ตอนที่ 498 สาวงามก่อวิวาท
หรงจิงใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องการชิงดีชิงเด่นของซูเฟยกับกุ้ยเฟย พวกนางต่างถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งมีเขาเป็นตัวผสมโรงเสมอมา เขาจึงไม่ได้รู้สึกต่อต้านมากนัก
เขาหันกลับไปมองกุ้ยเฟยกับซูเฟย แล้วถามขึ้น
“พระสนมทั้งสอง เจ้าคิดอย่างไร”
ซูเฟยลอบกัดฟัน แต่นางรู้ว่าหรงจิงไม่ชอบถูกใครขัด ครั้งนี้ยอมถอยให้เช่นนี้นับว่าหาได้ยากแล้ว ซูเฟยที่คล้อยตามเขาเสมอมาจึงตอบรับอย่างเชื่อฟัง
“ฝ่าบาทรับสั่งเช่นไรหม่อมฉันล้วนเห็นด้วยเสมอมา หม่อมฉันเบาปัญญาเพียงคิดว่าจารีตที่บรรพชนทรงบัญญัติสามารถถือเป็นแบบฉบันมาได้นั้นย่อมต้องมีเหตุผล แต่ก็อย่างที่น้องเซียงฉือกราบทูลเพคะ ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม ย่อมต้องมีการริเริ่มสิ่งใหม่ ซึ่งหม่อมฉันย่อมสนับสนุนเพคะ”
กุ้ยเฟยเมื่อเห็นซูเฟยชิงตัดหน้าเช่นนั้น ถึงจะกัดฟันกรอดไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็เพียงพูดว่า
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่แต่แรกแล้วว่าฝ่าบาทรับสั่งเช่นใดก็ให้ปฏิบัติเช่นนั้น เพียงแต่ใจคิดสงสารเหล่าสาวงามที่ดั้นด้นเดินทางมาไกลเพียงเพราะต้องการชื่นชมพระบารมี จึงรู้สึกเสียดายแทนพวกนางตอนนี้เมื่อใต้เท้าอวิ๋นมีวิธีที่ดีเช่นนี้ จึงเห็นด้วยเพคะ”
หรงจิงผงกศีรษะแล้วพูดกับเซียงฉือ
“ทำตามวิธีเจ้า ไปจัดการได้แล้ว”
เซียงฉือน้อมกายทำความเคารพแล้วรีบออกไป ส่วนเจ้านายทั้งสี่ก็ไปเสวยพระกระยาหาร เซียงฉือเรียกผู้รับผิดชอบงานจากทุกกองแล้วบอกเรื่องพระประสงค์ของฮ่องเต้ ถึงจะฉุกละหุก แต่คนเหล่านั้นไม่มีใครที่ไม่ปราดเปรื่อง จึงสามารถนำวิธีการของเซียงฉือไปดำเนินการต่อได้อย่างรวดเร็ว
ไล่เรียงตามลำดับในสมุดรายชื่อ ให้หญิงสาวทุกคนเดินผ่านเบื้องพระพักตร์แล้วทำความเคารพ จากนั้นให้เดินผ่านไปหากหรงจิงเห็นว่าคนไหนใช้ได้ก็จะผงกศีรษะ หากไม่ผงกศีรษะก็หมายความว่าไม่เป็นที่ต้องประสงค์
เมื่อทำเช่นนี้จึงดำเนินการไปได้รวดเร็วขึ้นมาก พระสนมทั้งหลายก็ดูอยู่ข้างๆ เช่นกัน ถามคำถามอะไรบ้าง และหากพอใจก็จะเหลือไว้ในสมุดรายชื่อตน
เซียงฉือเห็นเรื่องดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเช่นนั้นก็ยินดียิ่ง
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นที่ด้านนอกตำหนักเชียนสี่ เสียงนั้นบาดหูนัก หรงจิงส่งสายตาให้เซียงฉือ นางผงกศีรษะแล้วออกไป เพียงออกพ้นประตู
“ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำไมอึกทึกเช่นนี้ รีบไปดูทันที อย่าให้พวกนางทำลายความสำราญของฝ่าบาท”
เซียงฉือชี้ตรงที่ห่างออกไป จึงมีขันทีคนหนึ่งรีบวิ่งไปและกลับมาในเวลาชั่วครู่
“เรียนใต้เท้า สาวงามสองคนทะเลาะกันอยู่ในอุทยานหลวงขอรับ ข้าน้อยได้ยินเพียงคร่าวๆ ดูเหมือนจะเกิดการผลักไสกันขณะกำลังเดินของคุณหนูบ้านสกุลน่าหลานแห่งอวิ๋นโจวกับธิดาท่านข้าหลวงพิเศษบ้านสกุลซุนที่เอี้ยนโจวถึงขั้นลงไม้ลงมือกันขอรับ”
“เพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงได้ยิน ข้าน้อยจึงให้คนปิดปากทั้งสองคนแล้วนำไปที่ด้านหนึ่ง ไม่ทราบจะให้ทำอย่างไรต่อขอรับ”
ดวงตาเซียงฉือเย็นลงแล้วพูดว่า
“พวกเจ้าทำได้ดี ฮ่องเต้กำลังทรงคัดเลือกสาวงาม ถึงแม้หน้าตาและวงศ์ตระกูลจะสำคัญ แต่จริยธรรมคุณธรรมยังควรต้องมาก่อน เจ้าไปดูพวกนางไว้ อย่าให้พวกนางก่อกวนความเรียบร้อยจนเป็นเรื่องขึ้นอีก ข้าจะไปทูลขอคำแนะนำจากฝ่าบาทแล้วจะกลับมาตัดสิน”
เซียงฉือเดินรวดเร็วเข้าไปข้างในแล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นข้างหูฮ่องเต้
หรงจิงวางพู่กันลง
“บ้านสกุลน่าหลานจากอวิ๋นโจวกับบ้านสกุลซุนจากเอี้ยนโจวล้วนเป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก ขับนางทั้งสองออกไปแล้วให้มีพระราชโองการไปถึงสองบ้าน ตำหนิที่อบรมบุตรสาวบกพร่อง เสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ ห้ามมิให้ทั้งสองตระกูลเข้าร่วมคัดเลือกสาวงามเป็นเวลาสิบปี ให้จำเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเตือนใจ”
เซียงฉือฟังหรงจิงพูดจบแล้วตอบรับ จากนั้นถามว่า
“แล้วสาวงามที่อยู่ใกล้เคียงเล่าเพคะ”
หรงจิงอึ้งไปก่อนจะยิ้มพูดว่า
“แล้วแต่เจ้าจะจัดการก็แล้วกัน”
เซียงฉือผงกศีรษะแล้วออกไป ความหมายของนางชัดเจน ทั้งสองคนต่างเป็นสตรีจากครอบครัวใหญ่ เซียงฉือมองเห็นแต่ไกล รู้สึกว่าทั้งคู่ล้วนมีโฉมหน้าที่งดงามเกินใคร
ตอนที่ 499 ไข่มุกน่าหลาน? สุกรน่าหลาน?
เซียงฉือเดินเข้าไปใกล้ มองดูสาวงามที่ก่อเรื่องทั้งสอง หญิงสาวทั้งสองคนรู้ว่าตนเองทำเรื่องผิดร้ายแรงจึงถูกขันทีจับตัวไว้ พากันคุกเข่าร้องไห้กระซิก แต่ไม่กล้าหลุดเสียงดัง
เซียงฉือยืนอยู่เบื้องหน้าพวกนาง พิจารณาดูรูปโฉมพวกนาง เมื่อคิดถึงชาติกำเนิดพวกนางแล้วจึงเข้าใจขึ้นอีกหลายส่วน
นกกระสาในฝูงไก่ งามล้ำเหนือใครเป็นเช่นนี้นี่เอง แต่หน้าเสียดายที่คนหนึ่งวู่วามส่วนอีกคนก็อ่อนแอ แต่การเสียโอกาสไปในครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นผลเสียอะไรนัก
“ข้ารับพระราชโองการจากฝ่าบาท พวกเจ้าอยู่ใกล้เบื้องพระพักตร์แต่กระทำกิริยาไม่เหมาะสม มีพระบัญชาให้ขับออกจากวัง ประณามวงศ์ตระกูล ห้ามมิให้เข้าร่วมการคัดเลือกสาวงามเป็นเวลาสิบปี”
หญิงสาวทั้งสองสีหน้าดุจคนตาย รู้ว่าชีวิตในวันหน้าจะต้องน่าเศร้าเพียงใด สายตาเซียงฉือกราดเบาๆ เห็นสาวน้อยด้านข้างอีกสองคนกำลังลอบยิ้ม
นางสะท้านเล็กน้อย ยังเป็นเพียงแค่สาวงามก็เป็นเช่นนี้กันแล้ว ไม่รู้จักการสำรวม หญิงสาวเช่นนี้หากเข้าวังไปรังแต่จะก่อภัยพิบัติจึงพูดว่า
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง พวกที่อยู่รอบๆ สตรีทั้งสองคนนี้ก็ให้ออกจากวังไปด้วยในทันที ไม่อนุญาตให้เข้าร่วมคัดเลือก”
เซียงฉือพูดจบก็จะจากไป สาวงามอีกสองคนที่อยู่ในกลุ่มเมื่อครู่รีบออกมาทันใด
“ทำไมพวกเราจึงเข้าร่วมคัดเลือกไม่ได้ พวกเราไม่ได้ตีกัน ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะขอให้ฝ่าบาททรงวินิจฉัย”
ร่างเซียงฉือที่หันกลับไปแล้วชะงักลง มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้น แล้วเดินทีละก้าวเข้าไปหาหญิงสาวที่พูดเมื่อครู่
แล้วพูดด้วยสายตาเย็นชา
“หากไม่ต้องการให้ใครรู้ก็อย่าทำ คุณหนูทั้งสองทำอะไรไว้ตนเองย่อมรู้ชัดแจ้ง ตอนนี้ข้าดำเนินการตามที่มีพระบัญชาหากทั้งสองคนไม่ยอมรับ ข้าจะนำเรื่องที่ทั้งสองทำทูลต่อฝ่าบาท ขอให้พระองค์ทรงวินิจฉัย”
พอเซียงฉือพูดเช่นนี้ หญิงสาวทั้งสองคอหดลงทันใด ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เซียงฉือมองดูรอบๆ แล้วพูดว่า
“สตรีที่ฝ่ายในควรต้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีคุณธรรมเสมอกันดูแลซึ่งกันและกัน มีคนตีกันในวังแต่กลับไม่มีคนห้ามปราม เห็นได้ว่าจิตใจเย็นชา ไม่เหมาะจะเข้าไปอยู่ในวัง หากแม้ยังมีใครที่ไม่เห็นด้วยอีกสามารถไปฟ้องร้องต่อเบื้องพระพักตร์ได้ ส่วนผลจะลงเอยอย่างไรนั้น คงต้องให้คนในตระกูลของทุกคนร่วมรับไว้ด้วย”
เซียงฉือพูดเช่นนี้ สาวงามที่เดิมยังมีความไม่ยอมรับต่างพากันห่อเ**่ยวไม่กล้าต่อปากต่อคำ ถูกขันทีหรือนางกำนัลนำออกไปจากวัง
เซียงฉือมองดูพวกนางจากไปแล้วจึงถอนใจโล่งอกเตรียมจะกลับไป
แต่แล้วก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งแว่วมาจากในกลุ่ม น้ำเสียงแฝงความเย้ยหยัน
“ท่านนี้ก็คือใต้เท้าอวิ๋นที่อยู่เคียงข้างฝ่าบาทสินะ ช่างน่าเกรงขามเสียจริง”
เซียงฉือมองดูหญิงสาวที่กำลังพูดเบื้องหน้า ใบหน้านางงดงามมีความละม้ายคล้ายจินกุ้ยเฟยอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่านางเป็นใคร แล้วก็ได้ยินเสียวสี่จื่อที่ข้างกายพูดขึ้น
“พี่เซียงฉือ ท่านนี้เป็นผู้น้องจินกุ้ยเฟยชื่อน่าหลานจู ปู่เป็นเจ้าเมืองอวิ๋นโจว เป็นสตรีสูงศักดิ์ตระกูลใหญ่เกริกก้องขอรับ”
เซียงฉือชะงักไปเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นผู้น้องจินกุ้ยเฟย นางจึงหัวเราะเยาะ
น่าหลานจู[1]ดูแล้วกลับคล้ายดั่งน่าหลานจูตัวหนึ่ง เป็นผู้น้องกุ้ยเฟยนี่เอง คงไม่พ้นใช้เส้นสายความสัมพันธ์ อาศัยเพียงความงามแล้วไม่เห็นใครอื่นอยู่ในสายตา ถึงกับกล้าพูดเหน็บแนมออกมาโจ่งแจ้งเช่นนี้
หากเป็นคนฉลาดก็ควรจะอยู่สงบเสงี่ยม ยังไม่ทันได้เข้าวังก็ลำพองขนาดนี้แล้ว คนคนนี้งามน้อยกว่าจินกุ้ยเฟยสามส่วน แต่นิสัยล้ำหน้ากว่าถึงเจ็ดส่วน
เซียงฉือได้ยินนางพูดเช่นนั้นจึงเดินเข้าไปหา
นางมองน่าหลานจูแล้วพูดว่า
“คุณหนูน่าหลานวันนี้แต่งกายงดงามยิ่งนัก ไม่ได้ด้อยไปกว่าจินกุ้ยเฟยผู้เป็นพี่สาวเลย คิดว่าคุณหนูน่าหลานยังอ่อนเยาว์หากได้เข้าวัง จะต้องได้รับการโปรดปรานแต่เพียงผู้เดียวแล้ว”
[1] น่าหลานจู (纳兰珠) น่าหลานเป็นแซ่ จูเป็นชื่อ แปลว่าไข่มุก อักษรตัว珠 พ้องเสียงกับอักษร 猪 ที่แปลว่าสุกร เซียงฉือจึงล้อเลียนอยู่ในใจ