลจิน กระทั่งถึงวันหนึ่ง หรงจิงจะต้องลงมือกวาดล้างตระกูลยิ่งใหญ่นี้ด้วยมือตนเอง
ส่วนนางก็จะดูจินกุ้ยเฟยร่วงหล่นลงมาจากจุดสูงสุดลงสู่ก้นเหวเบื้องล่าง มีเพียงต้องทำเช่นนี้จึงจะสามารถแก้แค้นแทนท่านปู่ได้
ตอนที่ 447 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
เซียงฉือมองหรงจิงตรงๆ นางรู้ว่าเมื่อครู่หรงจิงไม่พอใจนาง แต่นางจะทำให้หรงจิงไม่พอใจตนเองไม่ได้ เพราะเขาเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของนาง ตั้งแต่วันที่เซียงฉือเข้ากองราชเลขา เหอจิ่นเซ่อได้พูดประโยคหนึ่งออกมาว่า ไม่ว่าจะอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางหรือกองราชเลขาหรือในพระราชวังก็ตาม ขอเพียงได้รับความรักและไว้เนื้อเชื่อใจจากคนเพียงคนเดียวก็เพียงพอในทุกสิ่งแล้ว
คนผู้นี้ก็คือหรงจิง
หรงจิงคือราชันย์ที่ยิ่งใหญ่และอยู่สูงที่สุดในใต้หล้า
เซียงฉือมองหรงจิงแล้วยิ้มน้อยๆ นางรู้สึกมั่นใจอยู่บ้าง เพราะหรงจิงเป็นฮ่องเต้ที่หลงตัวเองอย่างยิ่ง เขาไม่ชอบคนที่สักแต่ทำตามโดยไม่มีความคิดของตัวเอง แต่ชื่นชอบพวกที่มีความกล้าและความสามารถ
โดยไม่สนใจว่าคนคนนั้นจะเป็นหญิงหรือชาย และอวิ๋นเซียงฉือจะต้องเป็นคนแบบที่เขานิยมและชื่นชอบที่สุด
มีเพียงต้องเป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้จึงจะได้รับมอบหมายงานสำคัญจึงจะสามารถรักษาฐานะของตนเองให้ยั่งยืนตลอดไป
เซียงฉือคิดเช่นนั้น แล้วนางก็ทำตามนั้น
ใบหน้าหรงจิงผ่อนคลายลงแต่ไม่พูดอะไร คนที่พูดแทนเขาคือจินกุ้ยเฟย นางทนเห็นท่าทางหว่านเสน่ห์และกระหยิ่มอย่างสมใจของเซียงฉือไม่ได้
นางไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนโดดเด่นเหนือนางอยู่ต่อหน้าหรงจิง โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้ อวิ๋นเซียงฉือที่เคยต้อยต่ำเป็นเพียงนางกำนัลขั้นที่สามที่ไม่มีความโดดเด่นของนาง ไม่คู่ควรจะล้างเท้าแก่นางด้วยซ้ำ
บนมือของจินกุ้ยเฟยสวมปลอกเล็บสวยหรู นางจับเก้าอี้แล้วค่อยๆ นั่งลง มองดูอวิ๋นเซียงฉือ แบะปากน้อยๆ พูดขึ้นอย่างขำๆ
“กองราชเลขาช่างเป็นที่ซ่อนเสือเร้นมังกรจริงๆ ขนาดเป็นเพียงแค่ข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้ายังกล้ามาเล่นฝีปากต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทและต่อหน้าข้า คิดจะใช้วาทะเฉียบคมของเจ้ามาปัดความรับผิดชอบสินะ”
“เจ้าปัดความรับผิดชอบ มอมเมาใจคน ทำให้จิตใจของคนในวังไม่เป็นสุข แล้วยังจะปัดความรับผิดชอบบกพร่องในการปกป้ององค์หญิงไปให้ใต้เท้าฉู่ทหารรักษาพระองค์ในวังอีก ช่างบังอาจยิ่งนัก”
จินกุ้ยเฟยตบโต๊ะเล็กด้านข้าง ชี้ไปยังอวิ๋นเซียงฉือแผดเสียงออกไป
อวิ๋นเซียงฉือไม่โกรธ นางคุกเข่าลงกับพื้นและยอมรับข้อกล่าวหาแต่โดยดี
“ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยโปรดทรงวินิจฉัยด้วยเพคะ หม่อมฉันมิบังอาจปัดเลี่ยงความผิด ความบกพร่องในการดูแลองค์หญิงเป็นความรับผิดชอบของหม่อมฉันเพคะ แต่ตอนนี้หม่อมฉันเพียงร่วมปรึกษาหารือ ให้เบาะแสคนร้ายกับใต้เท้าฉู่เท่านั้น ทุกอย่างล้วนเพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาทและพระชายาทุกพระองค์ ไม่ได้พูดเพื่อให้เกิดความสับสนหรือทำให้จิตใจระส่ำระสายแต่อย่างใดเพคะ”
“แต่เมื่อกุ้ยเฟยตรัสขึ้นเช่นนี้ ทำให้หม่อมฉันคิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นได้เพคะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เซียงฉือมองไปทางซูเฟยกับหรงเย่ว์ที่อยู่ในอ้อมอกของจิ้งเฟย
จินกุ้ยเฟยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เรื่องสำคัญ มีเรื่องสำคัญอะไร ที่ใต้เท้าอวิ๋นเพิ่งนึกขึ้นได้ในตอนนี้”
“องค์หญิงตกน้ำเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่เองนะ ใต้เท้าอวิ๋นคงไม่ได้เป็นคนขี้หลงขี้ลืมกระมัง ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้สึกว่าอวิ๋นเซียงฉือกำลังเถียงข้างๆ คูๆ คำพูดนางเชื่อถือไม่ได้ นางดูแลองค์หญิงไม่ดีทำให้องค์หญิงตกน้ำ ฝ่าบาทควรต้องลงโทษนางนะเพคะ”
เซียงฉือฟังคำพูดนั้นแล้วก็ขมวดคิ้ว นางหรี่ตามองจินกุ้ยเฟย แต่ในใจครุ่นคิดมากมาย นางเบนสายตาลังเลมองไปยังองค์หญิงหรงเย่ว์ เด็กหญิงที่กำลังตกใจไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา
เซียงฉือกำลังคิดว่านางควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร สมควรดึงจิ้งเฟยแม่ลูกเข้ามาร่วมหรือไม่ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฟยจึงพูดขึ้นต่อจากจินกุ้ยเฟยทันที
“พี่หญิงอย่าเพิ่งใจร้อนเลยเพคะ หม่อมฉันกลับคิดว่าเรื่องนี้ควรคำนึงถึงความปลอดภัยของฝ่าบาทเป็นสำคัญ มิสู้ฟังดูก่อนว่าเรื่องสำคัญของอวิ๋นเซียงฉือคืออะไรดีไหมเพคะ”