ตอนที่ 470 สอบสวนจางกงกง
เซียงฉือเป็นคนรับมือยากมาแต่ไหนแต่ไร จางกงกงก็เช่นกัน การที่เขาสามารถไต่เต้ามาเป็นขันทีอาวุโสในตำหนักอวี้หยวนได้เช่นนี้ย่อมต้องไม่ใช่ผู้มีสติปัญญาธรรมดา
แต่พวกคนในวังล้วนพูดกันว่า พวกขันทีไม่มีเครื่องเพศพวกนี้เป็นพวกไร้ศักดิ์ศรี อย่าหวังว่าจะทำอะไรเพื่อเจ้านายเลย ถึงขนาดยอมให้ตัวเองพิการเข้าวังมาเพื่อเงินเช่นนี้ ดูก็รู้แล้วว่าเป็นพวกแบบไหน
เซียงฉือไม่ได้ดูหมิ่นพวกขันทีในวัง แต่นางยังไม่เคยเห็นศิษย์ที่ขายนาย ขายได้อย่างเปี่ยมคุณธรรมเทียมฟ้าเช่นนี้
เซียงฉือนึกอยากรู้ว่าหากวั่นกวงมาเห็นหน้าตาปากคอของเขาในตอนนี้แล้ว จะสำนึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้รับเขาไว้เป็นศิษย์หรือไม่
นางพูดเพียงไม่กี่คำด้วยคำพูดที่หวังบั่นทอนจิตใจเขาก็ถึงกับทำให้จางกงกงหวาดผวาสองขาสั่นไปทันที เดิมทีทหารองครักษ์สองคนต้องคอยผลักเขาให้เดินไปข้างหน้า แต่หลังจากได้ยินคำพูดนั้นแล้ว ทหารทั้งสองก็ต้องลากพาเขาไป
“จางกงกง ท่านฉลาดออกปานนี้ เห็นแก่ที่เคยรู้จักกันมาก่อนข้าจะให้ทางรอดกับท่าน ขอเพียงเล่าความสัมพันธ์ของท่านกับสวีหมิ่นออกมา เล่าให้ละเอียดไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็ก แล้วข้าจะออกหน้าให้ ไม่ต้องพาท่านไปกองคดี จะปล่อยให้กลับไปรับใช้เจ้านายต่อ”
เซียงฉือพูดแล้วก็มองจางกงกง จางกงกงเข้าวังมานานพอควร แต่ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งคะเนถึงน้ำมือเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นจึงได้ตกใจจนสองขาสั่นเทา
เซียงฉือยังคงหลอกล่อต่อไป
“ท่านกับข้าต่างรู้จักกุ้ยเฟยดีว่าเป็นคนอย่างไร ถึงแม้ท่านจะไม่ปริปากอะไรเลย แต่ถ้าต้องเข้าไปในกองคดีสักครั้ง เมื่อออกมาแล้วกุ้ยเฟยย่อมไม่เชื่อถือท่านอีกอย่างแน่นอน ท่านว่าใช่หรือไม่”
“ข้าเชื่อว่าท่านเข้าใจดีทุกอย่าง ดังนั้นจึงไม่ควรแสร้งทำเลอะเลือนทั้งที่เข้าใจกระจ่างกับข้าอีก พวกเรามาเปิดอกคุยกันให้ชัดๆ จะดีหรือไม่”
คำพูดของเซียงฉือฉุดจางกงกงให้รู้สึกถึงตายเลยทีเดียว เขาหวาดกลัวมาก ที่กลัวไปกว่านั้นคือแม้ต้องรับทุกข์ทรมานและกลับตำหนักอวี้หยวนไปแล้วจะไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากกุ้ยเฟยอีก อีกทั้งยังจะถูกโยนเข้าไปในตำหนักเย็นที่น่าสะพรึงกลัว ปล่อยให้อยู่หรือตายไปตามยถากรรม
เขาเห็นมาหลายคนแล้วที่ถูกกุ้ยเฟยลอบจัดการไปแบบนั้น และแน่นอนว่าเขากลัวที่จะเป็นดังนั้น
เซียงฉือเห็นแววตาเขาสั่นระริก อ้าปากแต่แล้วก็หุบลง นางจึงจุดไฟลงบนกลางใจเขาอีกกองหนึ่ง
“จางกงกง รู้ไว้เถิดว่าสวีหมิ่นตายไปแล้ว ใต้เท้าฉู่กำลังตามหาชายที่ได้รับบาดเจ็บไปทั่วเขตพระราชฐาน ข้าเพียงสร้างบาดแผลขึ้นบนตัวท่าน ชี้เจาะจงลงที่ตัวท่าน บอกว่าท่านกับสวีหมิ่นมีความสัมพันธ์กันดียิ่งขนาดร่วมกินข้าวด้วยกัน ทั้งยังร่วมกันวางแผนจะจัดการผู้อื่นแต่ถูกองค์หญิงหมิงอวี้พบเห็นเข้าจึงคิดกำจัดองค์หญิงแต่พลาดไป และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสุดวิสัย ท่านจึงฆ่าพวกเดียวกันเสีย”
เซียงฉือบรรยายเรื่องน่ากลัวเช่นนี้กับเขาด้วยรอยยิ้ม แต่ร่างจางกงกงเริ่มสะท้าน ดวงตาทั้งคู่แวววาวขึ้นในฉับพลัน
เซียงฉือยิ้ม ส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์ทั้งสองปล่อยตัวจางกงกง ร่างเขาจึงเหมือนดั่งถุงทรายทรุดลงไปนั่งคุกเข่าในทันที ส่งเสียงร่ำไห้ขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ เซียงฉือได้ยินแล้วก็ยิ้มหน้าสดใส
เพราะนางรู้ว่าแนวป้องกันในใจของเขาถูกนางเปิดออกแล้ว คงไม่จำเป็นต้องใช้การลงทัณฑ์เพื่อให้รับสารภาพ จางกงกงคนนี้ก็จะเปิดเผยทุกเรื่องอย่างหมดเปลือก
“ใต้เท้าอวิ๋นหนอใต้เท้าอวิ๋น ข้ากับสวีหมิ่นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ ไม่มีจริงๆ นะท่าน โปรดอย่าไปฟังคำพูดของคนไม่รู้เรื่องรู้ราวพวกนั้นเลย ท่านกับข้าคุ้นเคยกันดีแค่ไหน ข้าไม่เคยทำอะไรที่ไม่สมควรกับท่านเลย ตอนท่านเข้าตำหนักอวี้หยวนข้าก็ยังดูแลท่านอย่างดี”
จางกงกงพอเริ่มเปิดปากก็อ้างมิตรภาพกับเซียงฉือขึ้นมาก่อน เซียงฉือไม่ใส่ใจและไม่ใจอ่อน นางพูดขึ้นว่า
“ถึงแม้จะดีกับข้ายิ่งขึ้นไปอีก แต่คนที่มีอำนาจในกองคดีคือใต้เท้าสวี่ จางกงกงควรคิดให้ดีเถิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ใต้เท้าสวี่ลงทัณฑ์กับท่าน”
ตอนที่ 471 จางกงกงรับสารภาพ
เซียงฉือเห็นท่าทางจางกงกงลับๆ ล่อๆ ดวงตาไม่ใหญ่มากของเขากลอกกลิ้งไปมา เขาเป็นคนฉลาดย่อมไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวหรืออาจารย์กับศิษย์อะไรพวกนั้นมาส่งผลกระทบกับอนาคตของตนเองอย่างแน่นอน
แต่ที่จางกงกงไม่พูดออกมาในตอนนี้เป็นเพราะเขากลัวว่าหากตนเองพูดออกมาแบบนี้แล้วไปเข้าถึงหูคนคนนั้นเข้าจะลำบาก
เซียงฉือมองเขา รู้ว่าเขาคงติดขัดอะไรบางอย่างจึงพูดว่า
“พวกคนที่ควบคุมกงกงอยู่ตอนนี้ล้วนเป็นผู้ติดตามใกล้ชิดฝ่าบาท เป็นคนมีฝีมือที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระราชหฤทัยทั้งสิ้น แต่หากไปถึงกองคดีแล้วก็จะมีคนหลากหลาย ถึงตอนนั้นกงกงจะถูกร่ำลือออกไปอย่างไรบ้าง ข้าก็คงไม่อาจจะควบคุมได้”
เซียงฉือพูดจบแล้วจึงเพิ่มเติมเข้าไปอีกว่า
“จางกงกง ข้าเคยได้ยินสวี่อี้พูดว่า เมื่อเข้าไปในกองคดีแล้ว ไม่กลัวหรอกว่าท่านจะให้การไม่เป็นประโยชน์ กลัวแต่ท่านจะไม่ยอมเปิดปาก”
“แม้จะตีจนเนื้อหนังปริแตกถึงตายก็ยังไม่ยอมสำนึก ท่านคิดดูสิว่าใต้เท้าสวี่เองก็ลำบากใจแค่ไหน”
“ดูเหมือนจะใกล้กองคดีเข้าไปทุกทีแล้ว พวกเราอย่าพูดคุยเรื่องคดีอะไรพวกนั้นกันดีกว่า มาคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างทางจะได้ไม่เหงาเกินไป”
เซียงฉือเจตนาเตือนขึ้น จางกงกงขมวดคิ้วจากนั้นดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายขึ้นมา เขารับต่อคำสนทนาของเซียงฉือ พูดขึ้นอย่างปลดปลง น่าสงสาร
“ใต้เท้าอวิ๋นหวังดีต่อข้า ข้าเข้าใจ แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ สวีหมิ่นกับข้าเพียงพบหน้ากันไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง”
“เฮ้อ เจ้าสวีหมิ่นที่สมควรสับเป็นพันชิ้นคนนั้นถึงกับบังอาจออกไปทำร้ายองค์หญิง ท่านคิดดูเถิด ข้าอยู่ในวังไม่ต่างอะไรกับอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังยิ่ง ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะอาจารย์ฝากฝังให้ข้าคอยดูแลให้ดีและข้าก็เห็นแก่ความเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน มิเช่นนั้นแล้วข้าคงไม่ใส่ใจเจ้าคนเนรคุณแบบนั้น”
“ใต้เท้าอวิ๋น ท่านดูเอาเถิด ข้าดูแลเขาด้วยความหวังดี แต่นี่ตายก็ตายไปแล้วยังจะดึงให้ข้าต้องถูกฝังไปพร้อมกับเขาอีก ไม่ยุติธรรมกับข้าจริงๆ”
อวิ๋นเซียงฉือฟังคำพูดเช่นนี้ด้วยความพอใจอย่างยิ่ง นางมองจางกงกง ยิ้มกับเขาเหมือนอย่างคนรู้กัน
“จางกงกงเป็นคนฉลาดจริงๆ ข้ามองคนไม่ผิด แต่ว่าหากเป็นแค่เรื่องเพียงเท่านี้ข้าว่ากงกงอย่าเก็บไปใส่ใจเลย ใต้เท้าสวี่ขึ้นชื่อในเรื่องเป็นปากเสียงร้องทุกข์แทนชาวบ้านอยู่แล้ว ท่านเพียงพูดกับใต้เท้าแบบที่พูดเมื่อครู่อีกสักครั้งก็ใช้ได้แล้ว เท่านี้ท่านก็มีครบทั้งชื่อเสียงและความกตัญญูรู้คุณ”
ถึงแม้ปากเซียงฉือจะพูดกับจางกงกงอย่างเกรงใจยิ่ง แต่ใจนั้นรังเกียจพวกไร้ยางอายเช่นนี้ยิ่งนัก
ก่อนเข้าวังจางกงกงเคยเรียนหนังสือตามบ้านมาบ้าง พอรู้หนังสือเล็กน้อย คิดว่าตนเองเป็นผู้มีการศึกษา กระทำเรื่องสกปรกโสมมทุกอย่าง และปิดบังอำพรางไม่ยอมเปิดเผย
เซียงฉือรู้นิสัยของเขาดีไยจะไม่รู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อครู่นางเพิ่งจงใจสะกิดจางกงกง ให้เขาเปิดเผยออกมาแบบไม่ตั้งใจ ทำให้เซียงฉือกับสวี่อี้ไม่ต้องสร้างความลำบากแก่เขา และอาจารย์ของเขาก็ไม่อาจกล่าวหาว่าเขาไร้น้ำใจเพราะเหตุนี้ได้
ช่างทำเรื่องชั่วแต่ยังหมายให้คนเห็นว่าประเสริฐจริงๆ
เมื่อไปถึงกองคดี สวี่อี้ก็เข้ามาหา เซียงฉือกระซิบพูดที่ข้างหูนาง สวี่อี้เมื่อฟังแล้วก็ยิ้มอย่างรู้กัน
นางพูดว่า “ในเมื่ออะไรก็บอกมาหมดแล้ว เสียเวลาที่ข้าอุตส่าห์เตรียมตัวไว้นาน เฮ่อหมัวหมัว ท่านกับจางกงกงเป็นคนคุ้นเคยกันดี เช่นนั้นก็จัดการให้ดีก็แล้วกัน ไม่ต้องให้ถึงกับถึงเอ็นถึงกระดูก เอาแค่เนื้อหนังแตกปริก็พอ”
เฮ่อหมัวหมัวฟังคำพูดนี้แล้วอึ้งไป เพราะนางไม่ใช่คนในกองคดี แต่พอเห็นหมัวหมัวด้านข้างส่งสายตามาให้ จริงรับสมอ้างอย่างขรึมๆ
เซียงฉือเห็นแล้วก็วางใจลงมาก เฮ่อหมัวหมัวเป็นคนหัวไว คิดว่าหากมาอยู่ที่นี่ไม่เกินสองวันก็สามารถเรียนรู้อะไรได้ทั้งหมด