ตอนที่ 554 ใกล้วันสิ้นปี
หรงจิงลูบมือเซียงฉือแผ่วเบานัยน์ตาเปี่ยมความเชื่อใจ เซียงฉือมีความกังวลอยู่บ้าง นางเห็นหรงจิงไม่รู้พูดอะไรกับจิ้งเฟยและหงซีกูกู
หรงจิงมองดูเซียงฉือแล้วหันกลับไปพูดว่า
“ชายาทั้งสามอย่ามัวยืนอยู่เลย เด็กๆ จัดที่นั่ง”
ชายาทั้งสามเข้าวังมาพักใหญ่แล้วแต่หรงจิงเหมือนเพิ่งจะมองเห็นพวกนาง จึงได้สั่งคนยกเก้าอี้สามตัวมาตั้งตรงเบื้องหน้า เซียงฉือที่เป็นข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งกลับนั่งอยู่ที่ข้างกายหรงจิง
ตำแหน่งการนั่งที่ประหลาดนี้ ทำให้เซียงฉือหวาดหวั่นพรั่นใจ
หรงจิงลูบหลังมือเซียงฉืออยู่ตลอดเวลา เป็นการแสดงออกถึงความรักที่เหนือกว่าคำพูด แต่จินกุ้ยเฟยที่จ้องมองหรงจิงจับมือเซียงฉืออยู่ตลอดเวลา บังเกิดความเกลียดแค้นพลุ่งพล่านในใจ
และเพราะเก็บงำความโกรธมาตลอดจึงไม่ค่อยเอ่ยปาก ส่วนซูเฟยข้างๆ ก็พูดขึ้นก่อนว่า
“วันนี้น้องเซียงฉือไปถึงตำหนักจู้เซียงก็มีอาการไม่ค่อยสบายแล้วเพคะ ฝ่าบาทตรัสเรียกหมอหลวงมาตรวจอาการสักคนก็ดีเพคะ เรียกหมอหลวงจังเจ๋อจากสำนักแพทย์หลวงคนนั้นดีไหมเพคะ การตรวจรักษาโรคเกี่ยวกับสตรีเช่นนี้หมอหลวงจังเจ๋อมีฝีมือที่สุดแล้วเพคะ”
หรงจิงฟังแล้วก็ผงกศีรษะพูดว่า
“จังเจ๋อ เรียกเขาก็แล้วกัน ให้เขาเข้าวังมาตรวจรักษาทันที”
ซูเฟยตอบรับ หรงจิงก็พูดต่อ
“ซูเฟยดูแลฝ่ายใน ต้องเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ช่างลำบากจริงๆ นี่ก็ใกล้สิ้นปีแล้ว ประเทศต่างๆ จะส่งฑูตเข้าเมืองหลวงมาอวยพร ถึงเวลานั้นฝ่ายในจะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับฑูตจากประเทศต่างๆ เรื่องนี้ข้าขอมอบหมายให้จิ้งเฟยเป็นผู้รับไปจัดการให้ดี”
บิดาจิ้งเฟยเป็นรองเจ้ากรมพิธีการมีหน้ามีตาและรู้งานที่สุด เรื่องนี้มอบหมายให้นางเป็นคนจัดการ คนอื่นๆ ก็ไม่อาจพูดว่าอะไรได้
จิ้งเฟยจึงลุกขึ้นตอบรับ
“หม่อมฉันจะทำให้สุดความสามารถ ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้เพคะ”
หรงจิงพยักหน้า มองจินกุ้ยเฟยกับซูเฟยแล้วจึงพูดต่อ
“จนถึงวันนี้ ข้าจะคืนอำนาจร่วมดูแลฝ่ายในให้จินกุ้ยเฟย นี่ก็สิ้นปีแล้ว โทษที่ควรได้รับก็รับไปแล้ว ข้าจะไม่ถือโทษที่ผ่านมาแต่ห้ามไม่ให้ทำผิดอีกเป็นอันขาด”
“พวกเจ้าเมืองขึ้นต่างๆ จะเข้าเมืองหลวงมาอวยพรและเข้าวังพร้อมคนในครอบครัวซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติตามปกติก็ให้กุ้ยเฟยรับผิดชอบดูแลจัดการก็แล้วกัน”
พอหรงจิงพูดจบจินกุ้ยเฟยย่อมต้องดีใจมากเพราะนางถูกซูเฟยกดขี่จนอึดอัดคับข้องใจมาระยะหนึ่งแล้ว
หรงจิงหยุดลงครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ซูเฟยรู้จักฝ่ายในดีที่สุด ไม่ว่าการจัดงานพระราชทานเลี้ยงในวังหรืองานเลี้ยงครอบครัวงานเลี้ยงประจำปีต่างๆ ล้วนเป็นซูเฟยที่เป็นคนจัดการ พอถึงสิ้นปีก็จะเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดของปี ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ถึงจะคึกคักแต่ก็ทำให้คนเหนื่อยที่สุด ซูเฟยเองก็ยังต้องดูแลหรงฟัง ลำบากนักหากต้องทำหลายอย่าง เช่นนั้นก็ส่งคนไปบอกโหรวผินให้นางมาช่วยดูแลจัดการเรื่องนี้”
หรงจิงพูดจบซูเฟยก็ขมวดคิ้ว คนด้านข้างต่างจัดการงานกันเพียงลำพัง แต่ทำไมพอถึงเรื่องของตนกลับจะให้ทำร่วมกับโหรวผิน
ซูเฟยเป็นคนมีความคิดปราดเปรื่องเสมอมา แต่ตอนนี้กลับคาดเดาความคิดของหรงจิงไม่ได้ เขาซ่อนงำความคิดของตนเองไว้ลึกมากเกินกว่าที่ใครจะสามารถเห็นได้โดยง่าย
“ซูเฟยมีอะไรไม่พอใจหรือ ถ้าหากระยะนี้เหน็ดเหนื่อยเกินไปก็มอบอำนาจในเรื่องนี้ให้โหรวผินไปทั้งหมดก็แล้วกัน ซูเฟยเหน็ดเหนื่อยมาทั้งปีแล้วควรได้พักผ่อนสักหน่อย กุ้ยเฟยกับจิ้งเฟยก็ทำงานได้ดี เรื่องในวังให้พวกเจ้าไปปรึกษาหารือจัดการกันก็แล้วกัน”
หรงจิงพูดไปเช่นนั้นแต่สายตากลับมองเซียงฉือ นัยน์ตาดำขลับดุจหมึกดำซ้อนกันเป็นชั้นๆ ก็ไม่อาจเทียบได้
กุ้ยเฟยเกิดความริษยาขึ้นทันใด จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันก็ขาดผู้ช่วยเหลือ ไม่ทราบฝ่าบาทจะทรงยินยอมตัดรัก ให้ใต้เท้าเซียงฉือมาช่วยหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ บรรดาขุนนาง ท่านหญิง ท่านอ๋อง พระชายาตลอดจนบุตรหลานในราชสำนักล้วนมีมากมาย หม่อมฉันเกรงว่าจะทำคนเดียวไม่ไหว ส่วนน้องหญิงก็มีฝีมือ เขียนอักษรได้งดงาม เหมาะที่จะช่วยงานเพคะ”
จินกุ้ยเฟยเอ่ยปากเช่นนั้นทำให้เซียงฉือก้มหน้าลง แต่แล้วจิ้งเฟยพูดขึ้นว่า
“ให้เซียงฉืออยู่กับหม่อมฉันดีกว่าเพคะ หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ ทำอะไรไม่ได้คล่องดั่งใจเหมือนพี่หญิงทั้งสองเพคะ”
ตอนที่ 555 หมอหลวงจังเจ๋อ
เซียงฉือได้ยินจิ้งเฟยพูดเช่นนั้นก็รู้ว่าเป็นการช่วยเหลือตน ตั้งแต่กลับมาจากนอกวังครั้งนั้นจิ้งเฟยให้ความสนิทสนมกับนางตลอดมา ถึงแม้จะไม่ได้ไปมาหาสู่กันบ่อย แต่เซียงฉือก็ยังเชื่อใจจิ้งเฟยอย่างยิ่ง
นางแตกต่างจากซูเฟยและจินกุ้ยเฟย ถึงแม้นางจะรักหรงจิงแต่ก็เป็นสตรีที่เข้าใจโลก นางเป็นคนบอบบางนุ่มนวลและรักสงบ ใช้ชีวิตประจำวันด้วยการปลูกดอกไม้และไหว้พระ ตำหนักเฮ่อเหลียนของนางในวังนี้จึงสงบร่มเย็นเหมือนกับเมืองในอุดมคติ
เซียงฉือจึงผงกศีรษะให้นางน้อยๆ แต่นางยังคงไม่รู้อะไรเลยในเรื่องที่พวกเขาคุยกัน จึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
หรงจิงมองสตรีทั้งสามแล้วยิ้ม พูดขึ้นว่า
“ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าเซียงฉือเป็นคนของข้า นางยังมีงานสำคัญกว่าที่ต้องทำ หากพวกเจ้าต้องการผู้ช่วย ที่ฝ่ายในเต็มไปด้วยข้าราขสำนักสตรีที่จะให้พวกเจ้าเรียกใช้”
หรงจิงยกมือขึ้นหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบแล้วไม่พูดอะไรอีก
จิ้งเฟยมองดูเซียงฉือ หัวคิ้วนางค่อยๆ ขมวดมุ่น แล้วก็ได้ยินเสียงร้องขานของซูกงกง
“ทูลฝ่าบาท หมอหลวงจังเจ๋อมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงพยักหน้าแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ช่วงนี้ชายาทั้งสามคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว ข้ายังมีงานต้องจัดการ ไม่รั้งพวกเจ้ากินข้าวด้วยกันนะ”
เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้ ทั้งสามคนก็ไม่กล้ารีรอ ต่างลุกขึ้นทำความเคารพหรงจิงอย่างเรียบร้อย
“พวกหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
เซียงฉือมองดูพวกนางจากไป เมื่อมองหรงจิงสีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้น หรงจิงกำลังทำอะไรของเขากันแน่”
นางเดินไปที่ข้างกายหรงจิงพูดขึ้นเบาๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ต้องหาหมอหลวงหรอกเพคะ”
เซียงฉือพูดแล้วหรงจิงจึงยื่นมือไปจับแขนนาง ตบลงเบาๆ พูดว่า
“เจ้าทำใจให้สบายเถอะ เมื่อครู่หงซีบอกว่าเจ้าไม่ค่อยสบาย ไม่ใช่เกิดอาการไม่สบายตรงสะพานสายรุ้งหรอกหรือ ในเมื่อหมอหลวงก็มาแล้ว ให้เขาตรวจให้เจ้าหน่อยก็แล้วกัน”
พอหรงจิงพูดเช่นนั้นเซียงฉือก็นึกขึ้นมาได้ เมื่อรวมเข้ากับคำพูดซูเฟยเมื่อครู่แล้ว ทำให้นางเข้าใจความหมายของหรงจิง
แต่ว่านางก็ยังคงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“หม่อมฉัน…”
เซียงฉือคิดจะโต้แย้ง แต่หรงจิงยื่นมือแตะริมฝีปากนางห้ามไว้ หัวเราะเบาๆ พูดว่า
“ไม่สบายก็ต้องหาหมอ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจด้วยว่าใครจะคิดอย่างไร”
ฟังหรงจิงพูดแล้วเซียงฉือก็ผงกศีรษะ นางหมุนกายไปนั่งลงบนเก้าอี้แล้วยื่นมือซ้ายวางลงบนหมอนรองของหมอหลวงจังเจ๋อ
จังเจ๋อได้ยินเรื่องของเซียงฉือจากในสำนักแพทย์หลวงมาก่อนแล้วจึงนำผ้าบางผืนเล็กออกมาวางทาบเบาๆ ลงบนข้อมือเซียงฉือแล้วตั้งใจตรวจจับชีพจร
ผ่านไปครู่หนึ่งคิ้วก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ มองดูเซียงฉืออย่างสงสัย
“ใต้เท้าอวิ๋น คงเป็นเพราะระยะนี้ดื่มกินไม่ถูกต้อง ม้ามกับกระเพาะเลยปั่นป่วนขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ดื่มยาสักเทียบแล้วพักผ่อนสักหน่อยก็หายแล้ว แต่ก็อย่าได้หวาดกลัวจนเกินไป จะได้ไม่ทำลายสุขภาพ”
เซียงฉือฟังแล้วก็พยักหน้า หงซีได้รับสัญญาณจากหรงจิงอยู่ก่อนแล้วจึงรีบเดินเข้าไป นางพยุงเซียงฉือออกไปจากตำหนักหน้าของตำหนักเจิ้งหยาง
เวลานั้นจังเจ๋อคุกเข่ารายงานฮ่องเต้อยู่ที่กลางโถง
“ขอฝ่าบาททรงวินิจฉัย ใต้เท้าอวิ๋นเพียงเพราะท้องไส้ปั่นป่วน บำรุงรักษาให้ดีสักสองวัน ให้นางผ่อนคลายอารมณ์ลงบ้าง เพียงไม่กี่วันก็สามารถหายเป็นปกติ ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลพระทัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แม้หรงจิงจะฟังจบไปแล้วแต่พู่กันในมือก็ไม่ได้หยุดลง เขามองดูสิ่งที่ตนเองเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วจึงโยนไปทางมุมโต๊ะ ตวัดสายตาไปมองจังเจ๋อ พูดว่า
“จังเจ๋อ ท่านมาอยู่สำนักแพทย์หลวงนานเท่าใดแล้ว”
จังเจ๋อไม่เข้าใจเจตนาแต่ก็ตอบไปโดยซื่อว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมาอยู่สำนักแพทย์หลวงได้สิบสองปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”