ตอนที่ 574 หยางจิ่นเฉิง
หรงจิงเห็นพวกเขาโต้ตอบกันแต่ไม่พูดอะไร ดวงตาทั้งคู่ของเขามองไปยังหยางจิ่นเฉิงหลานชายหยางกั๋วกงที่กำลังเตรียมทดสอบอยู่ในสนาม เซียงฉือแอบมองดูท่าทีของหรงจิง เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงเก็บเรื่องนี้ไปก่อน
วันนี้ลมสารทฤดูพัดไหวอ่อนๆ หรงจิงเงยหน้า แสงแดดยามบ่ายอบอุ่น ยามมองดูพระอาทิตย์แสงยังแยงตา เป็นวันที่แสงแดดดีจริงๆ
หรงจิงยิ้มอ่อนโยน เซียงฉือจับแขนเสื้อเขาไว้เบาๆ แล้วยิ้มอย่างนุ่มนวล
ชุดชาววังสำหรับอวิ๋นผินของนางหรูหรางดงาม แต่นางเคยชินกับชุดข้าราชสำนักสตรีที่สะอาดเรียบง่ายจึงยังไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะกับปิ่นหยกขาวบนศีรษะคู่นั้นที่รัดตรึงเส้นผมไว้จนรู้สึกหนัก
เสื้อผ้าที่หรูหรา เครื่องประดับที่มีค่า อยู่บนที่นั่งเบื้องสูง ซึ่งล้วนแต่เป็นภาระหนักหน่วงที่กดทับอยู่บนใจนาง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงม้าได้เป็นเลิศ สมัยนั้นทรงม้าโดดเดี่ยวนับพันลี้ สู้รบกับหรงเสวี่ยกั๋วแปดกองทัพจนกระทั่งไม่กล้ามารุกรานชายแดนเราอีกเป็นสิบปี”
หรงจิงได้ยินแล้วบังเกิดความภาคภูมิใจ เขาหรี่ตาผุดประกายใฝ่หา
“เซียงฉือ เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่”
เซียงฉือได้ยินเสียงเขาจึงหันหน้ากลับไปพลันมองไปยังเหอเจี่ยนสุย ซึ่งเป็นคนสอนวิธีการขี่ม้าให้
นางยิ้มแล้วตอบว่า
“พอได้เล็กน้อยเพคะ”
หรงจิงกลับรู้สึกประหลาดใจ สตรีในอวิ๋นหยางล้วนงดงามอ่อนช้อย มีน้อยคนนักที่จะฝึกหัดการขี่ม้ายิงธนู เซียงฉือเพียงยิ้ม หรงจิงคิดขึ้นได้ว่าอวิ๋นเทียนเป็นขุนศึกบัณฑิตผู้หนึ่ง เซียงฉืออยู่กับอวิ๋นเทียนมาจนโต หากได้ฝึกฝนวิธีการขี่ม้ามาบ้างก็ไม่น่าแปลกอะไร
เขาจึงพยักหน้า เซียงฉือยิ้มจางๆ ขุนพลหลินที่ยืนข้างหน้าได้ยินคำพูดนี้แล้วก็พ่นลมหายใจออกจมูก แสดงความเย้ยหยันโดยไม่ใช้คำพูด ส่วนเหอเจี่ยนสุยมองเซียงฉือด้วยสายตานุ่มนวล
ท่าทางเขาก็ดูเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องการฝึกหัดขี่ม้ากับเซียงฉือในวัยเด็ก
“ฝ่าบาท ผู้เข้าสอบฝ่ายบู๊ทั้งสิบสองคนเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว จะทรงให้เริ่มเลยหรือไม่พะย่ะค่ะ”
หรงจิงมองไปทางผู้เข้าสอบแล้วผงกศีรษะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับจึงร้องป่าวเสียงดัง
“การสอบวิชาบู๊หน้าพระที่นั่งสนามที่สอง ยิงธนูบนหลังม้าเริ่มได้”
ขุนศึกทั้งหลายที่รออยู่ด้านนอกขึ้นม้าทันที การสอบยิงธนูบนหลังม้าของหรงจิงว่าด้วยทักษะการขี่ การยิงธนูและการต่อสู้ การทดสอบทักษะการควบขี่นั้นเหมือนการแสดง เพราะสำหรับนักรบแล้ว ม้าศึกเป็นเหมือนเพื่อนร่วมรบที่ดีที่สุด
หยางจิ่นเฉิงยืนอยู่ในแถวแรกและออกมาเป็นคนแรก เซียงฉือมองดูด้วยสายตาแวววาว
เป็นเพราะหรงจิงพูดไว้ก่อนแล้วว่าหยางจิ่นเฉิงเป็นนักรบบัณฑิต ดังนั้นเซียงฉือจึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับการขี่ม้ายิงธนูของเขามากนัก ขุนศึกน้อยชุดขาวสวมเสื้อเกราะสีเงินกับผ้าคลุมขาวราวหิมะอยู่บนหลังม้าสีขาวตัวใหญ่ องอาจสง่างาม ช่างเป็นชายหนุ่มที่ภาคภูมิยิ่ง
เซียงฉือยิ้มรอคอยการแสดงของหยางจิ่นเฉิง เขาถือธนูคันหนึ่ง ด้านหลังสะพายซองใส่ลูกธนูขนนกสีขาวสิบดอก เมื่อเท้ากระทุ้งท้องม้าเบาๆ แล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปหน้าปะรำพิธี เขาน้อมกายทำความเคารพไปบนปะรำ หลังจากนั้นสูดหายใจเข้าลึก กระทุ้งแล้วควบม้าพุ่งออกไป ผ่านสองด่านเครื่องกีดขวางที่ตั้งไว้ทดสอบ ร่างเขาเหมือนหล่อหลอมเป็นร่างเดียวกันกับม้าศึก ม้วนผ่านข้ามไปราวพายุหมุน
กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้น ดังขึ้นอย่างมีจังหวะในสายลม
ตามด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากขุนนางหลายคน
“สมเป็นคนหนุ่มมีความสามารถ คุณชายน้อยบ้านสกุลหยางเปิดตัวอย่างน่าตะลึง”
“องอาจไม่ธรรมดา ไม่ได้ด้อยไปกว่าปู่หยางในสมัยโน้นเลย”
“ตราบยังมีบ้านสกุลหยาง แคว้นเซียวจิ่งย่อมได้รับการปกป้องให้สงบสุขตราบนิรันดร์ คุณชายหยางสมเป็นเสาหลักของชาติจริงๆ”
ตอนที่ 575 ระเบียบการสอบบู๊ใหม่
เซียงฉือฟังเสียงชื่นชมที่เบื้องล่าง มีผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งลูบหนวดยิ้มละไมฟังคำวิจารณ์เหล่านั้น บางครั้งก็ผงกศีรษะให้ผู้คนรอบๆ มีท่าทางภาคภูมิใจ
อย่างไม่ต้องสงสัย เซียงฉือก็รู้ว่าจะต้องเป็นหยางกั๋วกงขุนพลบัณฑิตที่เลื่องชื่อของเซี่ยวจิ่งกั๋ว ผ่านไปครู่หนึ่งหยางจิ่นเฉิ่งก็สามารถผ่านเครื่องกีดขวางได้ทั้งหมด แล้วควบม้าวิ่งเหยาะๆ กลับไปยังจุดเริ่มต้น หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาขี่ม้าใหญ่ ซอกแซกไปมาในพวกเครื่องกีดขวาง เขาหยิบลูกธนูออกจากซองด้านหลังแล้วยิงออกไปทีละดอกๆ สายตาเซียงฉือจ้องไปยังชายหนุ่มชุดขาว ดุจราวได้เห็นเหอเจี่ยนสุยในวันวาน องอาจโดดเด่น หากเขาเป็นขุนศึกบัณฑิต ก็คงไม่ต่างไปจากนี้
หรงจิงเห็นเซียงฉือมองดูอย่างจริงจังจึงพูดหยอกนาง
“เซียงฉือชมจนหลงใหลไปเลย”
เซียงฉือถอนสายตากลับแล้วพูดอย่างไม่คิดอะไร
“ฝ่าบาททรงมองหม่อมฉันทำไมเพคะ หม่อมฉันไม่สามารถวิวาห์กับองค์หญิงได้สักหน่อย เรื่องการวิวาห์เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต จะให้จบๆ ไปได้อย่างไรเพคะ คุณชายหยางคนนี้อิสระสง่างาม มีวิชาความรู้ ชำนาญยุทธวิธีทั้งขี่ม้ายิงธนู ไม่ว่านิสัยหน้าตา การศึกษาชาติตระกูลล้วนดีเลิศไปทุกอย่าง เมื่อไรที่บรรลุนิติภาวะ ธรณีประตูบ้านคงถูกพวกแม่สื่อแม่ชักเหยียบกันจนพังเป็นแน่”
เซียงฉือไม่ได้พูดเสียงดัง หรงจิงได้ยินก็ผงกศีรษะ แล้วถามยิ้มๆ
“หรือเจ้าจะสนใจหยางจิ่นเฉิง เช่นนั้นให้เขาเป็นราชบุตรเขยดีไหม”
เสียงของหรงจิงก็ไม่ดังมาก แต่บรรดาขุนนางใหญ่ต่างพากันเงี่ยหูคอยฟังการสนทนาทางด้านเซียงฉือ แล้วก็มีขุนนางขุนศึกใหญ่หลายคนขยับใกล้เข้ามา
สำหรับบางคนแล้ว การได้เป็นราชบุตรเขยถือเป็นเกียรติยศของวงศ์ตระกูล แต่สำหรับบางคนแล้วไม่ใช่เช่นนั้น
เซียงฉือเห็นสายตาเมตตาเจือความน่าเกรงขามแบบขุนพลของหยางกั๋วกงมองมา
ยามเขายิ้มจะแลดูเป็นผู้เฒ่าเปี่ยมเมตตา อ่อนโยนเหมือนท่านปู่ แต่ทว่าสายตาที่มองเซียงฉือเมื่อครู่เย็นชาราวกับเผชิญหน้าศัตรู เซียงฉือไม่ทันตั้งตัวจึงเกิดความเกรงกลัวขึ้นมา
สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ เพียงพลังอำนาจที่แผ่ออกมานี้ ถึงกับทำให้เซียงฉือเด็กเมื่อวานซืนพูดอะไรไม่ออก
ยังดีที่มีมือของหรงจิงวางทาบอยู่บนมือนาง จึงได้มีความกล้าพอจะเอ่ยปาก
“หมิงอวี้ของพวกเรามีนิสัยเป็นเด็กอยู่ ไม่ใช่คู่ปรับของพวกคุณหนูตระกูลใหญ่พวกนั้น คงรับแรงริษยาที่ว่อนไปทั่วไม่ไหว หากฝ่าบาททรงรักหมิงอวี้ ก็ควรต้องทรงหาคนที่จะดีต่อนางและนางก็ชื่นชอบด้วยจึงจะถูกนะเพคะ”
หรงจิงได้ยินก็ยิ้ม หยางกั๋วกงมองดูเซียงฉือราวกับมีความหมายลึกซึ้ง
เซียงฉือผงกศีรษะให้เขาน้อยๆ ไม่พูดอะไรมาก แล้วทั้งสองก็ไม่ได้สื่อสารกันอีก
หยางจิ่นเฉิงยิงลูกธนูออกไปสิบดอกเข้าเป้าแปดดอก ฝีมือไม่ธรรมดา หรงจิงปรบมือขึ้นก่อนเหล่าขุนนางขุนศึกจึงได้ทำตาม หลังจากนั้นผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ก็ทดสอบแบบเดียวกัน บ้างร้องตะโกนดัง บ้างยิงถูกทุกครั้ง ล้วนได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ดีจากผู้คน การสอบสนามที่สามสนามสุดท้ายเป็นการแสดงทักษะความชำนาญในการต่อสู้ ซึ่งดูหยางจิ่นเฉิงแล้วเหมือนจะขัดข้องอยู่ เขานั่งคิ้วขมวดอยู่ในท้องพระโรง เซียงฉือเห็นท่าทางเขานั้นเหมือนกับเด็กที่จนปัญญาเมื่อรู้เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นดี
นางยิ้มน้อยๆ เข้าไปใกล้หูหรงจิงแล้วพูดเบาๆ จากนั้นหรงจิงพูดขึ้น
“เราจะเปลี่ยนวิธีทดสอบในสนามสุดท้ายนี้”
เกิดเสียงดังขึ้นอึงมี่ในท้องพระโรง หยางกั๋วกงถูกคนทั้งหลายผลักออกมา เขายืนอยู่ในแถวของขุนศึก
“เหล่านักรบต่างรู้ดีว่านักรบคือผู้เปี่ยมพลังและห้าวหาญ แต่เราคิดว่าผู้เป็นแม่ทัพจะต้องนั่งบัญชาการรบที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ ขุนศึกจะต้องบัญชาการอยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งในราชสำนักก็มีขุนพลบัณฑิตอย่างเช่นหยางกั๋วกงที่รบร้อยศึกไม่เคยพ่ายเช่นนี้อยู่”
“ครั้งนี้ที่เราเปิดสอบก็เพื่อต้องการคัดเลือกผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ เพื่อจะมาเป็นขุนศึกที่องอาจห้าวหาญที่สุดในราชสำนัก”