ตอนที่ 458 ฆ่าคนร้ายในกองโอสถ
เมื่ออวิ๋นเซียงฉือพูดจบ ฉู่อวิ๋นเซียวก็กำกำปั้นต่อนาง พูดด้วยท่าทีจริงจังว่า
“มอบเป็นหน้าที่ข้า ใต้เท้าอวิ๋นวางใจได้เลย”
พูดจบก็สวมหมวกพู่สีแดงลงบนศีรษะหายวับไปท่ามกลางลมฝนในฉับพลัน
ขณะเดียวกันในกองโอสถ ตอนที่โหรวผินพูดคุยกับขันทีหลัวอวี้อยู่นั้น มีคนคนหนึ่งแอบได้ยินคำสนทนาของพวกเขาเข้า คำสนทนาพวกนั้นช่างน่ากลัวนัก
ถึงโหรวผินจะดูมีกิริยาอ่อนโยนนุ่มนวล แต่ทว่าน่ากลัวยิ่งนัก
หลัวอวี้กับนางติดตามออกไปทันที หมิงอวี้ไม่ได้ยินเสียงคนในห้องอยู่นานจึงได้ลืมตาขึ้นอย่างหวาดหวั่น ขนตาสั่นไหวน้อยๆ แล้วลืมขึ้นมา มองเห็นแสงไฟสว่างไสวภายในห้องจึงได้วางใจลงบ้าง
หมิงอวี้เงี่ยหูฟังอยู่นานก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใครอื่นเข้ามาใกล้จึงได้ลุกจากกองผ้าห่มขึ้นมานั่ง
ในเวลานั้นมีเสียงฝนตกหนักที่ด้านนอก และเพราะเมื่อครู่เซียงฉือสนทนากับโหรวผิน คนทั้งหลายจึงได้ออกไปจากกองโอสถ ตอนนี้ที่ข้างกายองค์หญิงหมิงอวี้จึงไม่มีใครอื่นอยู่อีกเลย
หมิงอวี้ปิดหู มองดูสายฟ้าแลบฟ้าร้องด้านนอก หวาดกลัวจนต้องซุกตัวสั่นระริกอยู่ในผ้าห่ม
นางหวาดหวั่นอย่างยิ่งจริงๆ แต่นอกจากความหวาดกลัวแล้วก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
เสียงฝนด้านนอกตกหนักขึ้นทุกที ผสมผสานกับสายฟ้าแปลบปลาบ ทำให้ใจของนางสั่นไหวเป็นระลอกๆ
ถึงแม้นางจะปิดหูไว้ แต่มีเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวยิ่ง มีคนเข้าประตูมาแล้ว นางยื่นมือออกมาจากใต้ผ้าห่ม และพบว่าไฟในห้องดับไปหมดแล้ว มีเพียงความมืดมิดที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ลมยามค่ำคืนเหน็บหนาว และเพราะนางเป็นคนป่วย ประตูภายในห้องจึงไม่ได้เปิดไว้สักบาน แต่มีเสียงเอี๊ยดแล้วประตูค่อยๆ แง้มออก
เสียงตึกๆ ของฝีเท้าแว่วเข้ามา
เสียงนั้นเบายิ่งนัก องค์หญิงหมิงอวี้เหมือนดั่งต้องคำสาป ร่างของนางสั่นเทาไม่หยุด นางไม่กล้าทำอะไร ทำอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่เพียงหลับตาอธิษฐานต่อฟ้าขออย่าให้คนคนนั้นเข้ามา
นางรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนั้นจะไม่ยอมปล่อยตนเองเอาไว้ นางรู้อยู่แล้ว
ใจของนางคล้ายดั่งร่วงหล่นลงไปในทะเลลึก ความหวาดกลัวเสมือนความมืดมิดที่ห่อหุ้มอยู่บนร่างนางไม่สิ้นสุด
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที เสียงแต่ละก้าวเหมือนกำลังเหยียบย่ำลงบนหัวใจของหมิงอวี้ ริมฝีปากนางค่อยๆ เผยอออก ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น
นางหวาดกลัวแต่พลันกลับลืมตาขึ้น
ดวงตางดงามของนางเบิกออกกว้างอย่างยิ่ง ชายในชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้านาง ในมือถือมีดวาวคมปลาบ นางมองเห็นมีดนั้นยกขึ้นไปช้าๆ
ลมหายใจหยุดชะงัก นางหวาดกลัวจนพูดไม่ออก อ้าปากหวอมองดูชายเบื้องหน้าอย่างหวั่นเกรง
“ขออภัยองค์หญิง ตายเสียเถอะ”
ชายร่างสูงใหญ่พูดขึ้น หมิงอวี้ไม่รู้ได้ความกล้ามาจากไหน นางแทบจะต้องใช้พลังในอกทั้งหมดเปล่งเสียงร้องตะโกนออกไป
“ช่วยด้วย!”
“กรี๊ด!…”
เสียงของนางแหลมยิ่งนัก ชายคนนั้นแสยะยิ้มเงื้อมีดขึ้นเตรียมจะปาดลงบนลำคอองค์หญิงหมิงอวี้
เขาเงื้อมีดขึ้นเหนือศีรษะ แววตาบ้าคลั่งโหดร้าย
แต่ในขณะนั้นเอง
“อ๊าก!”
เขาร้องขึ้นเสียงโหยหวน เลือดพุ่งกระฉูดจากด้านหลัง จากนั้นมีดในมือเขาก็ร่วงเคร้งลงบนพื้น
หมิงอวี้เห็นมีดของเขาร่วงหล่นลง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ความปรารถนาจะมีชีวิตรอดอยู่เหนือความหวาดกลัว
นางลุกขึ้นร้องเสียงดัง แล้วผลักชายคนที่ร้องโหยหวนเตรียมจะวิ่งออกไป แต่นางทำไม่สำเร็จ ด้านหลังนักฆ่าชุดดำยังมีชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่
เขาดึงองค์หญิงหมิงอวี้ไว้
หมิงอวี้หมุนกายกลับ ลำแสงสายหนึ่งแวบผ่านไป
ตอนที่ 459 ราตรีระทึกขวัญ
หมิงอวี้หันหน้ากลับไปเห็นผู้ชายคนที่จับแขนตนก็ยิ่งเกิดความหวาดกลัวจนล้มลงนั่งก้นกระแทกพื้น
ใบหน้าของชายคนนั้นเปื้อนเลือดสดๆ ของนักฆ่าชุดดำ ในขณะที่สายฟ้าแลบแผดก้อง มองเห็นความดุร้ายอยู่บนใบหน้าขาวซีดของเขา
เลือดบนปลายมีดหยดลงบนพื้นติ๋งๆ ดุจเดียวกับฝนห่าใหญ่ที่เบื้องนอก หมิงอวี้หวาดกลัวร่างสั่นเทิ้มไม่หยุดหย่อน เท้าถัดมือไต่ไปตามแถบข้างขอบหน้าต่าง
เสียงสะอึกสะอื้นหลุดออกจากลำคอนาง นางหวาดกลัวและหวั่นเกรงทั้งไม่กล้าเชื่อ
“เจ้าอย่าเข้ามานะ อย่าฆ่าข้า ข้าไม่ได้ยินไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
“ขอร้องล่ะ ข้าขอร้องเจ้าอย่าฆ่าข้าเลย พรุ่งนี้ข้าจะออกไปจากวังแล้วจะไม่กลับมาอีก ไม่กลับมาอีกแล้ว!”
หมิงอวี้ถัดถอยไปเรื่อยๆ อย่างหวาดกลัว นางทั้งอ้อนวอนและคาดหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะยอมปล่อยนาง แต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เขาไม่พูดอะไร ยังคงย่างตามเข้าใกล้องค์หญิงหมิงอวี้ จู่ๆ ร่างกายหมิงอวี้เกิดพละกำลังขึ้น เมื่อนางถอยไปติดขอบหน้าต่างจนไร้ทางถอยอีกต่อไปก็คลำพบสลักหน้าต่างจึงแอบถอดสลักออก
พอผลักหน้าต่างออกได้แล้วก็กระโดดผลุงออกไป
แต่แล้วนางก็ต้องตกตะลึงค้างตาเบิกโพลง แข็งทื่อไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
ผู้ชายด้านหลังติดตามออกมา มีดของเขาเงื้อขึ้นมาแล้ว แต่หมิงอวี้ราวกับถูกตรึงไว้ไม่ขยับเขยื้อน
ฟิ้ว!
มีดที่เตรียมปาดลงไปถูกหินก้อนหนึ่งจากวิถีที่ห่างไกลออกไปลอยเข้าปะทะ ชายคนนั้นตกใจรีบหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะต่อสู้แม้แต่น้อย
ผู้ที่มาใหม่คือฉู่อวิ๋นเซียวที่มาช้า แต่แล้วเขาก็ไม่กล้าขยับ ตะลึงไปกับภาพที่เห็นองค์หญิงหมิงอวี้ยืนประจัญหน้าอยู่ในที่นั้น
เบื้องหน้าองค์หญิงหมิงอวี้เป็นเด็กสาวถูกคนจับแขวนอยู่กับหน้าต่างตรงทางเดิน เส้นผมสยายกระจายสวมชุดสีขาว
ใบหน้าของนางแทบจะชนกับใบหน้าองค์หญิงหมิงอวี้ เครื่องหน้านั้นบิดเบี้ยวลิ้นห้อยยาวออกมา
ท่ามกลางฟ้าร้องสายฟ้าแลบ ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นสั่นสะท้าน
“กรี๊ด!”
“กรี๊ด!”
“กรี๊ด!”
ฉู่อวิ๋นเซียวไม่กล้าปล่อยนางยืนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เขาเข้าไปแล้วปิดตานางไว้
แต่องค์หญิงหมิงอวี้ไม่อาจควบคุมตนเองได้อีก นางส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว ทหารองครักษ์ที่ด้านนอกได้ยินเสียงร้องนั้นแล้วพากันทำลายประตูเข้ามา
ฉู่อวิ๋นเซียวขืนบังคับให้นางหันหลังให้กับหญิงที่ถูกแขวนอยู่นั้นแล้วใช้เสื้อคลุมร่างนาง อุ้มนางออกไป
“คนคนนั้นหนีออกนอกประตูไปแล้วรีบติดตามไป มันเป็นขันที!”
ดูเหมือนองค์หญิงหมิงอวี้จะสูญเสียจิตใจไปหมดสิ้น สติสัมปชัญญะสายสุดท้ายถูกความน่าสะพรึงนั้นทำลายลงไป นางหยุดดิ้นรนขัดขืน แต่หวาดกลัวคนเข้าใกล้ นางยังคงกรีดร้องเสียงแหลมไม่หยุดหย่อน
เขาเกิดความรู้สึกสงสารสาวน้อยผู้นี้ขึ้นมา นางยังเด็กท่าทางอ่อนแอ แต่กลับต้องมาเห็นภาพน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
ฉู่อวิ๋นเซียวอุ้มนางกลับเข้าไปในห้องนอนก็เห็นมีอีกศพหนึ่งล้มอยู่ข้างหน้าต่าง จิตใจสั่นสะท้านขึ้นรุนแรงอย่างห้ามไม่ได้
หัวหน้าทหารองครักษ์อย่างเขาคงจะจบสิ้นกันแล้วครานี้ ถึงฝ่าบาทจะไม่ฆ่าเขาแต่ก็คงจะถอดถอนเขาออกจากหน้าที่ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาพะวงถึงอนาคตของตนเอง
เพราะเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวขององค์หญิงหมิงอวี้ทำให้เขาเป็นห่วงและปวดหัวอย่างยิ่ง
ข้าราชสำนักสตรีของกองโอสถพากันรีบเร่งเข้ามา แต่พอมาถึงทางเดินด้านหน้าหน้าต่างต่างพากันคุกเข่าทรุดอยู่กับพื้น หวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าไปใกล้ มีเพียงโหรวผินที่รีบเร่งเข้าประตูไป
พวกนางกำนัลที่ติดตามมาเห็นสภาพในห้องแล้วพากันตกใจไปตามกัน
สีหน้าโหรวผินซีดลงไปบ้าง นางผู้เยือกเย็นสง่างามตลอดมาถึงกับสูดหายใจเฮือก