บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 468 จับคนในตำหนักอวี้หยวน / ตอนที่ 469 ประลองฝีมือหน้าตำหนัก

ตอนที่ 468 จับคนในตำหนักอวี้หยวน

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาที่ตำหนักอวี้หยวนลงกลอนลั่นดาลไปแล้ว นอกจากผู้ถือถือป้ายคำสั่งจากฮ่องเต้แล้วจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวน แม้แต่ฉู่อวิ๋นเซียวที่ตามจับนักฆ่าที่ได้รับบาดเจ็บไปทั่วก็ยังไม่กล้าก้าวล่วง คงละบางตำหนักที่ประทับของพระสนมไว้ไม่กล้าล่วงล้ำ

 

 

เพียงทิ้งคนที่ไว้ใจได้ไว้ในทุกจุดเพื่อรอเข้าตรวจค้นในเวลาที่เหมาะสม

 

 

ทั้งเซียงฉือและสวี่อี้ต่างวุ่นวายมาทั้งคืนจนดูเหนื่อยล้าไปทั้งคู่ แต่สมองยังดูแจ่มใสกันอย่างยิ่ง ทั้งสองพากันเฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนักอวี้หยวน มองประตูค่อยๆ เปิดออกมา

 

 

เซียงฉือไม่ได้มาตำหนักอวี้หยวนนานพอสมควรแล้ว

 

 

ครั้งก่อนที่มาเพราะถูกจินกุ้ยเฟยจับตัวมาอย่างเปี่ยมด้วยความอัปยศอดสู จากนั้นแล้วนางก็ไม่เคยย่างเท้าเข้าตำหนักนี้อีกเลยแม้แต่ครึ่งก้าว เพราะว่าเพียงนางมาถึงที่นี่ ความเกลียดแค้นที่มีต่อบ้านสกุลจินก็จะไหลบ่าออกมาท่วมจมความเข้มแข็งของนางไปอย่างไร้สุ้มเสียง

 

 

เซียงฉือกับสวี่อี้ยืนอยู่หน้าประตู คนหนึ่งสวมชุดข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาสีฟ้าคราม อีกคนสวมชุดข้าราชสำนักสตรีกองคดีสีดำขลิบแดง ต่างยืนตรงอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น

 

 

เพื่อจะมาจับคน

 

 

เซียงฉือย่อมไม่เกรงใจต่อใครหน้าไหนในตำหนักอวี้หยวนทั้งสิ้น สมัยก่อนที่นางอยู่ในตำหนักนี้นั้น จางกงกงคนนี้เป็นคนที่เอาเปรียบบรรดานางกำนัลที่สุดแต่จะเกรงใจหวังหมัวหมัวอย่างที่สุด เขาหยาบคายกับนางกำนัลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนางกำนัลอาวุโสหรือชั้นผู้น้อยก็ตาม

 

 

หากบอกว่าเขาเลียนแบบการกระทำนี้มาจากอาจารย์ของเขา เซียงฉือก็ยอมเชื่อ

 

 

“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือ”

 

 

“หม่อมฉันสวี่อี้”

 

 

“ได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้สืบสวนคดีองค์หญิงหมิงอวี้ถูกทำร้ายเมื่อคืนนี้ จึงมาเพื่อเชิญจางกงกงในตำหนักอวี้หยวนให้ไปยังกองคดีกับพวกหม่อมฉันเพคะ”

 

 

การที่พวกของเซียงฉือมายืนอยู่ที่หน้าประตูได้รบกวนจินกุ้ยเฟยมาแต่ต้นแล้ว พอประตูเปิดนางจึงเยื้องย่างออกมายืนบนที่สูง เหลือบดวงตาหงส์คู่นั้นไปยังเซียงฉือกับสวี่อี้ที่ด้านล่างราวกำลังมองดูมดปลวก

 

 

ในขณะนั้นจางกงกงกำลังประคองมือกุ้ยเฟยไว้อย่างพินอบพิเทา

 

 

แม้เซียงฉือจะนึกเหยียดหยามเขาอยู่ในใจไม่น้อยแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า

 

 

เซียงฉือกับสวี่อี้ทำความเคารพ จินกุ้ยเฟยทำเหมือนไม่ได้ยิน นางเดินไปมาอยู่หน้าประตูเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน ไม่ตอบรับคำของพวกนาง

 

 

สวี่อี้เป็นคนใจร้อนจึงพูดขึ้นอีกครั้ง

 

 

“ทูลจินกุ้ยเฟย หม่อมฉันรับพระบัญชาให้มานำตัวจางกงกงไปสอบสวนยังกองคดี ขอกุ้ยเฟยโปรดอย่าได้ทรงขัดขวางเพคะ”

 

 

สวี่อี้พูดอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็ยังไม่ลืมให้เกียรติตามควรแก่กุ้ยเฟย

 

 

จินกุ้ยเฟยฟังคำพูดนั้นแล้วเลิกคิ้ว พ่นลมเย็นออกจากจมูก

 

 

“ข้าบอกจะไม่ปล่อยคนตั้งแต่เมื่อไรหรือใต้เท้าสวี่ คำพูดของท่านเช่นนี้เป็นการใส่ร้ายข้ามิใช่หรือ”

 

 

สวี่อี้ฟังคำพูดจินกุ้ยเฟยแล้วรีบตอบมิบังอาจ เซียงฉือเดิมทีคิดจะไม่พูด แต่สวี่อี้เอาแต่ดึงแขนเสื้อนางจึงต้องฝืนใจพูดขึ้น

 

 

“เมื่อกุ้ยเฟยมิได้ทรงขัดขวาง เช่นนี้แล้วหม่อมฉันขอนำตัวจางกงกงกลับไปตามพระบัญชาเพคะ” เซียงฉือส่งสายตาให้ทหารองครักษ์ด้านข้าง พวกเขาจึงเตรียมไปจับคน

 

 

แต่แล้วจินกุ้ยเฟยก็พูดขึ้นอีกว่า

 

 

“คนในตำหนักอวี้หยวนของข้าใช่ว่าคนอย่างพวกเจ้าคิดจะนำไปก็นำไปได้ ในเมื่อฝ่าบาทมีรับสั่งให้พวกเจ้ามานำเขาไป ก็อัญเชิญพระราชโองการออกมาแล้วข้าจะยอมปล่อยไปกับพวกเจ้า แต่ถ้าหากไม่มี ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะไม่แอบอ้างมาหลอกพาคนไป”

 

 

สวี่อี้เริ่มโกรธ วันนั้นฝ่าบาทก็ได้พูดต่อหน้าจินกุ้ยเฟยและมอบหมายให้พวกนางจัดการเรื่องนี้ ตอนนี้นางกลับถามหาราชโองการ การจะจับกงกงเพียงคนเดียวถึงกับต้องมีราชโองการ ช่างเป็นเรื่องตลกขบขันสิ้นดี

 

 

 

 

ตอนที่ 469 ประลองฝีมือหน้าตำหนัก

 

 

สวี่อี้คิดจะพูดต่อแต่เซียงฉือเหนื่อยแล้วจึงไม่อยากโต้เถียงกับจินกุ้ยเฟยอีก นางรู้ว่าจินกุ้ยเฟยจงใจกลั่นแกล้งและรอให้นางอ้อนวอนร้องขอ เซียงฉือรู้ทันความคิดของกุ้ยเฟยดี ดังนั้นจึงได้หยุดสวี่อี้ที่คิดจะพูดต่อ

 

 

นางเดินขึ้นหน้าออกไปพูดเสียงชัดเจนว่า

 

 

“กุ้ยเฟยมีพระประสงค์จะได้รับพระราชโองการก็ไม่ผิดอะไร ใต้เท้าสวี่ ท่านกับข้าก็มาเหนื่อยกันอีกสักรอบ อาศัยช่วงที่ฝ่าบาทยังไม่เสด็จออกประชุมขุนนางไปทูลให้ทรงทราบถึงความกังวลพระทัยของกุ้ยเฟยเพื่อขอพระราชวินิจฉัยกันเถิด”

 

 

เซียงฉือหมุนกายเตรียมผละไป สวี่อี้อึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะแอบยิ้มแล้วตามไป กลับกลายเป็นกุ้ยเฟยด้านหลังที่ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร

 

 

นางเพียงแต่ต้องการกลั่นแกล้งเซียงฉือเท่านั้น ถ้าหากไปถึงฝ่าบาทจริงๆ นางก็ไม่มีเหตุผลจะไปอธิบาย เดิมทีก็ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยอยู่แล้ว ครั้งนี้เกรงว่าจะยิ่งเอ่ยปากลำบาก

 

 

จึงต้องกัดฟันกรอดแล้วพูด

 

 

“หยุดก่อน!”

 

 

ทั้งเซียงฉือและสวี่อี้เพียงหยุดเท้าแต่ไม่หันกลับ ต่างมองตากันและเห็นแววหยอกเย้าอยู่ในดวงตาของแต่ละฝ่าย

 

 

สวี่อี้ลอบยักคิ้ว

 

 

ส่วนเซียงฉือพยักหน้าแล้วทั้งคู่ก็หมุนตัวกลับไป ทำความเคารพกุ้ยเฟยอย่างนอบน้อม

 

 

“ไม่ทราบว่ากุ้ยเฟยยังมีสิ่งใดรับสั่งเพคะ”

 

 

กุ้ยเฟยผลักมือออกไป จางกงกงก็โงนเงนอยู่ที่ด้านบนแล้วถลาลงมา ไม่ง่ายกว่าจะทรงตัวได้ เขามองกุ้ยเฟยอีกครั้งด้วยท่าทางหวั่นเกรง แล้วจึงเดินช้าๆ ไปทางเซียงฉือกับสวี่อี้

 

 

ส่วนกุ้ยเฟยหมุนตัวและจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก

 

 

เซียงฉือไม่สนใจว่านางจะโกรธหรือไม่ นางสั่งคนจับตัวจางกงกงแล้วเดินไปทางกองคดี

 

 

สวี่อี้เดินนำไปก่อน ส่วนเซียงฉือเดินอยู่ข้างกายจางกงกงชวนคุยเรื่อยเปื่อย

 

 

“จางกงกง ข้าล่วงเกินแล้วจริงๆ แต่ก็เพราะเป็นงานในหน้าที่ คิดว่าจางกงกงก็เป็นคนเก่าคนแก่ในวังนี้แล้วจะต้องเข้าใจได้เป็นแน่ใช่ไหม”

 

 

จางกงกงในตอนนี้หวาดหวั่นถึงขีดสุด คนที่กุ้ยเฟยอาศัยพึ่งพาคือหวังหมัวหมัว แต่กับขันทีที่ย้ายมาจากตำหนักไทเฮาอย่างเขาไม่สู้ใส่ใจเท่าไหร่ ครั้งนี้มีวาจาสิทธิ์ของฮ่องเต้ลงมา เซียงฉือจึงไม่ต่างกับถือกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่ในมือ

 

 

ถึงใจเขาในตอนนี้จะก่นด่าเซียงฉือไม่เป็นชิ้นดี แต่ใบหน้ายังคงสอพลอประจบประแจง

 

 

เซียงฉือพูดกับเขาอย่างเกรงใจเช่นนี้เขาเองก็ไม่กล้าวางท่าจึงตอบอย่างซื่อๆ

 

 

“ข้าเป็นเพียงกงกงเทียบกับใต้เท้าไม่ได้หรอก งานการก้าวหน้ารับใช้ใกล้ชิดฝ่าบาท ล้วนทำแต่งานสำคัญๆ ในราชสำนัก ข้าจะกล้าโอดครวญได้อย่างไร มิกล้าโอดครวญ ยินยอมพร้อมใจ ยินยอมพร้อมใจ…”

 

 

เซียงฉือฟังคำพูดจงใจประจบนั้นก็หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ที่มาพูดดีกับเจ้านี่ก็เพื่อจะกล่อมประสาทเจ้าให้เฉื่อยชา รอให้ถึงกองคดีแล้วเห็นเครื่องลงทัณฑ์ที่น่าสะพรึงเสียก่อนเถอะ แล้วจะรู้ว่าช่วงเวลานี้ควรค่าแก่การหวนคำนึงเพียงใด

 

 

เซียงฉือผ่อนฝีเท้า ตำหนักอวี้หยวนกับกองคดีไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก นางไม่อยากจะไปถึงที่นั่นเร็วเกินไป จางกงกงถึงแม้จะตระหนกอยู่บ้าง แต่ได้เห็นคนคุ้นเคยอย่างเซียงฉือจึงเบาใจลงไม่น้อย

 

 

เซียงฉือมองจางกงกงแล้วยิ้มพูดขึ้นว่า

 

 

“อ้อ ข้าเองก็เป็นคนที่ออกมาจากตำหนักอวี้หยวน คิดถึงเมื่อก่อนที่อยู่ในตำหนักได้รับการดูแลจากจางกงกงไม่น้อย ข้าคิดว่าจางกงกงคงรู้ใช่ไหมว่าพอเข้าไปถึงกองคดีแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามล้วนต้องเจ็บตัวกันบ้าง”

 

 

“ข้ารู้สึกเสมอมาว่าจางกงกงเป็นคนเฉลียวฉลาด จะต้องไม่ยอมให้ตัวเองต้องได้รับความลำบากเป็นแน่ ถ้าหากมือขาดขาขาดพิกลพิการไป ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ไปรับใช้เจ้านายเลย เกรงว่าจะถูกคนเขาเห็นเป็นดั่งขยะจับโยนเข้าตำหนักเย็น ถูกหนูแทะกินทีละคำ ทีละคำ”

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset