บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 542 หรงจิงพิโรธ / ตอนที่ 543 เสียวสี่จื่อได้เลื่อนย้าย

ตอนที่ 542 หรงจิงพิโรธ  

 

 

ในขณะที่เซียงฉือยังลังเลไม่รู้จะตอบอย่างไรอยู่นั้น หรงจิงที่นิ่งฟังมาตลอดจึงพูดขึ้น  

 

 

“ชายาทั้งสอง พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าได้ร่วมเตียงกับอวิ๋นเซียงฉือ”  

 

 

หรงจิงพูดช้าๆ เนิบๆ เหมือนไม่รู้สึกไม่พอใจสักเท่าใด จินกุ้ยเฟยกับซูเฟยมองตากันอย่างรู้แก่ใจ ที่พวกนางมาในวันนี้ย่อมต้องได้ข่าวมาแล้วล่วงหน้าจึงกล้ามาสอบถาม  

 

 

พวกนางมาก็เพราะเรื่องลำดับขั้นของเซียงฉือ เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นที่เก้า หากสถาปนาเป็นฉังไจ้ก็นับเป็นพระกรุณาล้นพ้นแล้ว แต่พวกฝ่ายในทั้งหลายล้วนรู้ดีอยู่แล้วว่าหรงจิงโปรดปรานเซียงฉือมาตลอด ซูเฟยจึงได้เอ่ยถึงขั้นกุ้ยเหรินขึ้นมา  

 

 

ตอนที่จินกุ้ยเฟยรู้เรื่องนี้นางโกรธเป็นอย่างยิ่ง แต่หวังโมโมได้เสนอความคิดขึ้นมาว่าให้นางจัดการให้เซียงฉือเข้ามาอยู่ในตำหนักอวี้หยวนของนางให้ได้ ถึงเวลานั้นก็จะทรมานนางได้ตามอำเภอใจมิใช่หรือ  

 

 

จินกุ้ยเฟยอ่านความรู้สึกหรงจิงไม่ออก นางยิ้มเดินอ้อมรอบหนึ่งไปนั่งลงข้างกายหรงจิง แล้วพูดอย่างออดอ้อนว่า  

 

 

“หากว่าบาททรงโปรดปรานน้องหญิงก็ทรงสถาปนานางเป็นกุ้ยเหรินเถิดเพคะ แล้วให้ไปอยู่ในตำหนักหม่อมฉันหม่อมฉันจะช่วยฝ่าบาทดูแลน้องหญิงอย่างดีแน่นอนเพคะ”  

 

 

เซียงฉือคุกเข่าอยู่บนพื้นหน้าขาวซีด กลัวสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้นจริงๆ ถ้าหากนางไปอยู่ตำหนักอวี้หยวนของจินกุ้ยเฟย จะมิถูกนางรังแกตามสบายหรอกหรือ  

 

 

นางกังวลใจจริงๆ จึงเงยหน้าขึ้นดูสีหน้าหรงจิง  

 

 

หรงจิงกวาดตามองซูเฟยและยังคงถามต่อ  

 

 

“ซูเฟยรู้ข่าวได้อย่างไร”  

 

 

ซูเฟยได้ยินแล้วก็ยิ้ม นางไปยืนอยู่ด้านหลังหรงจิง โน้มอยู่บนตัวหรงหรงจิงแล้วพูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาททรงให้หม่อมฉันดูแลฝ่ายในมิใช่หรือเพคะ พอหม่อมฉันได้ทราบข่าวฝ่าบาททรงร่วมบรรทมกับน้องแล้ว และด้วยความที่หม่อมฉันรู้สึกถูกชะตากับน้องเซียงฉือมาโดยตลอด จึงได้มาขอพระกรุณาให้นาง เพื่อไม่ให้นางได้รับความไม่ยุติธรรม ฝ่าบาทอย่างไรก็ควรพระราชทานฐานะแก่นางนะเพคะ”  

 

 

หรงจิงฟังคำพูดนี้แล้วสีหน้ายังพอเหลือความอบอุ่นอยู่บ้าง แต่มองจินกุ้ยเฟยด้วยสายตาเย็นชา  

 

 

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเซียงฉือกับชายาทั้งสองจะสนิทสนมกันเช่นนี้ ถึงกับพากันมาขอความกรุณาแก่นาง”  

 

 

หรงจิงมองเซียงฉือบนพื้น เขารู้ดีแก่ใจว่าจินกุ้ยเฟยมาเพื่อจะแย่งคน ส่วนซูเฟยถึงจะพูดจาน่าฟัง แต่นิสัยนางก็เหมือนกันไม่แตกต่างแม้แต่น้อย  

 

 

เห็นเซียงฉือแล้วก็ยิ่งเข้าใจเหตุผลที่นางไม่ต้องการเข้าฝ่ายใน หรงจิงเงยหน้ามองสองคนที่ข้างกายแล้วพูดอย่างจริงจังว่า  

 

 

“จินกุ้ยเฟยถูกข้าเพิกถอนอำนาจดูแลฝ่ายในไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปได้ยินเรื่องนี้มากจากที่ใดอีก ไหนลองบอกให้ข้าฟังสักหน่อยว่าเรื่องข้างตัวข้า ตกไปถึงหูพวกเจ้าได้อย่างไรกัน”  

 

 

เซียงฉือได้ยินก็สะท้าน เรื่องใกล้ตัวของหรงจิงสำหรับฝ่ายในควรถือเป็นความลับสุดยอด แม้แต่เรื่องการรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาก็ยังต้องมีคนจัดการเป็นพิเศษ จะไม่มีการเล็ดลอดออกไปอย่างเด็ดขาด และโดยเฉพาะเรื่องการมีสัมพันธ์กับหญิงสาวซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้  

 

 

การสอดแนมความลับของฮ่องเต้ ตามกฎของวังหลวง ไม่ว่าจะเป็นสนมชายาหรือนางกำนัล จะถูกดำเนินการข้อหากบฏเช่นเดียวกัน  

 

 

กุ้ยเฟยรู้ความร้ายแรงของเรื่องนี้ดีตกใจจนต้องคุกเข่า หรงจิงไม่ค่อยมักโกรธ แต่เมื่อใดที่น้ำเสียงของเขาเย็นเยือกขึ้นก็จะทำให้ผู้อื่นไม่อาจระงับความหวาดกลัวได้  

 

 

“หม่อมฉัน หม่อมฉันได้ฟังมาจากน้องซูเฟยพูดเพคะ…”  

 

 

น้ำเสียงจินกุ้ยเฟยเริ่มสั่นแต่ก็ได้ปัดเรื่องเลวร้ายไปให้ซูเฟยแล้ว หรงจิงจึงมองซูเฟย นางจึงคุกเข่าลงทำความเคารพ  

 

 

“ฝ่าบาท เรื่องนี้ใช่ว่าหม่อมฉันจะจงใจพูดขึ้น แต่เป็นเพราะตอนที่หม่อมฉันเปิดดูบันทึกเสน่หาของฝ่าบาทแล้วเห็นบันทึกไว้เช่นนั้น ซึ่งพี่หญิงกุ้ยเฟยก็อยู่ด้วย ดังนั้น…”  

 

 

หรงจิงหน้าตึง เคร่งขรึมขึ้นมา  

 

 

“บันทึกเสน่หา ซูเฟย มีเพียงฮองเฮากับไทเฮาเท่านั้นที่มีสิทธิ์เปิดอ่าน ใครให้อำนาจและโอกาสกับเจ้า”  

 

 

เมื่อถูกหรงจิงถามเช่นนั้น ซูเฟยก็คืบคลานอยู่ที่พื้นก็พูดขึ้นอย่างรู้สึกตึงเครียด  

 

 

“ฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วยเพคะ หม่อมฉันดูแลฝ่ายในตามพระบัญชาจึงคิดว่าตนเองสามารถตรวจสอบได้ ไม่รู้ว่านี่จะเป็นการละเมิดกฎระเบียบ ฝ่าบาททรงอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 543 เสียวสี่จื่อได้เลื่อนย้าย  

 

 

ซูเฟยหลั่งน้ำตา หรงจิงรู้สึกสงสารจึงยกมือให้นางขึ้นมา  

 

 

ซูเฟยกับกุ้ยเฟยจึงได้ลุกขึ้นแต่ก็ขยาดต่อหรงจิงจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก  

 

 

หรงจิงมองเซียงฉือที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว สายตายิ่งบังเกิดความไม่ชอบใจ  

 

 

แล้วเจ้าจะคุกเข่าไปทำไม ลุกขึ้นมาพูดจา”  

 

 

เซียงฉือได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นยืน นางเงยหน้าน้อยๆ มองดูสีหน้าหรงจิง หรงจิงคลึงพวงไข่มุกในมือแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง  

 

 

“หมัวหมัวล่ะ”  

 

 

จู่ๆ เขาพูดขึ้นเช่นนี้ ซูกงกงจึงรีบออกไปทันที คนที่สามารถถูกหรงจิงเรียกเช่นนี้ มีเพียงหงซีกูกูคนเดียวเท่านั้น  

 

 

เซียงฉือสบตากับหงซีกูกู นางเดินเข้าไปแล้วก็ทำความเคารพ  

 

 

“หม่อมฉันหงซีถวายบังคมฝ่าบาทและพระชายาเพคะ”  

 

 

หงซีทำความเคารพผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายแล้วก็ยืนนิ่ง หรงจิงมองไปยังนางแล้วถามว่า  

 

 

“บันทึกเสน่หาของข้าใครเป็นคนบันทึกและดูแล”  

 

 

หงซีฟังคำถามหรงจิงแล้วก็ตอบอย่างไม่ตื่นเต้นและไม่อืดอาด  

 

 

“เหอกงกงเป็นคนบันทึก ส่วนหลี่กงกงเป็นคนเก็บดูแล ทั้งคู่ต่างเป็นคนเก่าคนแก่ในวังเพคะ”  

 

 

หรงจิงได้ยินแล้วผงกศีรษะ คิ้วขมวดน้อยๆ กงซีกูกูจึงพูดต่อว่า  

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ ทั้งหลี่กงกงและเหอกงกงต่างอายุไม่น้อยแล้ว ถ้าหากทำงานสะเพร่าไปบ้าง ขอให้ฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่ทั้งคู่เข้าทำงานในกองพระตำหนักมาตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ ยามปกติก็ทำงานอย่างไว้ใจได้ ทรงไว้ชีวิตพวกเขาด้วยเถิดเพคะ”  

 

 

หรงจิงฟังแล้วก็พยักหน้าพูดว่า  

 

 

“อายุมากแม้จะทำงานมีประสบการณ์แต่อย่างไรกำลังวังชาก็ไม่เพียงพอ ให้พวกเขาเกษียณออกจากวังไปก่อนกำหนดก็แล้วกัน หมัวหมัวออกไปพักผ่อนได้” หรงจิงพูดเช่นนั้นหงซีจึงออกไป หรงจิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น  

 

 

“สี่กงกงอยู่ไหน”  

 

 

เด็กที่ระยะนี้คอยติดตามและเรียกเซียงฉือว่าพี่คนนั้นเดินออกมาจากกลุ่มขันทีจำนวนมาก เขาคุกเข่าลงกับพื้น  

 

 

“กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ใดพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงเห็นเขาดูแคล่วคล่องดีจึงพูดว่า  

 

 

“เซียงฉือพูดกับข้าบ่อยๆ ว่าเจ้าเฉลียวฉลาด ข้าเห็นว่าแม้เจ้าอายุยังน้อยแต่ก็ดูขึงขัง เจ้าไปอยู่กองพระตำหนักติดตามฝึกหัดงานกับหงซีหมัวหมัวสักพักก็แล้วกัน”  

 

 

หรงจิงพูดออกไป สำหรับเสียวสี่จื่อแล้วเป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าทีเดียว  

 

 

เขาคุกเข่าลงทันใดพูดเสียงรัว  

 

 

“เป็นพระมหากรุณาพ่ะย่ะค่ะ ขอบคุณใต้เท้าอวิ๋นที่ส่งเสริม กระหม่อมสำนึกในพระกรุณา จะทุ่มเทบุกน้ำลุยไฟ จะไม่หวั่นภัยอันตรายอันใดและยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อถวายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เซียงฉือยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของเขา หรงจิงพลอยถูกเขายั่วให้หัวเราะไปด้วย เขายังไม่เคยได้ยินใครกล่าวขอบคุณอย่างสนุกเช่นนี้มาก่อน จึงพยักหน้าพูดว่า  

 

 

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาเสี่ยงภัยอันตรายอะไรแต่เจ้าต้องดูแลเรื่องบันทึกให้ดีอย่าให้เสียกฎระเบียบก็พอแล้ว ติดตามหงซีกูกู จำกฎบัญญัติของบรรพชนให้แม่น ถ้าเจ้าทำความผิดอย่างไม่สมควรแล้วละก็ เจ้าจะไม่มีความดีความชอบหลายสิบปีมาปกป้องชีวิตของเจ้า”  

 

 

เสียวสี่จื่อฟังแล้วโขกศีรษะเสียงดังอีกครั้งพูดว่า  

 

 

“กระหม่อมน้อมรับคำสั่งสอนจากฝ่าบาท ความผิดของคนรุ่นก่อน กระหม่อมจะไม่เจริญรอยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เห็นเขาพูดเช่นนั้นหรงจิงก็ผงกศีรษะ  

 

 

เมื่อสะบัดมือ เสียวสี่จื่อก็ออกไป  

 

 

หรงจิงมองไปทางเซียงฉือแล้วพูดว่า  

 

 

“เดินมานี่”  

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไป หรงจิงจับข้อมือนางแล้วพลิกแขนเสื้อขึ้น ให้จินกุ้ยเฟยกับซูเฟยได้เห็นทั้งสองคน  

 

 

บนนั้นมีจุดแดงพรหมจรรย์ของเซียงฉือปรากฎอยู่ นางมองดูหรงจิงอย่างไม่เข้าใจ  

 

 

“ชายาทั้งสองยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ถ้าหากไม่มีก็กลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว”  

 

 

หรงจิงบังเกิดความไม่พอใจ ทั้งสองคนจึงทำความเคารพอย่างเรียบร้อยแล้วจากไป  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset