ตอนที่ 518 ตรวจสอบ
หลิวหมิงหลิ่วเจอคำพูดเช่นนี้ของหรงจิงเข้าก็ไม่รู้ว่าควรแสดงออกอย่างไรต่อไป ได้แต่ถอนใจพูดว่า
“กระหม่อมทั้งสี่คิดกันว่า ในเมื่อพิษแมลงพิษมีประโยชน์ช่วยควบคุมได้เช่นนี้ จึงควรปล่อยพิษแมลงพิษนี้ไว้ก่อน แล้วตรวจสอบเครื่องใช้ของใต้เท้าอวิ๋นเพื่อค้นหาต้นตอของยาพิษเรื้อรัง พวกกระหม่อมจึงจะสามารถรักษาได้ถูกทางพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงแทบจะฝืนสีหน้าไว้ไม่ได้ เขาไว้ใจหลิวหมิงหลิ่ว แต่การที่มีพิษถึงสองตัวอยู่ภายในร่างกายเช่นนี้ อย่างไรก็รู้สึกอึดอัดใจ แต่พวกหลิวหมิงหลิ่วทั้งสี่คนต่างพูดเช่นนี้ หรงจิงจึงได้แต่สะบัดมือ
พวกเขาทั้งสี่ปรึกษาได้ตัวยามาขนานหนึ่ง เพื่อใช้ขับพิษเรื้อรังในร่างเซียงฉือออกมาช้าๆ เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว แต่ว่าจำเป็นต้องหาให้ได้ว่าเซียงฉือรับพิษเข้าไปด้วยวิธีใด ซึ่งเป็นความยากของความยากมากมายหลายชั้น
“ฝ่าบาท โปรดทรงรับสั่งให้พวกกระหม่อมนำของใช้พวกนี้ไปตรวจสอบเถิดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนคนที่เกี่ยวข้องก็ให้ทางกองคดีตรวจสอบให้ละเอียด มิเช่นนั้นหากปล่อยให้เนิ่นนานไป เกรงว่าใต้เท้าอวิ๋นจะทนต่อไปได้ไม่นานพิษก็จะกำเริบขึ้นอีกพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงฟังแล้วตกใจ มือใหญ่สะบัดขึ้นพูดว่า
“เรียกสวี่อี้เข้าเฝ้า”
หรงจิงกวาดตามองหมอหลวงทั้งสามพูดว่า
“หมอหลวงทั้งสามเมื่อเปิดใบสั่งยาแล้วก็กลับไปได้ เรื่องตรวจสอบต้นตอของพิษข้าจะส่งคนอื่นไปทำ ทั้งสามท่านรีบเร่งค้นหาวิธีขจัดพิษให้ได้โดยเร็วด้วย”
หลิวหมิงหลิ่วกับหมอหลวงอีกสองคนทำความเคารพแล้วออกไป
ซู่เวิ่นมองดูแต่ไม่ได้ขยับ สายตาหรงจิงจับจ้องมายังนางอย่างรวดเร็ว
“ผลงานครั้งก่อนของเจ้าไม่เลวเลย ครั้งนี้ให้เจ้ากับสวี่อี้ร่วมกันตรวจสอบเรื่องนี้ หาต้นตอของพิษออกมา ครั้งนี้ขอเพียงหาหลักฐานออกมาได้ ข้าจะไม่ละเว้นพวกนั้นเด็ดขาด จำไว้ ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม”
ซู่เวิ่นทำตามประเพณีอย่างเคร่งครัด ตอบว่า
“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”
หรงจิงยังมีงานต้องจัดการอีกมากจึงไม่อยู่รอสวี่อี้ เขามอบหมายงานนี้ให้ซู่เวิ่นแล้วออกไปจากตำหนักเจิ้งหยาง เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง เซียงซวินก็เดินเข้ามาอย่างเงียบกริบ
“นายท่าน เซียงซวินทำงานไร้ความสามารถ ขอนายท่านลงโทษด้วยเถิด”
หรงจิงสะบัดมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ แล้วพูดว่า
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าอยู่แล้ว เรื่องนี้นอกจากวั่นกวงแล้วยังมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง คืนนี้นำตัววั่นกวงไปวังบาดาลข้าจะสอบสวนเขาเอง แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนเก่าคนแก่คนสนิทของเสด็จแม่ จะต้องเห็นแก่เสด็จแม่ด้วย”
เซียงซวินฟังแล้วก็รับปาก หรงจิงจึงพูดต่อ
“เรื่องนี้ข้ามอบหมายให้สวี่อี้กับซู่เวิ่น สวี่อี้ข้าได้ตรวจสอบชัดแจ้งแล้ว พวกเจ้าจะต้องตรวจสอบซู่เวิ่นให้แจ่มชัดด้วยหากสะอาดบริสุทธิ์ ข้าก็จะได้ใช้งานนางได้”
เซียงซวินผงกศีรษะ นางจดจำไว้แล้ว หรงจิงพูดจบเพียงสะบัดมือนางก็หายไปจากที่เดิมในทันที นอกจากซูกงกงก็ไม่มีใครอื่นอีกเลยที่จะเห็นเซียงซวินมาที่นี่
หรงจิงหยุดอยู่ชั่วครู่ มองดูนกกระจอกที่บินอยู่เบื้องบน
“ซูกงกง ในวังนี้ช่างยุ่งเสียเหลือเกิน ข้าสมควรจะแต่งฮองเฮาที่เก่งกาจสักคนแล้วใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นมีเรื่องให้ต้องวุ่นวายใจมากมายยิ่งนัก”
หรงจิงพูดเช่นนี้ ซูกงกงไม่กล้าตอบรับ เพียงพูดว่า
“ตำแหน่งฮองเฮายังว่างอยู่ย่อมต้องเป็นที่ครหาของผู้คน แต่โบราณมาบุรุษจะจัดการงานภายนอก สตรีจัดการงานภายใน ฝ่าบาทควรอภิเษกฮองเฮาพระองค์หนึ่ง เพื่อปรนนิบัติฝ่าบาทนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูกงกงพูดเช่นนี้แล้วก็เดินตามหรงจิงไป
อุทยานหลวงในฤดูใบไม้ร่วงดูโรยรา อีกไม่กี่วันหากหิมะตก เป็นไปได้ที่หรงจิงจะไปหลบหนาวยังตำหนักเฉิงเอินที่หลานโจว เมื่อไปอยู่ที่ตำหนักเฉิงเอิน จะทำให้ยากแก่การตรวจสอบเรื่องนี้ ดังนั้นหรงจิงจึงสั่งให้จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
ระยะนี้งานที่สวี่อี้ต้องทำมีมากมายจริงๆ เมื่อได้รับราชโองการก็ต้องรีบวิ่งมา พอเห็นซู่เวิ่นยืนนิ่งอยู่ในตำหนักก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าประหลาด และพอได้ฟังซู่เวิ่นถ่ายทอดเรื่องราว โทสะก็ทะลักขึ้นมา
ตอนที่ 519 หยอกล้อ
ตอนเซียงฉือตื่นขึ้นมาเป็นเวลาเที่ยงแล้ว ฤทธิ์ยาเพิ่งจะหมด พอลืมตาที่ลางเลือนขึ้นก็เห็นสวี่อี้นั่งอยู่ข้างเตียงกำลังมองนางอยู่ ใบหน้าผุดรอยยิ้ม
“สวี่อี้ เจ้ามาได้อย่างไร”
เซียงฉือเหมือนได้นอนกลางวันตื่นหนึ่งจึงไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่ภายในห้องดูยุ่งเหยิง ซู่เวิ่นกำลังพลิกหาไปทีละอย่างๆเซียงฉือลุกขึ้น สวี่อี้จึงยัดหมอนหมอนใบหนึ่งรองให้นางแล้วถามว่า
“เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างไหม”
สวี่อี้ดูเคร่งขรึม เซียงฉือไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ก็ส่ายหน้า
“ไม่ได้ไม่สบายที่ตรงไหนเลย ทำไมล่ะ ทำไมพวกเจ้าถึงดูจริงจังกันแบบนี้”
เซียงฉือเห็นคนขวักไขว่ไปมาในห้อง ต่างใช้เข็มเงินจับโน่นพลิกนี่ตรวจสอบทีละอย่างอยู่ในห้องของนาง จึงรู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องยาพิษ
“เจ้าถูกพิษแล้วเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ในตัวเจ้ามีพิษเรื้อรังอยู่ ซู่เวิ่นเพิ่งจะฝังเข็มให้ก็พบว่าเจ้ารับพิษมาได้เจ็ดวันแล้วหากไม่ใช่เพราะมีคนวางยาพิษจากแมลงเจ้า เจ้าคงตายไปนานแล้ว”
“ปกติคอยบอกให้เจ้าดูแลตัวเองให้ดีเจ้าก็เอาแต่ทำเป็นไม่เห็นสำคัญ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะปาฏิหาริย์สุสานบรรพชนเจ้า สวรรค์คงมาเอาตัวเจ้ากลับไปแล้ว”
สวี่อี้อารมณ์ไม่ค่อยดี เซียงฉือฟังแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนค่อยๆ ผ่อนออกมา
“อยู่หรือตายตามแต่ฟ้าลิขิต อยู่ในวังเช่นนี้ใครจะรู้ว่าจะอยู่ถึงเมื่อไร ข้าเองไม่พะวง แต่กลับทำให้ท่านพี่ต้องเป็นห่วงเป็นความผิดของข้าแท้ๆ”
เห็นเซียงฉือเป็นแบบนี้ สวี่อี้จึงว่าอย่างโกรธๆ
“ตอนที่ทั้งครอบครัวเจ้าถูกจองจำยังเห็นมีความหวังอยู่ แล้วตอนนี้เป็นอะไรไป หรือว่ายาพิษแล่นเข้าสมองเจ้าไปแล้วทำให้เจ้าเปลี่ยนไปถึงกับพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ ข้าจะบอกใต้เท้าซู่เวิ่นฝังเข็มเจ็บๆ บนหัวเจ้าสักหลายๆ เข็ม ดูซิว่าเจ้ายังจะพูดจาเหลวไหลอีกหรือไม่”
เซียงฉือยิ้มแล้วพิงซบไหล่สวี่อี้พูดขึ้นว่า
“สวี่อี้ มีเจ้าดีจริงๆ ..”
สวี่อี้ฮึ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ขยับ ปล่อยให้นางซบอยู่แบบนั้น แล้วพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก
“เจ้านี่นะ ดีตรงฝีปากนี่แหละ ขยันหลอกล่อให้ข้าพะวักพะวงแทนเจ้าแต่จะสำนึกบ้างหรือไม่ เอาเถอะๆ เจ้าบำรุงร่างกายให้ดีก็แล้วกัน เรื่องนี้ฝ่าบาททรงใส่พระทัยและมอบหมายให้ข้ากับซู่เวิ่นทั้งหมด จะไม่ทำให้เจ้าต้องได้รับความอยุติธรรมก็แล้วกัน”
เซียงฉือพยักหน้า มองดูโคมไฟบนหน้าต่างจนใจลอย นางไม่ได้มีสิ่งของมากมายอยู่ในวังนี้ นอกจากบางครั้งที่หรงจิงจะมอบเครื่องประดับให้นางบ้าง นอกจากนั้นก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรติดตัวอีก
ทุกเดือนเมื่อได้รับเงินเดือนก็จะส่งไปช่วยเหลือเป็นค่าใช้จ่ายให้ทางบ้าน ท่านพ่อกับน้องชายคงต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้น ได้แต่เพียงช่วยดูแลเล็กน้อยเท่านี้ เพื่อแสดงถึงความรู้สึกในใจของนาง
ซู่เวิ่นเดินไปรอบหนึ่งแล้วกลับมา เมื่อเห็นเซียงฉือตื่นแล้วจึงยื่นมือไปจับชีพจรนาง พูดว่า
“หลายวันนี้ข้าได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้คอยดูแลเจ้าตลอดเวลา เพื่อความสะดวกข้าจึงย้ายมาอยู่กับเจ้าครึ่งเดือน เจ้าอย่าเบื่อข้าเสียก่อนล่ะ”
ซู่เวิ่นวางผ้าเช็ดหน้าเก็บเข้ากล่องยา เซียงฉือเห็นแล้วก็งงงัน ซู่เวิ่นมาตรวจชีพจรให้นางไม่เคยใช้ผ้าเช็ดหน้ามาก่อนเลย จึงถามขึ้น
“หรือว่าโรคของข้าจะติดต่อได้ เหตุใดใต้เท้าซู่เวิ่นถึงต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าเล่า”
เซียงฉือเพียงคิดจะหยอกล้อนาง แต่ซู่เวิ่นกลับพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ให้ใช้วิธีเฉกเช่นเดียวกับพระชายาในการตรวจชีพจรเซียงฉือ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเช่นนี้ ข้าจะไม่เชื่อฟังได้อย่างไร”
ซูเวิ่นพูดเช่นนั้น สวี่อี้ถึงกับหัวเราะพรืดออกมา แต่เซียงฉือใบหน้าแดงซ่านด้วยความอาย ไม่กล้าพบหน้าใคร นางผลักซู่เวิ่น พูดว่า
“ท่านพี่ก็ล้อคนเก่งนักเชียว ฝ่าบาทไม่มีทางรับสั่งเช่นนี้หรอก”
แล้วนางก็หันกายกลับไป ไม่สนใจทั้งสองคนอีก