ตอนที่ 476 ผีเสื้อหลงบุปผา
เซียงฉือเคาะนิ้วมือบนโต๊ะเบาๆ ซึ่งเป็นกิริยาเล็กๆ ที่นางมักทำยามเกิดความสงสัย แต่นอกจากคนข้างกายหรงจิงจะไม่รู้แล้ว แม้แต่สวี่อี้ก็เพียงแค่รู้สึกว่าเซียงฉือแปลกไปเท่านั้น
เซียงฉือมองวั่นกวง นางรู้สึกว่ากงกงคนนี้แปลกยิ่งนัก ดูจะไม่เข้ากับวังหลวงแห่งนี้อย่างมาก เขามีกลิ่นอายแปลกประหลาด สงบเงียบ สุขสงบ ประดุจโลกในฝันอันงดงามสุขสบาย
ดุจเดียวกับสวนดอกไม้ในฤดูใบไม้ร่วงนี้
เซียงฉือสูดกลิ่นหอมอวลในอากาศ ตั้งแต่แรกเข้าประตูมานางรู้สึกคุ้นจมูกกับกลิ่นนี้นัก เหมือนจะเคยรู้จักกลิ่นนี้มาก่อนแต่นางไม่แน่ใจจึงถามออกไป
“วั่นกงกง ระยะนี้ได้ใกล้ชิดกับสวีหมิ่นสวีกงกงหรือไม่ ไม่ทราบว่าเขามาเยี่ยมท่านหรือไม่”
เซียงฉือหยุดเคาะนิ้ว อมยิ้มมองดูวั่นกวง วั่นกวงจากที่ยินดีพอใจ ล่องลอยไม่วุ่นวายเริ่มจะอดกลั้นไม่ไหว
สีหน้าที่มองเซียงฉือเริ่มเคร่งขรึม ถึงแม้เขาจะพยายามซ่อนเร้นความไม่พอใจของตนอย่างเต็มที่ แต่เซียงฉืออยู่ใกล้หรงจิงมานาน ความสามารถในการอ่านคนนั้นจึงเชี่ยวชาญมาก
ภาพลักษณ์ของวั่นกวงสำหรับนางลดต่ำลงมาก แต่นางยังคงยิ้มละไมและให้ความนบนอบต่อเขาเช่นเดียวกับตอนเข้ามา
รอยยิ้มของเซียงฉือไม่สามารถคลายความเยือกเย็นของวั่นกงกงได้ กลับยิ่งทำให้เขาต้องซุกซ่อนความนึกคิดให้มิดชิดยิ่งขึ้น
“ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสมปรารถนาของใต้เท้าอวิ๋น คงจะไม่รู้ถึงความเงียบเหงาของผู้เฒ่าอย่างพวกเรา ทุกคนต่างมีงานการของตน ต่างคนต่างยุ่ง ใครจะว่างมาเยี่ยมตาแก่อย่างข้าคนนี้กันเล่า ท่านว่าใช่หรือไม่”
เซียงฉือฟังแล้วเพียงยิ้มก้มหน้าไม่พูดอะไร สวี่อี้จึงรีบรับช่วงถามคำถามออกไปบ้าง ซึ่งวั่นกวงก็ตอบได้อย่างลื่นไหล
เซียงฉือรู้สึกว่าคำพูดของเขาล้วนเหมือนเตรียมการมาอย่างดีจนไร้ช่องโหว่ ส่วนนางยังคงสนใจอยู่กับกลิ่นนั้น รอบนี้พวกนางคงได้แต่สอบถามเรื่องทั่วไป ไม่มีหลักฐานเพียงพอจะยืนยันความสัมพันธ์ของพวกเขา แล้วพวกนางจะทำอะไรได้อีก
“ข้าและใต้เท้าสวี่รบกวนวั่นกงกงมานาน ก็จะไม่รบกวนเวลาสงบของท่านแล้วจะขอลาไปก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของท่านอีกครั้งหนึ่ง”
เซียงฉือลุกขึ้นค้อมกายขอบคุณฝ่ายตรงข้าม จากนั้นทำความเคารพแล้วเตรียมลากลับ
วั่นกงกงก็ลุกขึ้นพูดยิ้มๆ ว่า
“กล่าวอะไรเช่นนั้น รับเบี้ยเงินเดือนจากท่านก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระท่าน ต่างก็เข้าใจกัน ต่างก็เข้าใจกัน”
เซียงฉือยิ้นน้อยๆ ผงกศีรษะ เตรียมเดิมออกไปต่อ เมื่อเดินถึงหน้าประตูก็หยุดชะงักลงพลัน สอบถามกงกงผู้น้อยที่มาส่งแขกว่า
“พวกท่านจุดกลิ่นหอมอะไรจึงได้มีกลิ่นหอมเย็นไม่เหมือนใครเช่นนี้ ข้าเป็นคนชอบเครื่องหอมพวกนี้มาก แต่ยังไม่เคยได้กลิ่นเครื่องหอมเช่นนี้มาก่อน”
เซียงฉือราวเกิดความรู้สึกขึ้นมาจึงสอบถามออกไป กงกงผู้น้อยอายุยังน้อย พอได้ฟังคำถามเซียงฉือก็ยิ้มแล้วตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ตำหนักซีฉือของพวกเราเดิมเป็นที่ประทับของไทเฮา เมื่อก่อนไทเฮาทรงได้รับพระราชทานเครื่องหอมผีเสื้อหลงบุปผาที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในโลกนี้จากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ดังนั้นทุกตำหนักจึงมีเพียงที่ของพวกเราแห่งเดียวนี้ที่มีเครื่องหอมนี้อยู่”
เซียงฉือฟังแล้วก็ยิ้มแล้วถามอีกว่า
“เครื่องหอมนี้คิดว่าคงจะปรุงยาก ในเมื่อไทเฮาสวรรคตไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เครื่องหอมนี้มาจากที่ใดได้อีก”
เซียงฉือถามเช่นนี้ กงกงผู้น้อยตอบลำบากถึงกับขมวดคิ้ว
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า
“เครื่องหอมนี้มีค่าสูงมาก ส่วนที่ไทเฮาทรงเหลือไว้ก็ใช้หมดไปนานแล้ว จึงต้องลำบากสวีหมิ่นสวีกงกง เขาปรุงเครื่องหอมนี้เป็น และรู้ว่าวั่นกงกงชื่นชอบจึงทำแล้วนำมามอบให้กงกงเป็นการแสดงความกตัญญูเสมอๆ”
เซียงฉือค่อยๆ หรี่ตา จิตใจสงบลง ที่แท้เป็นอย่างที่นางคิดไว้ วั่นกวงมีเรื่องปกปิดจริงๆ
ตอนที่ 477 ข้อสงสัย
เซียงฉือฟังแล้วผงกศีรษะ จากนั้นจูงสวี่อี้เดินออกประตูหน้าของตำหนักซีฉือไป
สวี่อี้มองเซียงฉือ แล้วถามคำถามที่เกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่หน้าประตูออกมา
“หญิงสาวในวังที่ชื่นชอบกลิ่นหอมมีมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นมีพวกนางกำนัลกับขันทีไม่น้อยที่ปรุงเครื่องหอมเป็นและถูกเรียกใช้สอยเป็นสำคัญ สวีหมิ่นคนนั้นเมื่อมีความสามารถปรุงเครื่องหอมได้ คิดว่าฝีมือคงเลิศล้ำและโดดเด่นกว่าพวกเดียวกันเสียอีก แต่เหตุใดจึงไปจมจ่อมอยู่ในที่แบบสำนักอักษรซื่อคู่”
เซียงฉือดึงมือสวี่อี้รีบเร่งจะกลับไปกองคดี ฝีเท้าจึงเร่งรีบทำให้สวี่อี้ลนลานขึ้นมา
เซียงฉือเดินไปตอบพลางว่า
“สวี่อี้ เจ้ายังจำได้ไหมว่าบนร่างของสวีหมิ่นก็มีกลิ่นหอมผีเสื้อหลงบุปผา พวกเรารีบกลับไปดูก่อนค่อยว่ากัน”
สวี่อี้ได้ยินแล้วก็เร่งฝีเท้าขึ้นเช่นกัน ทั้งสองคนไม่มีอาหารตกถึงท้องมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ตอนนี้ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ พอเข้าไปถึงกองคดี สวี่อี้จึงรีบลากข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งมาสั่งว่า
“ช่วยไปจัดข้าวต้มสองชามกับกับข้าวมาให้ข้ากับใต้เท้าอวิ๋นที เตรียมเสร็จก็ยกมาเลยนะ”
เซียงฉือไม่มอง นางเดินเข้าห้องผ่าพิสูจน์ไปก่อน ในห้องนี้มีศพของสวีหมิ่นวางอยู่ และยังมีเถียนซิน
เซียงฉือเดินไปข้างร่างของเถียนซิน เปิดผ้าขาวขึ้นแล้วมองลงไป พูดว่า
“สาวน้อยคนดี ชาติหน้าเลือกเกิดในครอบครัวที่ดีเถิดนะ หลับให้สงบเถิด ข้าจะต้องจับตัวฆาตกรให้ได้เพื่อเจ้า จะไม่ให้เจ้าต้องตายเปล่า” นิ้วมือเซียงฉือค่อยๆ ลูบผ่านตานาง ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่ตลอดคู่นั้นจึงได้ค่อยๆ ปิดลง
จากนั้นนางหมุนกายเปิดผ้าคลุมสีขาวของสวีหมิ่น มองดูใบหน้าขาวซีดของเขา และกลิ่นที่ไม่รู้ชัดว่ามาจากที่ใด
“บนร่างเขามีกลิ่นๆ หนึ่ง คล้ายกับกลิ่นผีเสื้อหลงบุปผามาก”
สวี่อี้ตามมาข้างหลังเซียงฉือ นางเดินยกถาดเข้ามาเอง
เซียงฉือมองนางแล้วยิ้ม เดินเข้าไปรับข้าวต้มบนนั้น แล้วยิ้มสบตากัน จากนั้นกินเอากินเอา ไม่พูดไม่จา
เซียงฉือจ้องมองสองคนเบื้องหน้า หากเป็นสวี่อี้ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรยังพอทำเนา แต่นี่นางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร
เหตุใดจึงไม่รู้สึกอะไรเลยกับศพทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้า
เซียงฉือคิดแต่ไม่พูดจา กินอาหารราวกับเครื่องจักร นางมองสองคนนั้นแล้วท้ายที่สุดก็หมดความอยากอาหาร
“กินให้มากอีกสักหน่อย วันนี้ยังต้องยุ่งอีกมาก ก็เพราะกลัวเจ้าไม่อยากอาหารจึงให้คนส่งข้าวต้มมาให้ การกินอาหารเป็นสิ่งสำคัญ คนเราไม่กินอะไรเลยไม่ได้หรอก หากทำให้เจ้าผอมไป ฝ่าบาทคงไม่พอพระทัย”
เซียงฉือยิ้มน้อยๆ ไม่ต่อปากต่อคำ เพียงสูดกลิ่นบนแขนเสื้อเบาๆ เริ่มเกิดความสงสัย
“กลิ่นแปลกจริงๆ นะ พวกเราเพิ่งออกมาจากตำหนักซีฉือ หากว่ากลิ่นนี้ติดมาจากที่นั่นจริงๆ เหตุใดบนตัวพวกเราจึงไม่มีกลิ่นนั้น แต่ร่างสวีหมิ่นกลับมี”
สวี่อี้ชะงักแล้วเข้าไปใกล้ นางตั้งใจดมจากนั้นพูดว่า
“หรือว่าบนร่างเขาจะมีผงหอมผีเสื้อหลงบุปผาอยู่”
เซียงฉือกับสวี่อี้ตรวจสอบบนร่างเขาทุกซอกทุกมุม วินิจฉัยอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่าบนเส้นผมกับเสื้อผ้าช่วงไหล่มีกลิ่นผงหอมรุนแรง ตามความคิดของเซียงฉือ นั่นควรเป็นผงหอมกลิ่นผีเสื้อหลงบุปผา
แต่เหตุใดมันจึงไปอยู่บนไหล่ของเขาเช่นนั้น
“ถ้าหากว่าผงหอมจะหลงติดอยู่ตอนเขาปรุง เช่นนั้นทำไมตรงแขนเสื้อจึงไม่มีเล่า”
เซียงฉือมองดูผงหอมบนเสื้อผ้านั้นแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย