ตอนที่ 572 จุดสูงสุดของอำนาจ
เมิ่งอี้ถิงคุกเข่าอย่างเรียบร้อยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหรงจิง หรงจิงมองกระดาษข้อสอบด้านข้างอีกครั้งแล้วถามขึ้น
“เราเห็นบทความเจ้าเขียนได้อย่างแม่นยำ เจ้ามีความเข้าใจแม่น้ำชิงดีหรือ”
ได้ยินหรงจิงถาม เมิ่งอี้ถิงยกมือทั้งคู่ขึ้นสูงแล้วตอบว่า
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมท่องศึกษาผ่านเจียงโจว ชิงโจวสิบหกภาคและประสบกับอุทกภัยที่แม่น้ำชิงพอดี เห็นชาวบ้านกรำฝนซ่อมแซมทำนบ ถึงแม้จะมีเสบียงอาหารจากทางการประทังชีวิตแต่ก็ลำบากยากเข็ญยิ่งนัก เนื่องจากการควบคุมสำมะโนครัวของทางการเข้มงวดไม่เอื้อ ราษฎรไม่สามารถย้ายไปใช้ชีวิตยังถิ่นอื่นได้ จึงต้องมีชิวิตอย่างทุกข์ยากพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นความอดอยากไปทั่วตลอดทาง และคิดถึงฝ่าบาทที่ทรงกังวลพระทัยกับประเทศชาติ จึงได้ศึกษาอยู่ในพื้นที่จริงกับสหายเป็นเวลานานและได้ทางออกเช่นนี้มาพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงอ่านวิธีการแล้วถามขึ้นอีก
“เราขอถามเจ้า เจียงโจว ชิงโจวล้วนเป็นพื้นที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแถบลำน้ำย่อยของแม่น้ำชิง แม้แต่ขุนนางเก่าทั้งหลายในฝ่ายโยธายังลำบากใจยิ่ง เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสถานที่ๆ เจ้าจะอพยพราษฎรไปนั้นเหมาะสมให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ ได้มีการศึกษาสภาพความเป็นจริงแล้วหรือไม่?”
เมิ่งอี้ถิงฟังคำถามแล้วพูดขึ้นอย่างเริ่มตื่นเต้นว่า
“กระหม่อมยังผ่านโลกมาไม่มาก ความคิดอ่านยังไม่รอบคอบเพียงพอ แต่ข้อสอบในวันนี้ทำให้กระหม่อมสะท้อนใจจึงได้นำวิธีการแก้ไขลำน้ำชิงที่ยังไม่สมบูรณ์ทูลถวายฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรงเห็นได้ว่ามีราษฎรที่จะต้องอพยพมากกว่าพื้นที่รองรับ ซึ่งกระหม่อมจะต้องไปสืบเสาะหาพื้นที่ๆ ไม่ถูกน้ำจากแม่น้ำชิงท่วมในช่วงสิบปี แต่กระหม่อมไม่มีเวลาเพียงพอจึงได้ผลลัพธ์มาเพียงเท่านี้ พื้นที่ๆ จะให้ราษฎรอพยพไปจะต้องเป็นที่ราบเหมาะแก่การเพาะปลูก ดังนั้นวิธีการนี้จึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์พ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงเห็นการแสดงออกด้วยความเสียดายและเห็นความใส่ใจของเมิ่งอี้ถิง จึงพูดปลอบใจว่า
“ความคิดอ่านที่จากสร้างความสุขในราษฎรของเจ้าไม่เลวเลย คนที่เป็นขุนนางจะต้องทำงานอยู่บนความเป็นจริงเช่นนี้ ตรงไปตรงมาเพื่อชาติและประชาชน ท่านเมิ่งสอนสั่งบุตรได้ดีจริง”
เมิ่งฉี่อวิ๋นที่ซุกตัวอยู่ในหมู่ขุนนางรีบเดินออกมาจากกลุ่มแล้วคุกเข่า
“เป็นพระกรุณาที่ฝ่าบาททรงชมเชยพ่ะย่ะค่ะ อี้ถิงเป็นนักศึกษาของฝ่าบาท กระหม่อมโง่เขลาไม่อาจเสมอฝ่าบาทที่ทรงสอนสั่งด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงยิ้มน้อยๆ สะบัดมือพูดว่า
“จากนี้ไปพ่อลูกก็จะเป็นขุนนางร่วมราชสำนัก ต่างก็เป็นเสาหลักของประเทศ เป็นที่พึ่งพาของเรา กลับเข้าที่เถิด”
เมิ่งฉี่อวิ๋นและเมิ่งอี้ถิงพากันกลับเข้าที่เดิม หรงจิงอ่านบทความของคนอื่นก็ชมเชยเช่นกัน เขาวางบทความเมิ่งอี้ถิงไว้อันดับแรก ส่วนฉบับอื่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรแล้วส่งกลับคืนไปให้คณาจารย์ในสำนักศึกษาและขุนนางคุมสอบหยางเจิ้ง
หยางเจิ้งรู้เท่าทันความคิดของหรงจิงจึงให้ความสนใจเมิ่งอี้ถิง เขาลอบพึมพำในใจว่าเจ้าเด็กเมิ่งอี้ถิงคนนี้มาได้ไกลจริงๆ ถึงกับทำให้ฝ่าบาทสนใจได้ วันหน้าคงจะก้าวหน้าอย่างไม่ต้องเปลืองแรง อีกทั้งหน้าตาก็หล่อเหลา คิดว่าน่าจะได้เป็นน้องเขยของฝ่าบาท บ้านสกุลเมิ่งจะได้รุ่งเรืองตามก็คราวนี้
เมิ่งอี้ถิงมีความขัดเขินในตอนแรก แต่ตอนตอบคำถามกลับจริงจังขึ้นได้ ยิ่งได้รับคำชมจากหรงจิงก็ยิ่งมีความฮึกเหิมพยายามรวดเดียวจนสำเร็จ สำแดงความสามารถของเลือดคนหนุ่มอย่างถึงอกถึงใจ ดังนั้นจอหงวนฝ่ายบุ๋นจึงหมายลงที่ตัวเขาได้ด้วยประการฉะนี้
เซียงฉือเห็นหรงจิงพออกพอใจยิ่งกับผลลัพธ์นี้ก็ยิ้ม นางลอบรำพึงว่าเป็นเพราะคำพูดเดียวของฮ่องเต้แท้ๆ พาให้เฟื่องฟูขึ้นมาได้ทั้งบ้าน มิน่าเล่าใครๆ จึงคอยจ้องตำแหน่งนี้ อำนาจช่างเป็นสิ่งที่ยั่วยวนและทำให้คนยากถอนตัวได้
เซียงฉือมองดูเหล่าขุนนางเบื้องล่างแล้วมองหรงจิงที่ข้างกาย นางยังคงยิ้มแย้ม ส่วนในใจยิ่งรู้ซึ้งกระจ่างถึงพลังของอำนาจ
นานมาแล้วก่อนหน้านั้นที่นางเริ่มมีแนวความคิดสับสนปนเป บางครั้งอาจไม่ใช่เพราะว่าหรงจิงคิดจะทำอะไร แต่เป็นเพราะขุนนางเบื้องล่างคลำหาความคิดหรงจิงกันเองแล้วไปทำ เหมือนเช่นบ้านสกุลอวิ๋นซึ่งเป็นคดีปริศนาที่ไม่สามารถอธิบายได้ ท่านปู่จึงเสมือนดั่งเหยื่อสังเวยของคดีใหญ่ในครั้งนั้นไป
เป็นถึงขุนนางขั้นที่หนึ่งแต่ยังไม่เคยได้พบแม้แต่หน้าตาของฮ่องเต้ก็ถูกเนรเทศเสียแล้ว ช่างน่าหัวร่อนัก
ตอนที่ 573 สนามประลองยุทธ์
การสอบฝ่ายบุ๋นก่อนหน้าสิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากการสอบฝ่ายบู๊จะต้องดำเนิกการที่สนามฝึกด้านนอกตำหนักอิงอู่ ดังนั้นเมื่อการสอบฝ่ายบุ๋นจบลง คนทั้งหลายจึงเดินออกมาด้านนอก เวลานั้นลมหนาวเริ่มหนาวเย็นลง แต่พวกนักรบสวมเพียงเสื้อสั้นเท่านั้น
เซียงฉือคลุมผ้าคลุมขนจิ้งจอกหิมะยังรู้สึกหนาว ในมือต้องประคองเตาอุ่นไว้จึงช่วยให้ดีขึ้นบ้าง วันนี้ลมไม่แรงฟ้าจึงแจ่มใส อาจเป็นเพราะเข้าใจจิตใจของหรงจิง จึงไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคกับการแสดงยุทธ์แม้แต่น้อย
เมื่อหรงจิงมีคำสั่ง การสอบสนามสองขี่ม้ายิงธนูของฝ่ายบู๊ก็เริ่มต้น
นับเป็นการทดสอบที่คึกคักที่สุดของการสอบในวันนี้ เซี่ยวจิ่งกั๋วมีกองกำลังกองหนึ่งชื่อว่าเฟยอวิ๋นฉี สังกัดกองทัพไป่จั้น เป็นกองทัพม้าที่พลิกแพลงและสู้รบได้แข็งแกร่งที่สุดซึ่งหรงจิงเห็นประดุจดั่งเป็นสิ่งล้ำค่าแสนรักที่มักเอ่ยถึงเสมอๆ
กองทัพหมาป่าหรงเสวี่ยกั๋วคอยก่อกวนชายแดนตามอำเภอใจมานาน ทำให้ชาวบ้านถูกก่อกวนมีความเป็นอยู่อย่างลำบาก สมัยนั้นข่านจินเปียนแห่งหรงเสวี่ยกั๋วอาศัยกองทัพหมาป่าที่โหดร้ายมุ่งลงมาจากภาคกลางของเสวี่ยโจว ตีผ่านเมืองจิ้งโจวเจียงโจวจนเกือบจะสามารถตีข้ามแม่น้ำชิงฝั่งเอี้ยนโจวเข้ามาอวิ๋นหยางได้แล้ว
หรงจิงซึ่งขึ้นครองราชย์ในวัยหนุ่มน้อยจึงเลือดร้อน สมัยนั้นหยางกั๋วกงนำทัพ หรงจิงเสด็จออกรบด้วยตนเอง สามารถโอบยันทัพหมาป่าของข่านจินเปียนไว้บนภูเขาหิมะที่จิ้งโจว ฝึกฝนกองทัพเฟยอวิ๋นฉี ด้วยเลือดที่ร้อนระอุและห้าวหาญเกินใครทำการรบพุ่งสามวันสามคืน กวาดล้างทัพหมาป่าจนสิ้นซาก และหรงจิงยังได้ฆ่าองค์ชายชี่ตาโอรสองค์โตผู้นำทัพหมาป่าของหรงเสวี่ยกั๋วด้วยมือตนเอง แล้วนำศีรษะเขาไปแขวนไว้บนกำแพงเมืองของด่านหันกู่บนเทือกเขาสวินหลงระหว่างชังโจวกับจิ้งโจว
ทำให้หรงเสวี่ยกั๋วพ่ายแพ้สูญเสียพลังใจครั้งใหญ่ หรงจิงยังคงดุดันบุกขึ้นทางด้านเหนือของด่านหันกู่ ทำการกวาดล้างพวกหรงเสวี่ยอีกแปดกองกำลัง ใช้เวลาสี่ปีจึงสามารถขจัดความแค้นได้ราบคาบ
ความอัปยศที่หรงเสวี่ยกั๋วทำไว้กับเขาได้ถูกเขาทวงกลับคืนได้ในที่สุด หลังจากนั้นมาเขายิ่งโปรดปรานกองกำลังเฟยอวิ๋นฉีเป็นพิเศษ
พวกนักรบรู้ว่าฝ่าบาทโปรดปรานทัพม้าเฟยอวิ๋นจึงได้มุมานะฝึกฝนการยิงธนูบนหลังม้า ด้วยหวังจะมีสักวันหนึ่งที่จะได้แสดงการทดสอบต่อเบื้องพระพักตร์ให้เป็นที่เข้าตาหรงจิง เซียงฉือชี้ไปยังธนูหนักในสนามประลอง นางไม่รู้วิธีการใช้จึงถามหรงจิงเสียงเบา
“ฝ่าบาท ธนูนั้นทั้งใหญ่และหนัก หม่อมฉันไม่ทราบว่าจะใช้มันทำอะไร แต่ดูแล้วไม่น่าที่คนเพียงคนเดียวจะสามารถยกขึ้นได้นะเพคะ”
หรงจิงได้ยินและรู้ว่าเซียงฉือไม่รู้วิธีการใช้เพราะไม่เคยเข้าสนามรบมาก่อน
เขาจึงยิ้มแต่ยังไม่ได้พูดอะไรก็มีเสียงหัวเราะมาจากด้านหน้า
“สตรีในวังในไม่รู้จักภยันตรายในสนามรบ แม้แต่ธนูก็ยังไม่รู้จัก ดีแต่ผมยาวทว่าไร้ความรอบรู้จริงๆ”
เซียงฉือถูกเขาว่าเช่นนั้นก็อับอายจนหน้าแดงซ่าน นางยังไม่ได้โต้แย้งอะไรก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเหอเจี่ยนสุยพร้อมกับคำโต้กลับ
“ขุนพลหลินออกศึกมานับไม่ถ้วน รู้จักธนูดี แต่ยามเมื่อเงื้อธนูเหตุใดจึงไม่รู้แน่ชัดเล่าว่าศัตรูคือใคร”
ขุนพลหลินได้ยินคำพูดเหอเจี่ยนสุยแล้วยิ่งไม่พอใจ เป็นเพียงหัวหน้าสำนักศึกษาต่ำต้อยแต่บังอาจมาพูดกับเขาเช่นนี้จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร จึงพูดเสียงดังขึ้นด้วยความโกรธ
“เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ข้าพูดอะไรต้องให้เจ้ามาสอนสั่งหรือไร ข้าเป็นขุนนางขั้นที่สองเจ้าเป็นอะไร ก็แค่เจ้าหน้าขาวที่ดีแต่เขียนหนังสือ เจ้าเด็กที่แม้แต่ตะเกือบคู่หนึ่งก็ยังแทบยกไม่ขึ้น ยังจะกล้ามาพูดเหลวไหลในสนามประลองอีก”
เหอเจี่ยนสุยได้ยินคำพูดของเขาแล้วจึงพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แต่ข้าเป็นข้าราชบริพารของฝ่าบาท ขุนพลหลินอยู่ชายแดนมานานหรือว่าจะลืมกฎความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับขุนนางไปแล้ว” เหอเจี่ยนสุยพูดถึงตรงนี้แล้วย้อนถามเสียงหนัก
“ขุนพลหลินสบประมาทข้าต่อเบื้องพระพักตร์เช่นนี้ ไม่ทราบว่ายังเห็นฝ่าบาทและอวิ๋นผินอยู่ในสายตาหรือไม่”
เหอเจี่ยนสุยพูดจาอย่างเหมาะสมทั้งไม่มีความโกรธ แต่คำว่าอวิ๋นผินที่เขาเน้นทำให้เซียงฉือรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา