บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 498 สาวงามก่อวิวาท / ตอนที่ 499 ไข่มุกน่าหลาน? สุกรน่าหลาน?

ตอนที่ 498 สาวงามก่อวิวาท

 

 

หรงจิงใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องการชิงดีชิงเด่นของซูเฟยกับกุ้ยเฟย พวกนางต่างถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งมีเขาเป็นตัวผสมโรงเสมอมา เขาจึงไม่ได้รู้สึกต่อต้านมากนัก

 

 

เขาหันกลับไปมองกุ้ยเฟยกับซูเฟย แล้วถามขึ้น

 

 

“พระสนมทั้งสอง เจ้าคิดอย่างไร”

 

 

ซูเฟยลอบกัดฟัน แต่นางรู้ว่าหรงจิงไม่ชอบถูกใครขัด ครั้งนี้ยอมถอยให้เช่นนี้นับว่าหาได้ยากแล้ว ซูเฟยที่คล้อยตามเขาเสมอมาจึงตอบรับอย่างเชื่อฟัง

 

 

“ฝ่าบาทรับสั่งเช่นไรหม่อมฉันล้วนเห็นด้วยเสมอมา หม่อมฉันเบาปัญญาเพียงคิดว่าจารีตที่บรรพชนทรงบัญญัติสามารถถือเป็นแบบฉบันมาได้นั้นย่อมต้องมีเหตุผล แต่ก็อย่างที่น้องเซียงฉือกราบทูลเพคะ ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม ย่อมต้องมีการริเริ่มสิ่งใหม่ ซึ่งหม่อมฉันย่อมสนับสนุนเพคะ”

 

 

กุ้ยเฟยเมื่อเห็นซูเฟยชิงตัดหน้าเช่นนั้น ถึงจะกัดฟันกรอดไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็เพียงพูดว่า

 

 

“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่แต่แรกแล้วว่าฝ่าบาทรับสั่งเช่นใดก็ให้ปฏิบัติเช่นนั้น เพียงแต่ใจคิดสงสารเหล่าสาวงามที่ดั้นด้นเดินทางมาไกลเพียงเพราะต้องการชื่นชมพระบารมี จึงรู้สึกเสียดายแทนพวกนางตอนนี้เมื่อใต้เท้าอวิ๋นมีวิธีที่ดีเช่นนี้ จึงเห็นด้วยเพคะ”

 

 

หรงจิงผงกศีรษะแล้วพูดกับเซียงฉือ

 

 

“ทำตามวิธีเจ้า ไปจัดการได้แล้ว”

 

 

เซียงฉือน้อมกายทำความเคารพแล้วรีบออกไป ส่วนเจ้านายทั้งสี่ก็ไปเสวยพระกระยาหาร เซียงฉือเรียกผู้รับผิดชอบงานจากทุกกองแล้วบอกเรื่องพระประสงค์ของฮ่องเต้ ถึงจะฉุกละหุก แต่คนเหล่านั้นไม่มีใครที่ไม่ปราดเปรื่อง จึงสามารถนำวิธีการของเซียงฉือไปดำเนินการต่อได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ไล่เรียงตามลำดับในสมุดรายชื่อ ให้หญิงสาวทุกคนเดินผ่านเบื้องพระพักตร์แล้วทำความเคารพ จากนั้นให้เดินผ่านไปหากหรงจิงเห็นว่าคนไหนใช้ได้ก็จะผงกศีรษะ หากไม่ผงกศีรษะก็หมายความว่าไม่เป็นที่ต้องประสงค์

 

 

เมื่อทำเช่นนี้จึงดำเนินการไปได้รวดเร็วขึ้นมาก พระสนมทั้งหลายก็ดูอยู่ข้างๆ เช่นกัน ถามคำถามอะไรบ้าง และหากพอใจก็จะเหลือไว้ในสมุดรายชื่อตน

 

 

เซียงฉือเห็นเรื่องดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเช่นนั้นก็ยินดียิ่ง

 

 

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นที่ด้านนอกตำหนักเชียนสี่ เสียงนั้นบาดหูนัก หรงจิงส่งสายตาให้เซียงฉือ นางผงกศีรษะแล้วออกไป เพียงออกพ้นประตู

 

 

“ทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำไมอึกทึกเช่นนี้ รีบไปดูทันที อย่าให้พวกนางทำลายความสำราญของฝ่าบาท”

 

 

เซียงฉือชี้ตรงที่ห่างออกไป จึงมีขันทีคนหนึ่งรีบวิ่งไปและกลับมาในเวลาชั่วครู่

 

 

“เรียนใต้เท้า สาวงามสองคนทะเลาะกันอยู่ในอุทยานหลวงขอรับ ข้าน้อยได้ยินเพียงคร่าวๆ ดูเหมือนจะเกิดการผลักไสกันขณะกำลังเดินของคุณหนูบ้านสกุลน่าหลานแห่งอวิ๋นโจวกับธิดาท่านข้าหลวงพิเศษบ้านสกุลซุนที่เอี้ยนโจวถึงขั้นลงไม้ลงมือกันขอรับ”

 

 

“เพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงได้ยิน ข้าน้อยจึงให้คนปิดปากทั้งสองคนแล้วนำไปที่ด้านหนึ่ง ไม่ทราบจะให้ทำอย่างไรต่อขอรับ”

 

 

ดวงตาเซียงฉือเย็นลงแล้วพูดว่า

 

 

“พวกเจ้าทำได้ดี ฮ่องเต้กำลังทรงคัดเลือกสาวงาม ถึงแม้หน้าตาและวงศ์ตระกูลจะสำคัญ แต่จริยธรรมคุณธรรมยังควรต้องมาก่อน เจ้าไปดูพวกนางไว้ อย่าให้พวกนางก่อกวนความเรียบร้อยจนเป็นเรื่องขึ้นอีก ข้าจะไปทูลขอคำแนะนำจากฝ่าบาทแล้วจะกลับมาตัดสิน”

 

 

เซียงฉือเดินรวดเร็วเข้าไปข้างในแล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นข้างหูฮ่องเต้

 

 

หรงจิงวางพู่กันลง

 

 

“บ้านสกุลน่าหลานจากอวิ๋นโจวกับบ้านสกุลซุนจากเอี้ยนโจวล้วนเป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก ขับนางทั้งสองออกไปแล้วให้มีพระราชโองการไปถึงสองบ้าน ตำหนิที่อบรมบุตรสาวบกพร่อง เสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ ห้ามมิให้ทั้งสองตระกูลเข้าร่วมคัดเลือกสาวงามเป็นเวลาสิบปี ให้จำเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเตือนใจ”

 

 

เซียงฉือฟังหรงจิงพูดจบแล้วตอบรับ จากนั้นถามว่า

 

 

“แล้วสาวงามที่อยู่ใกล้เคียงเล่าเพคะ”

 

 

หรงจิงอึ้งไปก่อนจะยิ้มพูดว่า

 

 

“แล้วแต่เจ้าจะจัดการก็แล้วกัน”

 

 

เซียงฉือผงกศีรษะแล้วออกไป ความหมายของนางชัดเจน ทั้งสองคนต่างเป็นสตรีจากครอบครัวใหญ่ เซียงฉือมองเห็นแต่ไกล รู้สึกว่าทั้งคู่ล้วนมีโฉมหน้าที่งดงามเกินใคร

 

 

 

 

ตอนที่ 499 ไข่มุกน่าหลาน? สุกรน่าหลาน?

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปใกล้ มองดูสาวงามที่ก่อเรื่องทั้งสอง หญิงสาวทั้งสองคนรู้ว่าตนเองทำเรื่องผิดร้ายแรงจึงถูกขันทีจับตัวไว้ พากันคุกเข่าร้องไห้กระซิก แต่ไม่กล้าหลุดเสียงดัง

 

 

 เซียงฉือยืนอยู่เบื้องหน้าพวกนาง พิจารณาดูรูปโฉมพวกนาง เมื่อคิดถึงชาติกำเนิดพวกนางแล้วจึงเข้าใจขึ้นอีกหลายส่วน

 

 

นกกระสาในฝูงไก่ งามล้ำเหนือใครเป็นเช่นนี้นี่เอง แต่หน้าเสียดายที่คนหนึ่งวู่วามส่วนอีกคนก็อ่อนแอ แต่การเสียโอกาสไปในครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นผลเสียอะไรนัก

 

 

“ข้ารับพระราชโองการจากฝ่าบาท พวกเจ้าอยู่ใกล้เบื้องพระพักตร์แต่กระทำกิริยาไม่เหมาะสม มีพระบัญชาให้ขับออกจากวัง ประณามวงศ์ตระกูล ห้ามมิให้เข้าร่วมการคัดเลือกสาวงามเป็นเวลาสิบปี”

 

 

หญิงสาวทั้งสองสีหน้าดุจคนตาย รู้ว่าชีวิตในวันหน้าจะต้องน่าเศร้าเพียงใด สายตาเซียงฉือกราดเบาๆ เห็นสาวน้อยด้านข้างอีกสองคนกำลังลอบยิ้ม

 

 

นางสะท้านเล็กน้อย ยังเป็นเพียงแค่สาวงามก็เป็นเช่นนี้กันแล้ว ไม่รู้จักการสำรวม หญิงสาวเช่นนี้หากเข้าวังไปรังแต่จะก่อภัยพิบัติจึงพูดว่า

 

 

“ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง พวกที่อยู่รอบๆ สตรีทั้งสองคนนี้ก็ให้ออกจากวังไปด้วยในทันที ไม่อนุญาตให้เข้าร่วมคัดเลือก”

 

 

เซียงฉือพูดจบก็จะจากไป สาวงามอีกสองคนที่อยู่ในกลุ่มเมื่อครู่รีบออกมาทันใด

 

 

“ทำไมพวกเราจึงเข้าร่วมคัดเลือกไม่ได้ พวกเราไม่ได้ตีกัน ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะขอให้ฝ่าบาททรงวินิจฉัย”

 

 

ร่างเซียงฉือที่หันกลับไปแล้วชะงักลง มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้น แล้วเดินทีละก้าวเข้าไปหาหญิงสาวที่พูดเมื่อครู่ 

 

 

แล้วพูดด้วยสายตาเย็นชา 

 

 

“หากไม่ต้องการให้ใครรู้ก็อย่าทำ คุณหนูทั้งสองทำอะไรไว้ตนเองย่อมรู้ชัดแจ้ง ตอนนี้ข้าดำเนินการตามที่มีพระบัญชาหากทั้งสองคนไม่ยอมรับ ข้าจะนำเรื่องที่ทั้งสองทำทูลต่อฝ่าบาท ขอให้พระองค์ทรงวินิจฉัย”

 

 

พอเซียงฉือพูดเช่นนี้ หญิงสาวทั้งสองคอหดลงทันใด ไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

เซียงฉือมองดูรอบๆ แล้วพูดว่า

 

 

“สตรีที่ฝ่ายในควรต้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีคุณธรรมเสมอกันดูแลซึ่งกันและกัน มีคนตีกันในวังแต่กลับไม่มีคนห้ามปราม เห็นได้ว่าจิตใจเย็นชา ไม่เหมาะจะเข้าไปอยู่ในวัง หากแม้ยังมีใครที่ไม่เห็นด้วยอีกสามารถไปฟ้องร้องต่อเบื้องพระพักตร์ได้ ส่วนผลจะลงเอยอย่างไรนั้น คงต้องให้คนในตระกูลของทุกคนร่วมรับไว้ด้วย”

 

 

เซียงฉือพูดเช่นนี้ สาวงามที่เดิมยังมีความไม่ยอมรับต่างพากันห่อเ**่ยวไม่กล้าต่อปากต่อคำ ถูกขันทีหรือนางกำนัลนำออกไปจากวัง

 

 

เซียงฉือมองดูพวกนางจากไปแล้วจึงถอนใจโล่งอกเตรียมจะกลับไป

 

 

แต่แล้วก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งแว่วมาจากในกลุ่ม น้ำเสียงแฝงความเย้ยหยัน

 

 

“ท่านนี้ก็คือใต้เท้าอวิ๋นที่อยู่เคียงข้างฝ่าบาทสินะ ช่างน่าเกรงขามเสียจริง”

 

 

เซียงฉือมองดูหญิงสาวที่กำลังพูดเบื้องหน้า ใบหน้านางงดงามมีความละม้ายคล้ายจินกุ้ยเฟยอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่านางเป็นใคร แล้วก็ได้ยินเสียวสี่จื่อที่ข้างกายพูดขึ้น

 

 

“พี่เซียงฉือ ท่านนี้เป็นผู้น้องจินกุ้ยเฟยชื่อน่าหลานจู ปู่เป็นเจ้าเมืองอวิ๋นโจว เป็นสตรีสูงศักดิ์ตระกูลใหญ่เกริกก้องขอรับ”

 

 

เซียงฉือชะงักไปเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นผู้น้องจินกุ้ยเฟย นางจึงหัวเราะเยาะ

 

 

น่าหลานจู[1]ดูแล้วกลับคล้ายดั่งน่าหลานจูตัวหนึ่ง เป็นผู้น้องกุ้ยเฟยนี่เอง คงไม่พ้นใช้เส้นสายความสัมพันธ์ อาศัยเพียงความงามแล้วไม่เห็นใครอื่นอยู่ในสายตา ถึงกับกล้าพูดเหน็บแนมออกมาโจ่งแจ้งเช่นนี้

 

 

หากเป็นคนฉลาดก็ควรจะอยู่สงบเสงี่ยม ยังไม่ทันได้เข้าวังก็ลำพองขนาดนี้แล้ว คนคนนี้งามน้อยกว่าจินกุ้ยเฟยสามส่วน แต่นิสัยล้ำหน้ากว่าถึงเจ็ดส่วน

 

 

เซียงฉือได้ยินนางพูดเช่นนั้นจึงเดินเข้าไปหา

 

 

นางมองน่าหลานจูแล้วพูดว่า

 

 

“คุณหนูน่าหลานวันนี้แต่งกายงดงามยิ่งนัก ไม่ได้ด้อยไปกว่าจินกุ้ยเฟยผู้เป็นพี่สาวเลย คิดว่าคุณหนูน่าหลานยังอ่อนเยาว์หากได้เข้าวัง จะต้องได้รับการโปรดปรานแต่เพียงผู้เดียวแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]  น่าหลานจู  (纳兰珠)  น่าหลานเป็นแซ่ จูเป็นชื่อ แปลว่าไข่มุก อักษรตัว珠 พ้องเสียงกับอักษร 猪 ที่แปลว่าสุกร เซียงฉือจึงล้อเลียนอยู่ในใจ

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset