บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 568 เริ่มการสอบหน้าพระที่นั่ง / ตอนที่ 569 ราชบุตรเขยที่เข้าตา

ตอนที่ 568 เริ่มการสอบหน้าพระที่นั่ง  

 

 

เหล่าขุนนางเบื้องล่างพอได้ยินคำพูดของเซียงฉือแล้วก็พากันหัวเราะพรืดออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขุนนางบุ๋นที่อีกฟากหนึ่งพากันหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ  

 

 

ขุนนางบุ๋นกับบู๊ต่างไม่ค่อยกินเส้นกันอยู่แล้ว และต่างก็คิดดูถูกซึ่งกันและกัน อวิ๋นเซียงฉือในฐานะขุนนางฝ่ายบุ๋นและรู้ว่าเขาเป็นทหารในอาณัติบ้านสกุลจินจึงไม่ไว้หน้าเขาเท่าใด ถึงกับฉีกหน้าว่าลายมือเขาอัปลักษณ์ไม่อาจเทียบแม้นางเขียนด้วยมือข้างซ้าย  

 

 

หลินตงจ้องมองด้วยดวงตากลมโตอย่างไม่ยอมสยบ เขาคิดจะด่าคนแต่ถูกหรงจิงจ้องอยู่ อีกทั้งพวกขุนศึกที่ด้านหลังก็พากันดึงเขาอย่างเงียบๆ  

 

 

เซียงฉือก็ไม่ต้องการกระตุ้นเขามากนัก จึงยิ้มอย่างอบอุ่นพูดต่อว่า  

 

 

“ขุนพลหลินมีชื่อเสียงโด่งดัง ข้าเป็นเพียงสตรีในวังจึงไม่บังอาจถกปัญหาบ้านเมืองกับท่านอย่างส่งเดช ใต้เท้าทุกท่านล้วนเป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก เป็นเสาหลักของประเทศที่ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ข้านับถือกิตติศัพท์ของทุกท่าน ดังนั้นจึงมาคารวะทำความรู้จัก”  

 

 

เซียงฉือเป็นฝ่ายคารวะบรรดาขุนนางใหญ่ที่เบื้องล่างก่อน เหล่าขุนนางบุ๋นจึงลุกขึ้นและคารวะตอบ หากเซียงฉือเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่งพวกเขาย่อมไม่ต้องทำเช่นนี้ แต่อวิ๋นเซียงฉือเป็นพระชายาที่ตั้งครรภ์อยู่ ถึงแม้ฐานะจะไม่สูง แต่อย่างไรก็เป็นสตรีของฝ่าบาท  

 

 

ซึ่งส่งเสริมให้ฐานะของนางสูงส่งขึ้น โดยเฉพาะหากในครรภ์นางเป็นพระโอรส พวกเขามีหรือที่จะกล้ารับการเคารพนี้  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือรู้ว่าทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ในราชสำนักแบ่งแยกกันรุนแรง นางเองก็ไม่จำเป็นต้องเจาะจงผูกมิตรกับพวกขุนศึกเพียงแต่สร้างภาพพจน์ที่ดีไว้ให้กับพวกขุนนางบุ๋นเสียก่อน พวกเขาจะได้ไม่มานั่งปั้นน้ำเป็นตัว วันๆ พูดแต่เรื่องฐานะไม่ชัดแจ้งของนาง  

 

 

หรงจิงฟังเซียงฉือพูดแล้วชื่นชมอยู่ในใจ เซียงฉือมีบุคลิกดีและรับมือได้อย่างรู้กาละเทศะ ซึ่งเป็นจุดที่เขาชื่นชอบที่สุด  

 

 

เมื่อเขาเห็นเซียงฉือนั่งลงแล้วจึงได้พูดขึ้น  

 

 

“เซียงฉือติดตามอยู่ข้างกายเรามานาน นางมีสายตาที่ดีวันนี้เราจึงอนุญาตให้นางมาด้วย ประการแรก การคัดเลือกผู้มีความสามารถในครั้งนี้เราปลื้มปิติมาก ประการที่สองมาเพื่อดูว่าจะสามารถหาราชบุตรเขยที่เหมาะสมสักคนในกลุ่มจิ้นซื่อได้หรือไม่ องค์หญิงหมิงอวี้ก็เจริญชันษาเหมาะแก่การวิวาห์แล้ว เราไม่ต้องการให้นางออกเรือนไปไกล จึงเตรียมจะเลือกราชบุตรเขยที่มีความรู้ หน้าตา นิสัยอีกทั้งชาติตระกูลดีสักคนหนึ่ง”  

 

 

หรงจิงมองดูขุนนางเบื้องล่างแล้วพูดต่อว่า  

 

 

“เราได้ยินมาว่ามีคนโสดอยู่ไม่น้อยในการสอบครั้งนี้ จึงคิดจะคัดเลือกดู ใต้เท้าทั้งหลายก็ช่วยเป็นหูเป็นตาในการเลือกสวามีให้กับน้องหญิงเราด้วย”  

 

 

พอหรงจิงพูดจบเหล่าขุนนางต่างพากันขานรับ ใต้เท้าหลินคนนั้นถูกดึงกลับเข้าไปในแถวของพวกขุนศึกแล้ว แต่สายตาที่มองเซียงฉือยังมีความโกรธแค้นอยู่  

 

 

ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของพวกขุนศึกกับขุนนางฝ่ายบุ๋นคือพวกเขาเก็บงำความลับไว้ในใจได้ไม่เก่ง มองเพียงครั้งเดียวก็เห็นได้ปรุโปร่ง  

 

 

ช่างเป็นกลุ่มบุรุษหยาบและบุ่มบ่าม เซียงฉือรู้ว่าพวกกองทัพแตกต่างจากขุนนางบุ๋น พวกเขาส่วนมากจะมาเป็นกลุ่มก้อน ได้รับการส่งเสริมให้ก้าวหน้าจากใครก็จะซื่อสัตย์ภักดีไม่เป็นอื่น ไม่คดเคี้ยวเลี้ยวลดแบบพวกขุนนางบุ๋น  

 

 

ดังนั้นหากคิดจะเกลี้ยกล่อมจึงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เซียงฉือก็ไม่รีบร้อน เพราะตอนนี้นางเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง ขอเพียงวันๆ ไม่ต้องเห็นพวกรายงานที่ตำหนิติเตียนนางก็ถือว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว  

 

 

เมื่อหรงจิงเห็นบรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาก็ลืมเรื่องไม่สบอารมณ์เมื่อครู่ไป เขามองซูกงกงแล้วพยักหน้า เมื่อซูกงกงได้รับสัญญาณจากหรงจิงจึงขยับลูกคอ  

 

 

“การสอบคัดเลือกผู้มีความสามารถ ให้ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊เข้าตำหนักได้”  

 

 

เซียงฉือสบตาหรงจินแล้วยิ้มอย่างงดงาม นางมองดูชายหนุ่มผู้มีความสามารถทั้งสามสิบคนเดินเรียงแถวเข้ามาแล้วยิ้มน้อยๆ  

 

 

คนเหล่านี้ล้วนถูกคัดมาจากลำดับต้นของกระดานชื่อ โดยมีฝ่ายบุ๋นสิบแปดคนและฝ่ายบู๊สิบสองคน พวกเขาเข้าวังมาถวายบังคมฝ่าบาท จากนั้นเข้าสู่การสอบหน้าพระที่นั่งซึ่งจะมีการประกาศผลรายชื่อในภายหลัง  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 569 ราชบุตรเขยที่เข้าตา  

 

 

เซียงฉือมองดูเหล่าผู้ผ่านการสอบรับราชการระดับต้นที่เบื้องล่าง นักศึกษาที่ผ่านคัดเลือกฝ่ายบุ๋นสวมชุดคลุมสีครามเดินเข้ามาทางฝั่งซ้ายของท้องพระโรงด้วยมาดผึ่งผายเลิศล้ำ ฝ่ายบู๊สวมชุดนักรบสีม่วงเดินเข้ามาจากฝั่งขวา ทุกคนล้วนองอาจกล้าหาญไม่ธรรมดา เซียงฉือเห็นแล้วรู้สึกว่าดีทีเดียว  

 

 

หรงจิงยิ้มแล้วพูดเอ่ยขึ้นมา  

 

 

“ผู้มีความรู้ความสามารถในปีนี้แลดูมีสง่าราศี มีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่า ล้วนเป็นเสาหลักของชาติในอนาคต”  

 

 

ผู้มีความรู้ความสามารถที่เบื้องล่างจัดแบ่งยืนกันเรียบร้อยแล้วคุกเข่าลง เปล่งเสียงขึ้นพร้อมกัน  

 

 

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีๆ หมื่นๆ ปี”  

 

 

หรงจิงรับฟังด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม  

 

 

“ลุกขึ้น”  

 

 

ทุกคนจึงได้ลุกขึ้นแล้วยืนตรงอยู่เบื้องหน้าหรงจิง เซียงฉือไล่ดูเรียงตัวแล้วรับสมุดรายชื่อมาจากซูกงกงเปรียบเทียบให้ตรงกับแต่ละคนแล้วพิจารณาความรู้และชาติตระกูลอย่างละเอียด  

 

 

หรงจิงลุกขึ้น ตั้งใจพิจารณาดูจิ้นซื่อจากการสอบครั้งใหม่นี้แล้วพูดยิ้มๆ  

 

 

“เราสืบทอดคำสอนสั่งจากบรรพชนให้เปิดทำการสอบขึ้นสี่ปีครั้งหนึ่ง เพื่อคัดเลือกคนที่มีความสามารถเหมาะจะทำงานรับใช้ชาติ ซึ่งพวกเจ้าล้วนเป็นผู้สามารถโดดเด่นในหมู่คน เราหวังจะเห็นพวกเจ้าทั้งหลายแสดงความสามารถในวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนกันมาอย่างเต็มที่ เริ่มได้”  

 

 

หรงจิงกล่าวเปิดอย่างเรียบง่าย ส่วนพวกชายหนุ่มเมื่อได้รับคำชมจากหรงจิงแล้วต่างฮึกเหิมพลุ่งพล่าน เซียงฉือเห็นแล้วก็ดีใจ  

 

 

ซูกงกงเมื่อได้รับสัญญาณจากหรงจิงก็บัญชาไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับเพื่อให้ประกาศเริ่ม  

 

 

“การสอบหน้าพระที่นั่งในวันนี้ ฝ่ายวิชาการจะสอบสามวิชาคือ วรรณกรรม คัมภีร์และแบบแผนการบริหารประเทศฝ่ายนักรบจะทดสอบสามสนามคือ แผนยุทธศาสตร์ ขี่ม้ายิงธนูและศิลปะการต่อสู้”  

 

 

“การทดสอบวิชาการรอบที่หนึ่งวิชาวรรณกรรม มีกำหนดเวลาหนึ่งก้านธูป ให้เตรียมพร้อมเริ่มต้น”  

 

 

สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับก็มีขันทีและนางกำนัลยกโต๊ะและเครื่องเขียนออกมาวางเรียงไว้ในที่ๆ กำหนดอย่างเรียบร้อย ผู้เข้าสอบวิชาการทั้งสิบแปดคนจึงแยกย้ายกันเข้าประจำที่  

 

 

ฝนหมึกยกพู่กัน หรงจิงเห็นดังนั้นแล้วจึงชี้ไปยังเหอเจี่ยนสุยในฝ่ายขุนนางบุ๋นพูดว่า  

 

 

“เหวินเซวียน ประกาศข้อสอบ”  

 

 

เหอเจี่ยนสุยลุกขึ้นประสานมือต่อหรงจิงแล้วนำข้อสอบที่ปิดผนึกลับออกมาจากแขนเสื้อ เปิดออกแล้วอ่าน  

 

 

“การทดสอบวิชาการรอบแรก วรรณกรรม หัวข้อที่สอบคือ การบริหารจัดการอุทกภัย”  

 

 

“ให้เวลาหนี่งก้านธูป เริ่มลงมือได้”  

 

 

เหอเจี่ยนสุยเป็นหัวหน้าสถานศึกษาระดับกั๋วจื่อ นับเป็นผู้มีความรู้ลึกซึ้งด้านวรรณกรรม ครั้งนี้จึงให้เขาเป็นคนกำหนดหัวข้อสอบซึ่งไม่ยาก หัวข้อการบริหารจัดการอุทกภัยก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรแต่สอดคล้องกับเรื่องที่ทำให้ฝ่าบาทปวดศีรษะเป็นที่สุด หรงจิงจึงผงกศีรษะ  

 

 

เซียงฉือเห็นชายหนุ่มเบื้องล่างพากันยกพู่กันลงจรดเขียนกันอย่างว่องไว นางมองดูพวกเขาและปรึกษากับซูกงกงจดจำพวกคนโสดที่หน้าตาหล่อเหลาเอาไว้ ให้ความใส่ใจกับเรื่องนี้อย่างมาก  

 

 

หรงจิงเห็นแล้วไม่พูดอะไร เขามองดูผู้เข้าสอบเบื้องล่างที่ทำการสอบอย่างตั้งใจ ทั้งสนามสอบเงียบสนิท ถึงแม้พวกขุนนางใหญ่จะมีการชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์กันบ้างแต่ก็เสียงเบามาก เมื่อนั่งอยู่ด้านบนจึงไม่ได้ยินอะไร  

 

 

เซียงฉือตั้งใจจะคัดเลือกขุนนางบุ๋นที่สุภาพอ่อนโยนจากกลุ่มบุ๋น เนื่องเพราะพวกนักรบบู๊ส่วนมากจะเป็นคนหยาบคายนิสัยห้าวหาญซึ่งไม่เหมาะที่จะเป็นราชบุตรเขย สิ่งสำคัญยังคงเพราะพวกนักศึกษาจะหน้าตาสะอาดสะอ้านงดงามส่วนพวกนักรบจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ชวนมอง  

 

 

เซียงฉือเลือกแล้วเลือกอีก นางเลือกที่ถูกใจที่สุดออกมาได้สามคน ผู้เข้าสอบพวกนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะที่มาจากสภาพแวดล้อมที่ดี ถึงเซียงฉือจะไม่รู้จักพวกเขาดีพอแต่เห็นว่าการประพันธ์ของพวกเขาล้วนไม่เลวเลย ดังนั้นที่ต้องคัดเลือกจึงเป็นเพียงชาติตระกูลและรูปร่างหน้าตา เฉกเช่นเดียวกับที่ฝ่าบาทคัดเลือกสนม และจะต้องไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังเสียใจ  

 

 

เซียงฉือคัดอย่างละเอียดเลือกอย่างรอบคอบจึงได้คนที่ตรงกับความต้องการของนางที่สุดมาคนหนึ่ง  

 

 

เมิ่งอี้ถิงเป็นบุตรชายโทนของเมิ่งฉี่อวิ๋นเส้าชิงของศาลต้าหลี่ อายุ 23 ปี รูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณหมดจด มีบุคลิกภาพดีรอยยิ้มอบอุ่น เป็นตัวเลือกที่ดี  

 

 

หรงจิงเห็นเซียงฉือขีดๆ เขียนๆ อยู่ เขาไม่รีบเร่งนักแอบมองนางอยู่หลายหน เมื่อเห็นนางเขียนชื่อเมิ่งอี้ถิงบนกระดาษหรงจิงก็ผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset