ตอนที่ 468 จับคนในตำหนักอวี้หยวน
ตอนนี้เป็นเวลาที่ตำหนักอวี้หยวนลงกลอนลั่นดาลไปแล้ว นอกจากผู้ถือถือป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้แล้วจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวน แม้แต่ฉู่อวิ๋นเซียวที่ตามจับนักฆ่าที่ได้รับบาดเจ็บไปทั่วก็ยังไม่กล้าก้าวล่วง คงละบางตำหนักที่ประทับของพระสนมไว้ไม่กล้าล่วงล้ำ
เพียงทิ้งคนที่ไว้ใจได้ไว้ในทุกจุดเพื่อรอเข้าตรวจค้นในเวลาที่เหมาะสม
ทั้งเซียงฉือและสวี่อี้ต่างวุ่นวายมาทั้งคืนจนดูเหนื่อยล้าไปทั้งคู่ แต่สมองยังดูแจ่มใสกันอย่างยิ่ง ทั้งสองพากันเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักอวี้หยวน มองประตูค่อยๆ เปิดออกมา
เซียงฉือไม่ได้มาตำหนักอวี้หยวนนานพอสมควรแล้ว
ครั้งก่อนที่มาเพราะถูกจินกุ้ยเฟยจับตัวมาอย่างเปี่ยมด้วยความอัปยศอดสู จากนั้นแล้วนางก็ไม่เคยย่างเท้าเข้าตำหนักนี้อีกเลยแม้แต่ครึ่งก้าว เพราะว่าเพียงนางมาถึงที่นี่ ความเกลียดแค้นที่มีต่อบ้านสกุลจินก็จะไหลบ่าออกมาท่วมจมความเข้มแข็งของนางไปอย่างไร้สุ้มเสียง
เซียงฉือกับสวี่อี้ยืนอยู่หน้าประตู คนหนึ่งสวมชุดข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาสีฟ้าคราม อีกคนสวมชุดข้าราชสำนักสตรีกองคดีสีดำขลิบแดง ต่างยืนตรงอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น
เพื่อจะมาจับคน
เซียงฉือย่อมไม่เกรงใจต่อใครหน้าไหนในตำหนักอวี้หยวนทั้งสิ้น สมัยก่อนที่นางอยู่ในตำหนักนี้นั้น จางกงกงคนนี้เป็นคนที่เอาเปรียบบรรดานางกำนัลที่สุดแต่จะเกรงใจหวังหมัวหมัวอย่างที่สุด เขาหยาบคายกับนางกำนัลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนางกำนัลอาวุโสหรือชั้นผู้น้อยก็ตาม
หากบอกว่าเขาเลียนแบบการกระทำนี้มาจากอาจารย์ของเขา เซียงฉือก็ยอมเชื่อ
“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือ”
“หม่อมฉันสวี่อี้”
“ได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้สืบสวนคดีองค์หญิงหมิงอวี้ถูกทำร้ายเมื่อคืนนี้ จึงมาเพื่อเชิญจางกงกงในตำหนักอวี้หยวนให้ไปยังกองคดีกับพวกหม่อมฉันเพคะ”
การที่พวกของเซียงฉือมายืนอยู่ที่หน้าประตูได้รบกวนจินกุ้ยเฟยมาแต่ต้นแล้ว พอประตูเปิดนางจึงเยื้องย่างออกมายืนบนที่สูง เหลือบดวงตาหงส์คู่นั้นไปยังเซียงฉือกับสวี่อี้ที่ด้านล่างราวกำลังมองดูมดปลวก
ในขณะนั้นจางกงกงกำลังประคองมือกุ้ยเฟยไว้อย่างพินอบพิเทา
แม้เซียงฉือจะนึกเหยียดหยามเขาอยู่ในใจไม่น้อยแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า
เซียงฉือกับสวี่อี้ทำความเคารพ จินกุ้ยเฟยทำเหมือนไม่ได้ยิน นางเดินไปมาอยู่หน้าประตูเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน ไม่ตอบรับคำของพวกนาง
สวี่อี้เป็นคนใจร้อนจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ทูลจินกุ้ยเฟย หม่อมฉันรับพระบัญชาให้มานำตัวจางกงกงไปสอบสวนยังกองคดี ขอกุ้ยเฟยโปรดอย่าได้ทรงขัดขวางเพคะ”
สวี่อี้พูดอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็ยังไม่ลืมให้เกียรติตามควรแก่กุ้ยเฟย
จินกุ้ยเฟยฟังคำพูดนั้นแล้วเลิกคิ้ว พ่นลมเย็นออกจากจมูก
“ข้าบอกจะไม่ปล่อยคนตั้งแต่เมื่อไรหรือใต้เท้าสวี่ คำพูดของท่านเช่นนี้เป็นการใส่ร้ายข้ามิใช่หรือ”
สวี่อี้ฟังคำพูดจินกุ้ยเฟยแล้วรีบตอบมิบังอาจ เซียงฉือเดิมทีคิดจะไม่พูด แต่สวี่อี้เอาแต่ดึงแขนเสื้อนางจึงต้องฝืนใจพูดขึ้น
“เมื่อกุ้ยเฟยมิได้ทรงขัดขวาง เช่นนี้แล้วหม่อมฉันขอนำตัวจางกงกงกลับไปตามพระบัญชาเพคะ” เซียงฉือส่งสายตาให้ทหารองครักษ์ด้านข้าง พวกเขาจึงเตรียมไปจับคน
แต่แล้วจินกุ้ยเฟยก็พูดขึ้นอีกว่า
“คนในตำหนักอวี้หยวนของข้าใช่ว่าคนอย่างพวกเจ้าคิดจะนำไปก็นำไปได้ ในเมื่อฝ่าบาทมีรับสั่งให้พวกเจ้ามานำเขาไป ก็อัญเชิญพระราชโองการออกมาแล้วข้าจะยอมปล่อยไปกับพวกเจ้า แต่ถ้าหากไม่มี ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะไม่แอบอ้างมาหลอกพาคนไป”
สวี่อี้เริ่มโกรธ วันนั้นฝ่าบาทก็ได้พูดต่อหน้าจินกุ้ยเฟยและมอบหมายให้พวกนางจัดการเรื่องนี้ ตอนนี้นางกลับถามหาราชโองการ การจะจับกงกงเพียงคนเดียวถึงกับต้องมีราชโองการ ช่างเป็นเรื่องตลกขบขันสิ้นดี
ตอนที่ 469 ประลองฝีมือหน้าตำหนัก
สวี่อี้คิดจะพูดต่อแต่เซียงฉือเหนื่อยแล้วจึงไม่อยากโต้เถียงกับจินกุ้ยเฟยอีก นางรู้ว่าจินกุ้ยเฟยจงใจกลั่นแกล้งและรอให้นางอ้อนวอนร้องขอ เซียงฉือรู้ทันความคิดของกุ้ยเฟยดี ดังนั้นจึงได้หยุดสวี่อี้ที่คิดจะพูดต่อ
นางเดินขึ้นหน้าออกไปพูดเสียงชัดเจนว่า
“กุ้ยเฟยมีพระประสงค์จะได้รับพระราชโองการก็ไม่ผิดอะไร ใต้เท้าสวี่ ท่านกับข้าก็มาเหนื่อยกันอีกสักรอบ อาศัยช่วงที่ฝ่าบาทยังไม่เสด็จออกประชุมขุนนางไปทูลให้ทรงทราบถึงความกังวลพระทัยของกุ้ยเฟยเพื่อขอพระราชวินิจฉัยกันเถิด”
เซียงฉือหมุนกายเตรียมผละไป สวี่อี้อึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะแอบยิ้มแล้วตามไป กลับกลายเป็นกุ้ยเฟยด้านหลังที่ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
นางเพียงแต่ต้องการกลั่นแกล้งเซียงฉือเท่านั้น ถ้าหากไปถึงฝ่าบาทจริงๆ นางก็ไม่มีเหตุผลจะไปอธิบาย เดิมทีก็ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยอยู่แล้ว ครั้งนี้เกรงว่าจะยิ่งเอ่ยปากลำบาก
จึงต้องกัดฟันกรอดแล้วพูด
“หยุดก่อน!”
ทั้งเซียงฉือและสวี่อี้เพียงหยุดเท้าแต่ไม่หันกลับ ต่างมองตากันและเห็นแววหยอกเย้าอยู่ในดวงตาของแต่ละฝ่าย
สวี่อี้ลอบยักคิ้ว
ส่วนเซียงฉือพยักหน้าแล้วทั้งคู่ก็หมุนตัวกลับไป ทำความเคารพกุ้ยเฟยอย่างนอบน้อม
“ไม่ทราบว่ากุ้ยเฟยยังมีสิ่งใดรับสั่งเพคะ”
กุ้ยเฟยผลักมือออกไป จางกงกงก็โงนเงนอยู่ที่ด้านบนแล้วถลาลงมา ไม่ง่ายกว่าจะทรงตัวได้ เขามองกุ้ยเฟยอีกครั้งด้วยท่าทางหวั่นเกรง แล้วจึงเดินช้าๆ ไปทางเซียงฉือกับสวี่อี้
ส่วนกุ้ยเฟยหมุนตัวและจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เซียงฉือไม่สนใจว่านางจะโกรธหรือไม่ นางสั่งคนจับตัวจางกงกงแล้วเดินไปทางกองคดี
สวี่อี้เดินนำไปก่อน ส่วนเซียงฉือเดินอยู่ข้างกายจางกงกงชวนคุยเรื่อยเปื่อย
“จางกงกง ข้าล่วงเกินแล้วจริงๆ แต่ก็เพราะเป็นงานในหน้าที่ คิดว่าจางกงกงก็เป็นคนเก่าคนแก่ในวังนี้แล้วจะต้องเข้าใจได้เป็นแน่ใช่ไหม”
จางกงกงในตอนนี้หวาดหวั่นถึงขีดสุด คนที่กุ้ยเฟยอาศัยพึ่งพาคือหวังหมัวหมัว แต่กับขันทีที่ย้ายมาจากตำหนักไทเฮาอย่างเขาไม่สู้ใส่ใจเท่าไหร่ ครั้งนี้มีวาจาสิทธิ์ของฮ่องเต้ลงมา เซียงฉือจึงไม่ต่างกับถือกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่ในมือ
ถึงใจเขาในตอนนี้จะก่นด่าเซียงฉือไม่เป็นชิ้นดี แต่ใบหน้ายังคงสอพลอประจบประแจง
เซียงฉือพูดกับเขาอย่างเกรงใจเช่นนี้เขาเองก็ไม่กล้าวางท่าจึงตอบอย่างซื่อๆ
“ข้าเป็นเพียงกงกงเทียบกับใต้เท้าไม่ได้หรอก งานการก้าวหน้ารับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาท ล้วนทำแต่งานสำคัญๆ ในราชสำนัก ข้าจะกล้าโอดครวญได้อย่างไร มิกล้าโอดครวญ ยินยอมพร้อมใจ ยินยอมพร้อมใจ…”
เซียงฉือฟังคำพูดจงใจประจบนั้นก็หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ที่มาพูดดีกับเจ้านี่ก็เพื่อจะกล่อมประสาทเจ้าให้เฉื่อยชา รอให้ถึงกองคดีแล้วเห็นเครื่องลงทัณฑ์ที่น่าสะพรึงเสียก่อนเถอะ แล้วจะรู้ว่าช่วงเวลานี้ควรค่าแก่การหวนคำนึงเพียงใด
เซียงฉือผ่อนฝีเท้า ตำหนักอวี้หยวนกับกองคดีไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก นางไม่อยากจะไปถึงที่นั่นเร็วเกินไป จางกงกงถึงแม้จะตระหนกอยู่บ้าง แต่ได้เห็นคนคุ้นเคยอย่างเซียงฉือจึงเบาใจลงไม่น้อย
เซียงฉือมองจางกงกงแล้วยิ้มพูดขึ้นว่า
“อ้อ ข้าเองก็เป็นคนที่ออกมาจากตำหนักอวี้หยวน คิดถึงเมื่อก่อนที่อยู่ในตำหนักได้รับการดูแลจากจางกงกงไม่น้อย ข้าคิดว่าจางกงกงคงรู้ใช่ไหมว่าพอเข้าไปถึงกองคดีแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามล้วนต้องเจ็บตัวกันบ้าง”
“ข้ารู้สึกเสมอมาว่าจางกงกงเป็นคนเฉลียวฉลาด จะต้องไม่ยอมให้ตัวเองต้องได้รับความลำบากเป็นแน่ ถ้าหากมือขาดขาขาดพิกลพิการไป ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ไปรับใช้เจ้านายเลย เกรงว่าจะถูกคนเขาเห็นเป็นดั่งขยะจับโยนเข้าตำหนักเย็น ถูกหนูแทะกินทีละคำ ทีละคำ”