ตอนที่ 570 วีรบุรุษ
หรงจิงเห็นนางสามารถสรุปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้จึงเอนตัวเข้าไปน้อยๆ แล้วถามเสียงเบาว่า
“สรุปได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ การสอบสนามแรกจากสามสนามยังไม่จบเลย จะด่วนสรุปลวกๆ ไปหน่อยกระมัง”
เซียงฉือแอบยิ้มแล้วตอบว่า
“คนที่ฝ่าบาททรงเลือกไว้ล้วนดีเลิศเพคะ ที่หม่อมฉันเลือกเขาเป็นเพราะวงศ์ตระกูลของเขาสะอาดบริสุทธิ์ หน้าตาก็เรียบร้อยดี แต่ก็ยังคงต้องวาดภาพส่งไปให้องค์หญิงหมิงอวี้ดูเพื่อให้องค์หญิงทรงคัดเลือกเองนะเพคะ”
เซียงฉือยิ้มอย่างเบิกบานใจ หรงจิงก็สบายใจด้วย ต่างพูดคุยหัวเราะกันไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การตัดสินนั้นจะมีขุนนางใหญ่ด้านล่างเป็นผู้พิจารณา และเพื่อเป็นการรักษาเวลาจึงเริ่มสอบวิชายุทธวิธีรบอันเป็นสนามสอบแรกของฝ่ายนักรบต่อ
เซียงฉือมองดูผู้เข้าสอบฝ่ายบู๊ที่ด้านล่างโดยที่ไม่ได้วาดฝันอะไร แต่แล้วสะดุดตาเข้ากับนักรบหนุ่มฟันขาวริมฝีปากแดงหน้าตาดีอีกทั้งบุคลิกโดดเด่นคนหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ หน้าตาเขาองอาจ สวมชุดนักรบแต่ดูเหมือนขุนนางบุ๋นบุคลิกลักษณะการนั่งเขียนยุทธวิธีการรบที่ผึ่งผายนั้นก็ไม่ธรรมดา
เซียงฉือมองดูแล้วบังเกิดความสงสัยขึ้นทันใด
“ฝ่าบาท คนๆ นั้นเป็นใครเพคะ ดูไม่เหมือนนักรบแต่กลับเหมือนขุนนางบุ๋นมากกว่าเพคะ”
หรงจิงมองไปตามนิ้วมือของเซียงฉือ แล้วก็เห็นหยางจิ่นเฉิง ริมฝีปากผุดรอยยิ้มจาง ๆ ตอบว่า
“หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของหยางกั๋วกง ชื่อหยางจิ่นเฉิง”
พอเซียงฉือได้ยินก็ส่ายหน้าพูดขึ้น
“น่าเสียดาย”
หรงจิงเห็นนางขมวดคิ้วก็หยุดยิ้ม เขาเคาะหน้าผากนางเบาๆ แล้วพูดว่า
“หยางกั๋วกงเป็นนักรบบัณฑิต วิทยายุทธในตัวมีไว้เพื่อป้องกันตัวแต่ทว่าบัญชาการรบได้ราวกับเทพ เป็นนักวางแผนยุทธศาสตร์อันดับหนึ่งในกองทัพเซี่ยวจิ่งกั๋วเรา หลานชายเขาหยางจิ่นเฉิงอายุอ่อนกว่าเราหลายปี แต่เพราะเป็นลูกคนสุดท้องไม่สามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้ ต้องเข้าสอบเพื่อสร้างผลงานของตนเอง”
เมื่อได้ฟังหรงจิงบอกเช่นนั้นเซียงฉือเริ่มรู้สึกว่าหยางจิ่นเฉิงคนนี้ก็ไม่เลว แต่นางเคยได้ยินมาก่อนแล้วว่าหยางจิ่นเฉิงเป็นหนุ่มน้อยมากพรสวรรค์ วัยยังไม่ถึงยี่สิบแต่สามารถเสนอแผนการ กำหนดวิธีได้ยาวไกล
เป็นนักรบใหญ่มาโดยกำเนิด เขาไม่จำเป็นต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์ก็สามารถสร้างผลงานได้เอง หากแต่งงานกับองค์หญิงจะเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงของประเทศชาติ เพราะยังไม่เคยมีราชบุตรเขยคนไหนต้องออกสู่สนามรบมาก่อน
เซียงฉือคิดแล้วก็ส่ายหน้า นางคัดชื่อหยางจิ่นเฉิงออกไปจากรายชื่อราชบุตรเขยที่รอคัดเลือก
หรงจิงหัวเราะไม่พูดอะไร
แต่เห็นท่าทางผิดหวังของนางแล้วจึงพูดปลอบใจ
“คุณชายบ้านสกุลหยางมีหน้าตาเป็นเลิศ ชาติตระกูลก็เป็นเยี่ยม ตอนเขาเกิดมาได้รับคำชมจากเทียนซือชิวเว่ยเต้าว่าเป็นเทพดาวบู๊กลับชาติมาเกิด บ้านสกุลหยางเป็นแม่ทัพมาสามรุ่น เป็นตระกูลขุนนางนักรบอันดับหนึ่งของเซี่ยวจิ่งกั๋ว”
เซียงฉือได้ฟังแล้วบังเกิดความสนใจในตัวเทียนซือชิวเว่ยเต้าผู้นี้ นางจำที่หรงจิงเคยบอกได้ว่าอดีตฮ่องเต้มีพระโอรสมากมาย พอสวรรคต หรงจิงได้ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ตั้งแต่เยาว์วัย จุดสำคัญเป็นเพราะชิวเว่ยเต้าบอกกับฮ่องเต้ว่าหรงจิงมีดวงจักรพรรดิ จะนำความรุ่งโรจน์ยาวนานให้เซี่ยวจิ่งกั๋ว จะขยายอาณาจักรมีชื่อเสียงบันทึกในประวัติศาสตร์
หรงจิงจะเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาในการบุกเบิก เมื่ออดีตฮ่องเต้ได้ฟังแล้วจึงฝากความหวังไว้กับหรงจิงที่ยังเยาว์วัยไว้อย่างสูง ดังนั้นจึงเข้มงวดกวดขันกับเขาซึ่งหรงจิงเองก็ทำเช่นนี้กับตนเองเสมอมา ในใจเขาถูกความคิดนี้ครอบงำไว้แน่น ทำให้เขามีชีวิตที่ยากลำบาก
เซียงฉือมองหรงจิงแล้วมองดูผู้มีความสามารถที่จะเป็นขุนพลในอนาคตคนนั้นแล้วหัวเราะเบาๆ
“หมิงอวี้เป็นเด็กสาวดีงามบริสุทธิ์ หาสวามีที่จะดีต่อนางอย่างสุดจิตสุดใจให้แก่นางก็เพียงพอแล้ว จำเป็นด้วยหรือที่เขาจะต้องเป็นวีรบุรุษ”
หรงจิงฟังคำพูดนางแล้วบังเกิดความสงสัยจึงถามขึ้น
“วีรบุรุษ เช่นนั้นเราเป็นอะไรในใจของเจ้า”
เซียงฉือฟังแล้วเคาะหน้าผาก ทำทีคิดอย่างไตร่ตรองรอบคอบแล้วจึงพูดว่า
“พ่อเฒ่า”
หรงจิงได้ยินแล้วหัวเราะก๊ากออกมา ทำให้นักศึกษาทั้งหลายเบื้องล่างทำตัวไม่ถูก เขาฝืนกลั้นความอยากหัวเราะ หวานซึ้งอยู่ภายในใจ
ตอนที่ 571 นักศึกษาเมิ่งอี้ถิง
การกระทำทั้งหมดของเซียงฉือกับหรงจิงอยู่ภายใต้สายตาของเหอเจี่ยนสุย ถึงแม้เขาจะบอกตัวเองว่าอย่าไปมอง แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความริษยาที่พลุ่งพล่านภายในใจได้
รอยยิ้มปานบุปผาของเซียงฉือที่เขาไม่ได้พบเห็นมานาน ตั้งแต่องค์หญิงหมิงอวี้ออกจากวัง หน้าที่อาจารย์ของเขาก็สิ้นสุดลงด้วย องค์หญิงหรงเย่ว์ก็เจ็บป่วยจึงทำให้เขายิ่งไม่มีโอกาสได้เข้าวัง
วันนั้นเหลียนชินอ๋องอ้ำๆ อึ้งๆ จะพูดก็ไม่พูด แสดงท่าทีคลุมเครือแต่ก็ชัดเจน ทำให้ใจเขาสะท้าน เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง แต่เมื่อมาถึงจริงๆ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะเกิดความอิจฉาริษยาเช่นนี้
เขากับอวิ๋นเซียงฉือเป็นเพื่อนเล่นวัยเด็กที่เติบโตขึ้นมาด้วยกัน เจ้าเด็กนั่นมักจะติดตามอย่าข้างหลังเขา จะเรียกเขาเสียงอ่อนเสียงหวานว่าพี่เหวินเซวียน บางครั้งก็เจ้าอารมณ์ ทำให้เขาต้องเกาหัวยิกไม่รู้จะจัดการอย่างไร
แต่ตอนนี้นางเคียงอยู่ข้างกายหรงจิง ทำให้เขาไม่สามารถซ่อนเร้นความในใจได้
แต่แล้วเขาเปลี่ยนความคิด ผุดรอยยิ้มเยาะอย่างไม่เป็นที่สังเกตขึ้นที่มุมปากแล้วหันกายกลับไม่มองอีกต่อไป ไม่มีใครมองเห็นรอยยิ้มเลือดเย็นนั้น
หรงจิงมองดูผู้มีความสามารถฝ่ายบู๊เบื้องล่างแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนพูดขึ้นว่า
“ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินจะต้องไม่ลนลานเมื่อภัยมาถึง สามารถยิ้มดูความเปลี่ยนแปลงได้ เราเห็นว่าหยางจิ่นเฉิงมีบุคลิกของขุนพลใหญ่เช่นนั้น แล้วเจ้าล่ะเซียงฉือ”
เซียงฉือฟังคำพูดของหรงจิงแล้วปิดปากหัวเราะเบาๆ
“ขุนศึกหยางเป็นทายาทตระกูลนักรบและมีบุคลิกที่โดดเด่นจริงๆ ฝ่าบาทตรัสชอบแล้วเพคะ”
ทั้งคู่คุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่งก็ถึงเวลาที่คะแนนของการสอบฝ่ายบุ๋นรอบแรกออกมาแล้ว ลำดับที่พวกขุนนางใหญ่จัดไว้ถูกส่งให้หรงจิงพิจารณา
หรงจิงอ่านบทความทุกบท ด้านล่างวิพากษ์วิจารณ์กันร้อนแรง เป็นครั้งแรกที่เซียงฉือได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้ ดวงตาทั้งคู่ส่งประกายแวววาว
แววตาหรงจิงที่มองดูนางสั่นไหวน้อยๆ เมื่อครู่บรรดาคณาจารย์นักการศึกษาได้จัดลำดับออกมาแล้วสามลำดับซึ่งหรงจิงก็ได้อ่านอีก สมกับเป็นบทความอันตระการ หนึ่งในนั้นมีเรื่องการระบายน้ำอพยพราษฎรที่ดีทีเดียว
หากจะบอกว่าวิธีนี้พวกที่เข้าสอบต่างก็เขียนเช่นกัน แต่ว่าเขาเขียนอย่างเรียบง่าย ไม่มีการใช้สำนวนหรูหราอะไร
มีการเจาะจงสถานที่อย่างแม่นยำ ทั้งแจกแจงเขตพื้นที่ๆ ต้องโยกย้าย เงินและเสบียงที่ต้องใช้จ่ายดำเนินงาน ระยะเวลาที่ต้องใช้เพื่อให้บรรลุผลอย่างมีหลักมีเกณฑ์ หรงจิงอ่านแล้วบังเกิดความสนใจขึ้นมา
เขาดูด้านบนหัวกระดาษเห็นชื่อเมิ่งอี้ถิง
หรงจิงส่งกระดาษคำตอบของเมิ่งอี้ถิงให้เซียงฉือ เซียงฉืออ่านแล้วยิ้มพูดว่า
“ฝ่าบาททรงได้ขุนนางดีมาคนหนึ่งแล้ว เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถจริงๆ ฝ่าบาททรงมีสายพระเนตรแหลมคม ไม่ทรงปล่อยให้เพชรต้องจมอยู่ในดิน”
ถึงเซียงฉือจะอ่านไม่ละเอียดนักแต่ก็พรั่นใจ เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันหรงจิงเพิ่งจะศึกษาวิธีการจัดการแม่น้ำชิงกับเซียงฉืออยู่ อุทกภัยต่อเนื่องนานปีที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูร้อน ทำให้ราษฎรจำนวนมากเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ หรงจิงไม่อาจทนเห็นราษฎรต้องไร้บ้าน แต่การโยกย้ายประชาชนไปยังถิ่นอื่นไม่ใช่งานที่จะทำได้ภายในวันเดียว ดังนั้นตลอดมาหรงจิงจึงพิจารณาเลือกเฟ้นผู้ที่เหมาะสม
แล้วก็เป็นเมิ่งอี้ถิงที่หาได้ยากคนนี้ ถึงแม้บทความจะไม่สวยหรูแต่เห็นได้ชัดว่าได้กลั่นกรองความคิดมาอย่างดี จึงทำให้เกิดความสนใจ ยิ่งได้ฟังเซียงฉือพูดแล้วหรงจิงก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น จึงพูดลงไปว่า
“เมิ่งอี้ถิงออกมานี่”
ในกลุ่มผู้เข้าสอบด้านล่างมีผู้เขียนบทความได้งดงามอยู่มาก พอได้ยินหรงจิงเรียกเมิ่งอี้ถิงเป็นชื่อแรกจึงงงงัน อาจารย์ทั้งหลายในสำนักศึกษาก็พากันขมวดคิ้วไม่เข้าใจ มีเพียงเหอเจี่ยนสุยเท่านั้นที่รู้แจ้งแก่ใจ
“นักศึกษาสำนักศึกษาเมิ่งอี้ถิงถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี”
เสียงของเมิ่งอี้ถิงนุ่มนวลยิ่ง เขาตกตะลึงตอนได้ยินหรงจิงเรียกชื่อเขา ก่อนที่แววตาจะยินดีอย่างไม่อาจซ่อนเร้น
หรงจิงเห็นท่าทางสุขุมของเขาแล้วก็ยิ่งชมชอบ