ตอนที่ 544 ชมเหมยเชยหิมะ
หรงจิงจับมือเซียงฉือไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย แม้ชายาทั้งสองจะออกนอกประตูตำหนักไปแล้วก็ยังคงจับไว้เช่นนั้น เขาตบหลังมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของนางแล้วพูดว่า
“ข้าชักรู้สึกสำนึกเสียใจแล้วสิ”
เซียงฉืออึ้งไป นางมองหรงจิงแล้วพูดอย่างดื้อดึง
“ฝ่าบาททรงเป็นพระประมุข จะทรงเปลี่ยนแปลงรับสั่งทันทีทันใดได้หรือเพคะ ทรงยอมรับเถิดเพคะ”
คำพูดเจ้าเล่ห์ของเซียงฉือไม่เพียงไม่ทำให้เขาโกรธแต่ยังกลับยิ้มระรื่นพูดขึ้นว่า
“ข้าไม่ให้เจ้าเป็นสนมเพราะต้องการจะเลื่อนตำแหน่งการงานให้เจ้า งั้นก็เลื่อนเป็นอาลักษณ์ขั้นที่เจ็ดก็แล้วกัน”
เซียงฉือได้ยินแล้วยิ้ม คุกเข่าทำความเคารพตามมารยาท
“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”
หรงจิงลูบมือนางแล้วหมุนกายไปเปิดหน้าต่างออกร่องหนึ่งเพื่อระบายอากาศ แต่แล้วก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี
“เซียงฉือเจ้าดูนี่ อวิ๋นหยางมีหิมะตกแล้ว นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว”
เซียงฉือจึงช้อนตามองออกนอกหน้าต่าง รอยยิ้มของนางแจ่มชัดยิ่งขึ้น เมื่อเห็นหิมะโปรยปรายด้านนอกก็ยิ้มกว้างขึ้นหิมะมากมายๆ เหลือเกิน เหมือนขนมสายไหมที่เด็กๆ โปรยลงมา ลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ ทัศนียภาพนั้นงดงามยิ่งนัก
“หิมะของอวิ๋นหยางช่างงดงามเหลือเกินเพคะ เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้เห็นหิมะเช่นนี้”
หรงจิงโอบเซียงฉือที่ไม่ละสายตาจากการมองด้านนอก พูดอย่างนึกสนุกว่า
“ข้าจะพาเจ้าออกไปดู”
เซียงฉือถูกหรงจิงอุ้มขึ้นมาและได้ยินเสียงหัวเราะร่าของเขา เขาช้อนนางไว้แล้วพาออกไปข้างหน้าตำหนักเจิ้งหยางไปยังลานฝึกยุทธด้านนอก บางครั้งเขาจะมาฝึกวิทยายุทธที่นี่ บางทีก็ใช้เพื่อสันทนาการกับบรรดาขุนนางใหญ่ เป็นลานโล่งที่กว้างขวางอย่างยิ่ง
หรงจิงพานางออกมาที่นี่เพื่อให้นางได้ชื่นชมหิมะที่โปรยปรายอย่างหนาราวขนห่าน ซึ่งนางไม่เคยเห็นมาก่อนให้ได้เห็นเต็มตาและตามสบายใจ
เซียงฉือยกมือขึ้นรับเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมาจากฟ้าเกล็ดหนึ่ง ขณะนั้นหรงจิงเดินมาทางเบื้องหลังนาง เขาคลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะขาวบริสุทธิ์หนาๆ ให้เซียงฉืออย่างใส่ใจ แล้วแนบพูดที่ข้างหูนางว่า
“เมืองซวี่ตูที่หลานโจวเกือบจะเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างตงไห่กับเซียงไห่ ข้าเคยได้ยินอดีตฮ่องเต้ตรัสถึงอวิ๋นเทียนว่าเป็นนักรบผู้รอบรู้ มีบุคลิกทรงภูมิสง่างาม ความสามารถในการรบทางทะเลร้ายกาจยิ่ง ชำนาญทั้งบุ๋นและบู๊เป็นเสาหลักของประเทศ น่าเสียดายยิ่งนัก แต่ข้าได้สั่งให้คนฝังเขาอย่างสมเกียรติแล้ว”
เซียงฉือพิงร่างแนบหรงจิง นางซาบซึ้งใจเขาเพราะอย่างน้อยเขาไม่ได้พูดว่าอวิ๋นเทียนเป็นขุนนางต้องโทษ
นางหลับตาอิงแอบหรงจิง พอผินศีรษะก็ได้ยินเสียงหิมะร่วงหล่นที่ข้างกาย ริมฝีปากผุดรอยยิ้มแจ่มใส เมื่อใคร่ครวญอยู่นานแล้วจึงพูดขึ้น
“หม่อมฉันสำนึกในพระกรุณาธิคุณแทนท่านปู่และบ้านสกุลอวิ๋นเพคะ”
หรงจิงโอบเอวอรชรของนางพูดอย่างรักใคร่
“ข้าทำได้มากที่สุดก็เพียงเท่านี้และก็หวังว่าเจ้าจะไม่พะวงอยู่กับเรื่องนี้ตลอดไป เซียงฉือ เจ้าเป็นคนหนักแน่นในน้ำใจแต่อย่างไรคนก็ตายไปแล้วอย่าได้เสียใจมากจนเกินไป จะเป็นการทำร้ายสุขภาพของตนเองนะ”
เซียงฉือหมุนกายกลับ ยังคงอิงด้านข้างศีรษะแนบร่างหรงจิง นางยิ้มแล้วพูดว่า
“หม่อมฉันสามารถได้รับการดูแลจากฝ่าบาท ไม่ได้เป็นจอกแหนที่ล่องลอยอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว หม่อมฉันสำนึกในพระกรุณาอย่างยิ่งแล้วเพคะ”
หรงจิงลูบเส้นผมนางยิ้มอย่างสดใส เขาผลักร่างนางแล้วชี้นิ้วไปยังต้นเหมยที่ไม่ห่างออกไปนัก พูดว่า
“ปีนี้ดอกเหมยบานช้าแต่ก็เป็นปีที่บานได้งดงามที่สุด เจ้าดูสิ โดดเด่นอยู่ท่ามกลางลมหิมะ เหมือนกับคนงามในอ้อมอกข้า งดงามอ่อนช้อย งามที่สุดในเหมันต์นี้”
หรงจิงรำพึง เซียงฉือช้อนตามองไป ดอกเหมยเป็นเพียงดอกไม้ชนิดเดียวที่ผลิดอกในหน้าหนาวมวลดอกไม้อื่นๆ ล้วนร่วงโรยอยู่ข้างใต้ มีเพียงดอกไม้นี้เท่านั้นที่เบ่งบานยามหนาวจัด
ตอนที่ 545 สอบสวนวั่นกวง
หรงจิงให้พาวั่นกวงไปยังวังบาดาลแล้วส่งกลับไปภายในไม่เกินสองวัน ทำให้ภายนอกดูเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน
ไม่มีใครรู้เห็นที่วั่นกวงถูกพาตัวไปทั้งไม่รู้ว่ามีการพาตัวกลับมาแล้ว
แต่วั่นกวงที่เคยอยู่อย่างสุขสบายดูซีดเซียวลงไปมาก ข้างกายก็มีขันทีน้อยที่คล่องแคล่วเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งชื่อหรูอี้
คืนนั้นวั่นกวงเข้าไปยังวังบาดาล สถานที่มืดสลัวบรรยากาศอึมครึมน่ากลัวที่อยู่ใต้ดินของแคว้น
เมื่อเซียงฉือไม่ถูกควบคุม สวีฝูหายตัวไป เขาก็ได้เตรียมใจไว้แล้วแต่คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงตัวรวดเร็วเช่นนี้
หรงจิงไว้หน้าเขาไม่น้อย เขาเพียงถูกควบคุมตัวเข้ามาไม่นานก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขาแล้วโดยสวมเพียงชุดดำปกติไม่ได้สวมชุดคลุมมังกรสีทอง เหมือนสมัยที่เขายังเป็นพระโอรสที่ชื่นชอบสีดำ
วั่นกวงทำความเคารพหรงจิงอย่างนอบน้อม พูดยิ้มๆ ด้วยสีหน้าอ่อนโยนขึ้นว่า
“กระหม่อมยังจำได้ว่าฝ่าบาทโปรดอาภรณ์สีดำ แต่ว่าเครื่องทรงมังกรสีเหลืองทองที่ทรงสวมใส่ในวันขึ้นครองราชย์นั้นเฉิดฉายจับตาที่สุดพ่ะย่ะค่ะ ในตอนนั้นไทเฮายังทรงพระชนม์ชีพ พระองค์ตรัสกับกระหม่อมว่านั่นคือลูกชายของข้า ดีจริงๆ”
หรงจิงฟังคำพูดเขาแล้วใบหน้าก็หายตึง ตอบกลับไปว่า
“วั่นกงกง ไม่ได้พบกันเสียนาน ร่างกายช่วงนี้แข็งแรงดีไหม”
หรงจิงนั่งอยู่เบื้องบน เขายังให้ความเกรงใจวั่นกงกงอยู่ เพราะวั่นกงกงเคยรับเหล้าพิษจอกหนึ่งแทนเขา ซึ่งเขาจดจำไว้เสมอ
วั่นกวงเป็นคนรอบจัด พบหรงจิงเข้าก็รำลึกความหลังขึ้นมา เขาคุกเข่าลงน้ำตานองหน้า
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีโทษ กระหม่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงจึงเลิกคิ้วถามว่า
“ข้ายังไม่ได้ถามอะไรเลยเจ้าก็รู้ว่าตัวเองมีความผิด เช่นนั้นก็บอกเรื่องที่ควรบอกมาให้หมด ไม่ต้องให้ข้าสิ้นเปลืองคำพูด”
วั่นกวงถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่บนพื้น ยากนักที่จะแยกแยะออกว่าจริงเท็จแค่ไหน
“สุขภาพของกระหม่อมไม่ดี ตกกลางคืนจะปวดท้องจนสุดจะทนทาน เจ้าสวีหมิ่นนั่นก็เลยได้โอกาสให้กระหม่อมใช้ผีเสื้อหลงบุปผานั่น ตั้งแต่นั้นกระหม่อมจึงเสพติดเรื่อยมาไม่สามารถเลิกได้ เพราะหากไม่ใช่สักวันก็จะเจ็บปวดเป็นทวีคูณไปทั่วร่างราวกับมีหมอนนับหมื่นกัดแทะร่างกาย” วั่นกวงร่ำไห้พูดอย่างเสียไม่ได้ หรงจิงพยักหน้าแล้วฟังเขาพูดต่อ
“กระหม่อมทนไม่ไหวจึงต้องยอมรับการครอบงำของพวกเขา กระหม่อมใกล้ตายขนาดนี้แล้วแต่ยังหลงมัวเมาอยู่เช่นนี้ช่างไม่สมควรเลย ฝ่าบาท ทรงให้กระหม่อมได้ตายเถิด อย่าให้กระหม่อมต้องทนอยู่อย่างกล้ำกลืนเพื่อรักษาชีวิตอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงเห็นเขาไม่เหลือมาดความน่าเกรงขามในอดีตอีกเลยเช่นนี้แล้วก็เศร้าใจ แต่ว่าเขาพูดว่าพวกเขา ทำให้หรงจิงเกิดสนใจขึ้นมา
ระยะนี้หรงจิงส่งหน่วยมังกรเหินไปตรวจสอบความเป็นมาของผีเสื้อหลงบุปผาอย่างละเอียดรอบคอบ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังสาวไม่ได้เบื้องลึก หมัวหมัวที่เร้นกายอยู่ในวังคนนั้นเป็นใครกันแน่ เขาไม่สามารถรู้ได้เลย
เขาทนรับความรู้สึกล้มเหลวเช่นนี้ไม่ได้ แต่ขนาดวั่นกวงยังถูกบงการได้ แสดงชัดว่าต้องเป็นคนที่สำคัญยิ่งกว่าในนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ใช้แผนซ้อนแผน
หรงจิงให้คนพยุงวั่นกวงขึ้นมาแล้วพูดว่า
“วั่นกงกงรับใช้เสด็จแม่มายาวนาน ก่อนเสด็จแม่จะสวรรคตทรงสั่งข้าไว้ว่า หากเจ้าไม่ได้ก่อกบฏก็ห้ามมิให้ฆ่าเจ้าเรื่องในวันนี้ข้าไม่ถือสาได้ และยังคงเห็นแก่บุญคุณที่ดื่มเหล้าพิษแทนข้าในครั้งนั้น ให้เจ้าใช้ชีวิตยามชราในตำหนักซีฉือได้ต่อไป ข้าจะส่งคนไปคุ้มครองรับใช้ข้างกายเจ้าคนหนึ่ง เท่านี้แหละ เจ้าไปได้แล้ว”
หรงจิงพูดจบก็ลุกขึ้นเตรียมออกไป เขายอมให้วั่นกวงอีกครั้งก็เพราะแม้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ไทเฮาก็ยังฝากฝังเขาไว้เช่นนี้ และเขาไม่ต้องการเป็นลูกอกตัญญู จึงเชื่อฟังเสมอมา
แต่เขากลับกำเริบเสิบสานขึ้นทุกวัน ก่อนหรงจิงจะออกไปได้หยุดอยู่ข้างกายวั่นกวงแล้วพูดว่า
“ครั้งนี้เป็นชีวิตสุดท้ายของเจ้าแล้วและจะไม่มีครั้งต่อไปอีกนะ เก้าพันปี”
วั่นกงกงสั่นเทิ้มคุกเข่าโขกศีรษะเสียงดัง พูดขึ้นดังๆ ว่า
“ฝ่าบาททรงสอนสั่ง กระหม่อมน้อมรับใส่เกล้าพ่ะย่ะค่ะ”