บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 462 นครแห่งคำลวง / ตอนที่ 463 วั่นกวง

ตอนที่ 462 นครแห่งคำลวง  

 

 

พอหรงจิงพูดจบหมิงอวี้ก็ลืมตาขึ้น เป็นการลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน นางยังคงนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่ดวงตาคู่นั้นเบิ่งกว้างโตยิ่ง  

 

 

ร่างนางไม่ได้ขยับ มีเพียงน้ำตาที่หลั่งรินลงมา  

 

 

หรงจิงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหางตานาง มองดูสายฝนที่ตกหนักเบื้องนอกแล้วพูดว่า  

 

 

“หมิงอวี้ พี่ควรทำอย่างไรดี”  

 

 

หมิงอวี้นิ่งเงียบ หรงจิงยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้นางอย่างไม่รู้หน่าย เมื่อหมิงอวี้ไม่เอ่ยปาก หรงจิงก็ไม่รบกวน แต่ยังคงพูดต่ออีกว่า  

 

 

“ในวันที่ข้าได้เป็นฮ่องเต้ เหล่าข้าราชบริพารพากันคุกเข่ากราบไหว้ ดนตรีบรรเลงขับขาน ครึกครื้นเหลือคณา แต่มีเพียงข้าเดินเข้ามาในนครโดดเดี่ยวนี้แต่เพียงลำพัง ตำหนักราชนิเวศน์ที่งดงามแต่ไม่อาจเข้าใกล้ ภายใต้ความงดงามตระการตาแต่ภายนอกนั้น คือความมืดมิดมองไม่เห็นก้นบึ้ง ไม่มีที่ใดที่ไร้ซึ่งอันตราย”  

 

 

“จวงไท่เฟยพาเจ้าออกไปจากที่นี่ช่างเป็นการเลือกที่ดียิ่งจริงๆ แต่ข้ารู้ว่า ธิดาฮ่องเต้ยังคงเป็นธิดาฮ่องเต้ เพราะว่าพวกนางมีความเข้มแข็งแบบที่หญิงอื่นไม่มี”  

 

 

หมิงอวี้ฟังหรงจิงพูดแล้วน้ำตาไหลซึมเปียกหมอน นางไม่นอนต่อ ยื่นมือพยุงเตียงแล้วพยายามลุกขึ้นนั่ง เอนพิงหมอนด้านหลัง นางมองหรงจิง มองเขาอย่างหวาดหวั่น  

 

 

“ฝ่าบาท หมิงอวี้อยากถาม หมิงอวี้จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่เพคะ”  

 

 

หรงจิงมองดูนาง เจ้าเด็กน้อยนี้ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นมากในชั่วพริบตา ร่างที่ห้อยอยู่ด้านนอก ซากศพที่แกว่งไกวเบาๆ อยู่ในสายลมนั้นคือเถียนซินที่อยู่กับหมิงอวี้มาตั้งแต่เด็ก นางเห็นและตกตะลึง และรู้ว่าตนเองคงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่แท้  

 

 

ดังนั้นนางจึงหยุดดิ้นรน ปลดปลงความทุกข์ร้อน ในขณะที่เห็นโหรวผิน คิดถึงเสียงของหลัวอวี้กงกง เสียงที่บอกนางให้ยอมรับความตายอย่างว่าง่าย  

 

 

หมิงอวี้บังเกิดความเกลียดชังโหรวผินขึ้นทันใด หญิงสาวที่บอบบางอ่อนแอแสร้งทำบริสุทธิ์คนนั้น นางฆ่าเถียนซิน และยังคิดจะลงมือทำร้ายนาง นางไม่มีกำลังจะตอบโต้จริงๆ แต่ก็รู้ว่าจะต้องใช้ฟันต่อฟัน ดังนั้นนางจึงกัดโหรวผินอย่างสุดกำลังวังชาที่มี แค้นจนอยากฉีกเนื้อสดๆ ออกจากร่างนาง ให้นางได้รู้รสชาติความเจ็บปวดราวถูกควักหัวใจแล่เนื้อ  

 

 

แต่แล้วเซียงฉือก็มา นางมองเห็นความชิงชังของนางแล้วยังใช้มือสับนาง นางเจ็บปวดมาก แต่นางก็รู้ว่านี่อาจเป็นเพียงโอกาสเดียวที่นางจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป  

 

 

เพราะว่าเซียงฉือมาแล้ว คนที่สามารถปกป้องนางมาแล้ว  

 

 

ตอนแรกที่ได้ฟังคำพูดหมิงอวี้หรงจิงตกตะลึง แต่หลังจากนั้นจึงพยักหน้า  

 

 

“น้องสาวของข้า องค์หญิงหมิงอวี้เติบโตขึ้นแล้ว รู้จักพูดคุยเงื่อนไขเป็นแล้ว”  

 

 

ดวงตาหมิงอวี้ยังมีน้ำตาคลออยู่ แต่นางยังทำหนักแน่น พูดยิ้มๆ ว่า  

 

 

“คนที่หมิงอวี้ไว้ใจได้มีไม่มากเพคะ ในวังนี้ก็มีเสด็จพี่พระองค์หนึ่ง แต่หมิงอวี้กลัวเพคะ กลัวตาย กลัวเป็นเหมือนเถียนซินที่ถูกแขวนอยู่ตรงทางเดิน ที่แม้ตายก็ยังไม่น่าดู หมิงอวี้ไม่อยากเป็นแบบนั้น ดังนั้นหมิงอวี้จึงต้องการคำสัญญาจากเสด็จพี่เพคะ”  

 

 

“เสด็จพี่ทรงเป็นฮ่องเต้ เป็นพระประมุขของทวยราษฎร์และยังเป็นพี่ชายของหมิงอวี้ เป็นญาติสนิทของหมิงอวี้ ญาติสนิทที่หมิงอวี้ประสงค์จะไว้เนื้อเชื่อใจ”  

 

 

หมิงอวี้พูด น้ำตาสายหนึ่งไหลหลั่งลงมา หรงจิงพยักหน้า  

 

 

“เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถิด ข้าจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว”  

 

 

สองมือหมิงอวี้กอดขาไว้ นางเอียงหน้าลงบนนั้นอย่างน่าสงสาร  

 

 

“วั่นกวง พวกมันจะทำร้ายเซียงฉือ หม่อมฉันไปได้ยินเข้า โหรวผินจะทำร้ายเซียงฉือ หม่อมฉันก็ได้ยินเช่นกัน วั่นกวงกับข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งจะวางยาพิษเซียงฉือ ส่วนโหรวผินต้องการเป็นผู้ฉกฉวยประโยขน์ พวกเขาต่างทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง แต่หม่อมฉันไปล่วงรู้ความลับของพวกเขาเข้า เสด็จพี่ ดูเหมือนหม่อมฉันจะไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพี่ในนครอันงดงามแต่หลอกลวงนี้ได้อีกต่อไปแล้วเพคะ”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 463 วั่นกวง  

 

 

หรงจิงฟังหมิงอวี้เล่า นางพูดชัดพูดตรงขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่เชื่อ เพียงแต่ว่า ทั้งวั่นกวงและโหรวผินต่างก็เป็นคนที่เขาไว้วางใจทั้งสิ้น  

 

 

หรงจิงจะพูดอีกครั้ง หมิงอวี้เอนหลังกลับลงไปไม่มองเขา เพียงพูดเย็นชาขึ้นว่า  

 

 

“หมิงอวี้กราบทูลล้วนเป็นความจริง คนของเสด็จพี่พวกนั้นต้องการฆ่าหมิงอวี้ก็เพราะเรื่องเหล่านี้ หมิงอวี้เพียงปรารถนาจะไปจากที่นี่และไม่ต้องการกลับมาอีกเพคะ”  

 

 

หรงจิงห่มผ้าให้นาง เขาครุ่นคิดใคร่ครวญถึงคำพูดของหมิงอวี้  

 

 

ถ้าหากนี่เป็นการแลกเปลี่ยนแล้วละก็ เขาควรจะปฏิบัติต่อหมิงอวี้อย่างไรดี  

 

 

เซียงฉือพอออกพ้นประตูหน้าของกองโอสถแล้วก็มุ่งไปยังโรงซักล้าง นางรู้ว่าเฮ่อเหมยเฮ่อหมัวหมัวปรารถนาความก้าวหน้าเสมอมา แต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้จนบัดนี้ นางจะให้โอกาสแก่นางสักครั้ง เพื่อให้นางคายความลับที่ตนเองต้องการออกมา  

 

 

เซียงฉือคลุมชุดกันฝนแล้วฝ่าฝนตกหนักไปเคาะประตูโรงซักล้าง ตอนนี้ได้ล่วงเลยยามจื่อไปแล้ว ถึงแม้ในกองโอสถจะสับสนอลหม่านปานใด แต่ในสถานที่เล็กๆ อย่างโรงซักล้างนี้ยังคงสงบเงียบอย่างยิ่ง เงียบเหงาเย็นชาทั้งยังซบเซาเหมือนที่เป็นมา  

 

 

นางไม่มีเวลามองดูสถานที่คุ้นเคยนี้มากนัก เมื่อปลุกยายเฒ่าเฝ้าประตูตื่นขึ้นมาแล้วจึงได้เดินเข้าไปด้านใน  

 

 

เฮ่อหมัวหมัวดูแลตัวเองได้ดีทีเดียว เซียงฉือรู้มานานแล้วว่านางกับจางกงกงของตำหนักอวี้หยวนเป็นตุ้ยสือ [1] กัน เรื่องแบบนี้พบเห็นได้ไม่น้อยในวัง เพียงแต่เซียงฉือไม่ใส่ใจสนใจเท่านั้น  

 

 

ตอนนี้นางมาเพื่อขอร้อง ดังนั้นจึงนุ่มนวลอย่างยิ่ง  

 

 

เฮ่อหมัวหมัวเข้านอนไปนานแล้วและถูกคนปลุกให้ตื่นขึ้นมา เซียงฉือพกพาเอาไอเย็นเดินเข้าไปในห้องนอนนาง  

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปหาแล้วถามขึ้นโดยไม่เสียเวลาทักทายเฮ่อหมัวหมัว  

 

 

“เฮ่อหมัวหมัว ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องต้องการจะถาม ถ้าหากหมัวหมัวรู้ ก็โปรดบอกข้าด้วยเถิด”  

 

 

จู่ๆ เซียงฉือโพล่งพูดขึ้นเช่นนี้ ทำให้เฮ่อหมัวหมัวรู้สึกงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก  

 

 

เมื่อเห็นชัดแล้วว่าผู้ที่มาเป็นใคร ถึงแม้จะโกรธอยู่บ้างเพราะถูกปลุกให้ตื่น แต่ก็ไม่กล้าโอดครวญ นางคลุกคลีกับจางกงกงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่ว่านางจะพูดจะใช้วิธีอย่างไร จางกงกงก็ยังไม่ยอมพานางเข้าไปทำงานในตำหนักอวี้หยวน นางเองอายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว หากพลาดโอกาสในช่วงเวลานี้ ต่อไปก็ยิ่งจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว  

 

 

ดังนั้นนางจึงทำตัวเหินห่างจางกงกง ตั้งแต่เซียงฉือได้เป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษร เฮ่อหมัวหมัวก็ได้ส่งคนนำของขวัญไปให้ แต่ตอนนั้นเพราะเซียงฉือยึดมั่นในคำพูดหรงจิงจึงไม่ค่อยคบหาสมาคมกับพวกที่ฝ่ายในไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ ทำให้กลายเป็นคนไร้น้ำใจในความรู้สึกของเฮ่อหมัวหมัว  

 

 

พอมาปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ เฮ่อหมัวหมัวจึงไม่รู้เจตนาของเซียงฉือ  

 

 

“เฮ่อหมัวหมัว แจ่มใสขึ้นมาสักหน่อยเถิด ข้ามีเรื่องจะถาม เรื่องนี้หากหมัวหมัวตอบได้ดี ข้าก็จะมอบความก้าวหน้าให้ แต่ถ้า…”  

 

 

เซียงฉือหยุดชะงัก แววตาเฮ่อหมัวหมัวดูจริงจังขึ้นมา  

 

 

นางจึงพูดต่อ  

 

 

“หากเป็นเช่นนั้น ตามพระราชดำริของฝ่าบาท พวกคนที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่มีความจำเป็นจะมีชีวิตอยู่ต่อไป!”  

 

 

เซียงฉือข่มขู่ออกไปเช่นนี้ทำให้เฮ่อหมัวหมัวถึงกับตัวสั่นเทาคิดจะคุกเข่า แต่เซียงฉือไม่ต้องการเสียเวลาไปกับนางจึงได้ถามนางอย่างตรงไปตรงมา  

 

 

“ที่ข้าพูดมานี้เฮ่อหมัวหมัวเข้าใจชัดเจนหรือไม่”  

 

 

เฮ่อหมัวหมัวรีบพยักหน้าหงึกๆ เซียงฉือจึงได้ถอนหายใจ นางเข้าไปใกล้ที่ข้างหูเฮ่อหมัวหมัว พูดเสียงเบาว่า  

 

 

“เฮ่อหมัวหมัว ข้าอยากรู้ว่าในวังนี้มีใครคนไหนที่กุมอำนาจทำตัวเหมือนดั่งราชาอยู่ลับๆ เป็นคนที่มีความลับมากมาย ไม่เปิดเผยตัวตน แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งบ้าง อย่างเช่นว่าเป็นขันที หรือหมัวหมัวอาวุโสอะไรแบบนั้น”  

 

 

พอเซียงฉือพูดเช่นนั้น เฮ่อหมัวหมัวหวั่นใจขึ้นมา จากนั้นจึงได้หลุดชื่อหนึ่งออกมา  

 

 

“วั่นกวง”  

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]   ตุ้ยสือ (对食) แปลตามอักษรจะมีความหมายว่ากินอาหารด้วยกัน  กล่าวคือขันทีหรือนางกำนัลที่แยกออกจากกลุ่มไปกินอาหารด้วยกันเพียงสองคน หมายถึงคู่รักนั่นเอง  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset