ตอนที่ 566 การสอบหน้าพระที่นั่ง
หรงจิงนั่งดื่มอยู่ภายในห้อง เขารู้ว่ามีเรื่องกำลังจะเกิดขึ้นและเขากำลังเฝ้าดูไฟไหม้อยู่ทางฝั่งตรงข้ามอย่างครึกครื้น
เขาทอดแหผืนใหญ่ไว้ทั้งข้างนอกข้างในวัง แหผืนนี้สามารถดักพวกมีใจคิดคดได้ทั้งหมดในคราวเดียว
ถึงแม้เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้จะไม่ได้พุ่งไปยังพวกฝ่ายใน แต่เพราะมีเนื้อร้ายบางส่วนที่เขาไม่อาจทนอีกต่อไปได้ การตายของหรูอี้กงกงก่อเกิดปฏิกิริยาให้หรงจิงประจักษ์ใจในคนพวกนี้ไวขึ้น พวกที่หลงระเริงขึ้นทุกทีจากการผ่อนปรนของเขา
แต่เช้าวันรุ่งขึ้น หรงจิงกลับมาจากประชุมราชสำนักอย่างอิ่มเอมเปรมใจ ดีใจเป็นล้นพ้นราวกับได้ทำงานใหญ่อะไรสำเร็จลุล่วง เซียงฉือช่วยเขาถอดมงกุฏและเปลี่ยนชุดราชสำนัก จากนั้นมองดูเขาแล้วหัวเราะไปด้วยกัน
“วันนี้ในราชสำนักมีเรื่องอะไรที่ทำให้ฝ่าบาททรงดีพระทัยได้เช่นนี้เพคะ”
เซียงฉือวางศิราภรณ์หยกลงบนเส้นผมหรงจิงอย่างระมัดระวัง นางถามออกไปอย่างยิ้มแย้ม
หลังจากเปลี่ยนชุดให้หรงจิงเสร็จแล้ว หรงจิงก็จูงมือนางและพูดว่า
“ต้องมีเรื่องดีๆ อยู่แล้ว การสอบเข้าเป็นขุนนางเปิดสอบมาได้สามเดือนแล้ว ราชสำนักคัดเลือกคนดีมีความรู้ย่อมต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดี”
“วันนี้เราจะคัดเลือกจอหงวนหน้าพระที่นั่ง ทั้งบุ๋นและบู๊ต่างจะทดสอบกันในวันนี้ พอได้เห็นบทความจากทางฝั่งบุ๋นแล้วทำให้เรามีกำลังใจ”
หรงจิงสุขใจเช่นนี้เซียงฉือจึงพลอยดีใจไปด้วย นางพูดแสดงความยินดี
“ฝ่าบาททรงจัดระบบการศึกษา เปิดรับผู้มีความสามารถเพื่อคัดเลือกผู้มีความรู้ความประพฤติดีให้ทำงานสำคัญนักศึกษาเป็นรากฐานของชาติ นักรบสามารถปกป้องรักษาชายแดน ต่างล้วนไม่อาจขาดหายได้”
“หม่อมฉันน้อมถวายความยินดีที่ฝ่าบาททรงได้พบทั้งนักรบที่ดีและผู้ทรงภูมิความรู้เพคะ”
หรงจิงได้ยินก็ดีใจ เขาปรบมือยิ้มอย่างเบิกบานใจแล้วพูดว่า
“เจ้าไปเปลี่ยนชุดราชสำนักแล้วไปดูพร้อมกับเรา เราเชื่อในสายตาของเจ้า”
เซียงฉือได้ยินก็ดีใจ นางไม่ได้ย่างเท้าออกจากตำหนักเจิ้งหยางมานานแล้ว ตอนนี้มีโอกาสย่อมจะต้องออกไปสักครา
แต่ว่านางเป็นเพียงสตรีฝ่ายใน ซึ่งไม่ถูกต้องตากกฎระเบียบนัก
นางคิดจะปฏิเสธ แต่หรงจิงสะบัดมือ
“เราคิดจะเลือกราชบุตรเขยจากการสอบครั้งนี้ให้หมิงอวี้สักคน ได้ข่าวมาว่าอาการป่วยนางดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้รับการรักษาที่ดี เรารักสงสารน้องสาวคนนี้ ไม่ต้องการให้นางแต่งออกไปไกล คิดว่าจะเลือกเขยที่หน้าตาดีมีความรู้สักคนเพื่อให้นางสบายอกสบายใจ”
เซียงฉือฟังว่าเช่นนั้นใจก็หวั่นไหว เพื่อหมิงอวี้องค์หญิงที่นางคิดถึงรอยยิ้มสดใส นางที่มีดวงตาเปี่ยมชีวิตชีวาเมื่อตอนแรกเข้าวัง และท่าทางซูบซีดอิดโรยขณะที่ออกจากวังคนนั้น
เซียงฉือยากจะถอดถอนตนเองออกจากอดีต นางพูดกับหรงจิงว่า
“ฝ่าบาททรงมีน้ำพระทัย องค์หญิงหมิงอวี้จะต้องทรงซาบซึ้งพระทัยต่อฝ่าบาทอย่างยิ่งเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันมีความรอบรู้น้อย ทุกอย่างจึงควรอยู่ที่การตัดสินพระทัยของฝ่าบาทเพคะ”
หรงจิงฟังแล้วก็เคาะหน้าผากนาง พูดว่า
“เราก็ยังคงเชื่อมั่นในสายตาเจ้าอยู่ดี อย่ามาทำขี้เกียจ ไปช่วยเลือกเขยให้หมิงอวี้สักคนแต่โดยดี”
เซียงฉือนึกถึงใบหน้าที่เห็นครั้งสุดท้ายในตอนนั้นแล้วบังเกิดความสงสาร เมื่อหรงจิงบอกว่าอาการป่วยของนางดีขึ้นบ้างแล้วจึงทำให้นางพอจะคลายใจลงได้ หากจะเลือกราชบุตรเขยให้นางก็เป็นเรื่องที่ดี
ดังนั้นเซียงฉือจึงเปลี่ยนเป็นชุดราชสำนักหยกขาวสำหรับอวิ๋นผิน เสื้อผ้าชุดนี้ทางกองเย็บปักเพิ่งจะทำเสร็จ วันนี้นางสวมชุดใหม่ หงซีกูกูมาช่วยให้คำแนะนำด้วยตนเอง จากนั้นจึงติดตามหรงจิงออกไปยังตำหนักอิงอู่
เซียงฉือร่าเริงไปตลอดทาง นางติดตามอยู่ข้างกายหรงจิงริมฝีปากเผยอขึ้นน้อยๆ ตลอดเวลา ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ในขณะที่ไปถึงตำหนักอิงอู่ เซียงฉือถึงกับตกตะลึงไปในพริบตา
ตอนที่ 567 ผู้กล้าในตำหนักเหวินอิง
เซียงฉือติดตามหรงจิงมาถึงด้านนอกตำหนักอิงอู่ มีขุนนางในชุดบุ๋นสีฟ้าครามกับขุนศึกชุดดำแดงรออยู่ด้านหน้าตำหนัก
เซียงฉือมองไปเห็นเหล่าขุนนางใหญ่เบื้องล่างพากันคุกเข่า นางเห็นเหอเจี่ยนสุยอยู่ในนั้นด้วย
แววตาเหอเจี่ยนสุยเหมือนดั่งน้ำในทะเลสาบที่ลึกล้ำและเข้มข้น อวิ๋นเซียงฉือมองไปเห็นแล้วเก็บสายตากลับ นางก้มหน้าลงน้อยๆ จะต้องหาโอกาสคุยกับเขาให้แจ่มแจ้งสักครั้ง
“พี่เหวินเซวียน ขอโทษนะ”
อวิ๋นเซียงฉือคิดถึงภาพการได้พบหน้าเหอเจี่ยนสุย เมื่อได้เห็นสายตาของเขาอดที่จะรู้สึกขอโทษไม่ได้ นางบังเกิดความละอายใจขึ้น แต่ว่านางไม่อาจควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ นางชอบหรงจิงจริงๆ เวลาที่อยู่ข้างกายเขาจึงจะรู้สึกถึงความปลอดภัย
เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ดิ่งลึกลงไปจนยากจะถอดถอน
เหล่าขุนนางเมื่อเห็นหรงจิงมาถึงก็พากันคุกเข่าตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ขุนนางบุ๋นและบู๊แยกออกเป็นสองแถวซ้ายขวาอย่างเคร่งครัดเป็นระเบียบ เป็นครั้งแรกที่เซียงฉือได้เห็นภาพเช่นนี้จึงรู้สึกตื่นเต้น
เซียงฉือหันไปมองหรงจิง เขาจูงมือนางเอาไว้ ลูบแผ่วเบาก่อนจะปล่อยออกแล้วพูดกับขุนนางที่คุกเข่าอยู่
“ลำบากทุกท่านแล้ว ลุกขึ้นเถอะ”
พูดจบหรงจิงก็เดินนำเข้าไปในท้องพระโรง
เซียงฉือตามติดอยู่ข้างหลังห่างออกไปเล็กน้อยเพียงไม่กี่ก้าว นางตามหรงจิงเข้าไปในท้องพระโรงอย่างสง่างาม เมื่อเข้าไปถึงก็ยืนอยู่ด้านข้างพระที่นั่งไม่กล้านั่งตามอำเภอใจ
พวกขุนนางใหญ่ต่างพากันเดินเรียงเข้ามาแล้วแยกยืนอย่างสงบ วันนี้เป็นวันสอบหน้าพระที่นั่งทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ หรงจิงนั่งบนพระที่นั่งมองดูเบื้องล่าง อารมณ์เขาพุ่งพรวด สะบัดมือแล้วพวกขุนนางพากันนั่งเข้าที่
หรงจิงพูดออกไปว่า
“วันนี้เป็นวันสอบหน้าพระที่นั่งของทั้งบุ๋นและบู๊ ท่านทั้งหลายต่างก็เป็นเสาหลักของแคว้น อยากพูดอะไรวันนี้ก็พูดออกมาได้เต็มที่ไม่ต้องฝืนบังคับให้มาก”
หรงจิงยิ้ม แต่พอพูดจบด้านล่างก็มีคนลุกขึ้นพูด
“เป็นพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานั้นซูกงกงได้เตรียมที่นั่งให้เซียงฉืออย่างใส่ใจยิ่ง
ขณะเซียงฉือจะนั่งลงก็เห็นคนๆ หนึ่งออกมาจากทางฝ่ายขุนศึก เสียงของเขาราวระฆังใหญ่
“ฝ่าบาททรงรับสั่งแล้วว่าให้สามารถพูดได้เต็มที่ กระหม่อมหลินตงจึงอยากรู้ว่าท่านผู้สามารถข้างวรกายฝ่าบาทนั้นชำนาญบุ๋นหรือบู๊ จึงได้เข้ามาอยู่ในสถานที่อย่างตำหนักเหวินอิงนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นเซียงฉือชะงักไปทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น หลินตงคนนี้เซียงฉือจดจำได้ ลายมือของเขาอัปลักษณ์สุดจะทนดู ทุกครั้งที่เขาส่งรายงาน เซียงฉือจะต้องอ่านจนปวดศีรษะอย่างยิ่ง
ในบรรดาเหล่าขุนศึกส่วนมากเป็นคนหยาบกระด้าง ถึงแม้จะรู้หนังสือแต่อย่างมากก็ได้กันเพียงเท่านี้
นางไม่โกรธที่เขาพูดเช่นนั้น จึงอมยิ้มมองหรงจิงแล้วนั่งลงข้างๆ เขาอย่างสุขุม คำพูดของหลินตงคนนั้นจึงเพียงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกไป
หลินตงเป็นผู้ใต้บัญชาเก่าของบ้านสกุลจิน ดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมการทหารฝ่ายซ้ายขั้นที่สอง เมื่อสองปีก่อนยังเป็นขุนพลนำทัพ แต่ตอนนี้อายุมากแล้วเจ็บออดๆ แอดๆ หรงจิงจึงเรียกตัวเขากลับมาพักฟื้นที่อวิ๋นหยาง เขาเป็นก๊กเดียวกับบ้านสกุลจินอย่างไม่ต้องสงสัย ที่รีบออกมาพูดตอนนี้ด้วยหวังจะประกาศศักดาให้เซียงฉือได้เห็นเท่านั้น
แต่ถึงแม้เขาจะมีเสียงอันดังแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้เซียงฉือตกใจได้ นางนั่งอย่างมั่นคงอ่านอารมณ์ไม่ได้
สายตาของเหอเจี่ยนสุยแวบผ่านร่างหรงจิงและเซียงฉือ เซียงฉือสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ
หรงจิงมองดูขุนนางเฒ่าหลินตงแล้วค่อยมองเซียงฉือ สีหน้าเขาไม่ดีนัก เซียงฉือเข้าใจความคิดของเขาจึงพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท ขุนพลหลินกำลังทดสอบความสามารถของหม่อมฉันอยู่ หม่อมฉันไม่รู้วิทยายุทธ์และเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น เช่นนั้นขอทรงโปรดให้ขุนพลหลินประลองคัดลายมือ หม่อมฉันยินยอมใช้มือซ้ายเขียนแข่งเพคะ”