ตอนที่ 580 เซียงฉือขอความเมตตา
หรงจิงฟังแล้วผงกศีรษะไม่พูดอะไร ก็มีขุนนางอีกคนหนึ่งออกมาพูดว่า
“ทูลฝ่าบาท เจ้าโจรเซวียอวี้นี้อายุยังน้อยแต่มีความสามารถในการฆ่าคน กระหม่อมคิดว่าเขาอาจจะเป็นจารชนที่ทางแคว้นหรงเสวี่ยส่งมาเพื่อลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทโดยเฉพาะก็เป็นได้ ฝ่าบาทจะทรงชะล่าใจไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ทูลฝ่าบาท คนคนนี้หน้าตาดุร้าย ทุกกระบวนท่าล้วนอันตราย เห็นชัดว่ามีเจตนาชั่วร้าย ตามกฎหมายสมควรประหารเก้าชั่วโคตร ตัวผู้ทำความผิดจะต้องถูกสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงหันกายไปดูพวกขุนนางที่พูดซึ่งลุกออกมาจากแถวของตนเองคุกเข่าอยู่ในท้องพระโรง ทุกคนมีสีหน้าคร่ำเครียด ทั้งยังมีคนที่คิดอีกว่าเซวียอวี้ดูเหมือนโจรขบถ ถึงกับจะประหารเขาถึงเก้าชั่วโคตร
หรงจิงฟัง เซวียอวี้ได้ยิน เขาคุกเข่าไม่กล้าขยับ ถึงแม้บาดแผลที่ต้นคอกำลังมีเลือดหลั่งไหลออกมา เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด
หรงจิงเคาะลงไปบนคอเซวียอวี้เบาๆ เขายกมีดในมือขึ้นตรงหน้ามองดูรอยเลือดบนนั้นแล้วยิ้มราวปีศาจ
“เซวียอวี้ เจ้าคิดว่าเราควรลงโทษเจ้าอย่างไร”
หรงจิงถาม เซวียอวี้ร่างสั่นน้อยๆ แล้วจึงลนลานตอบว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาชาญ กระหม่อมล่วงเกินฝ่าบาทสมควรตาย แต่ว่าวงศ์ตระกูลไม่มีความผิด ขอทรงโปรดเห็นแก่กระหม่อมที่มิได้มีใจคิดคด ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่คนในตระกูลกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เซวี่ยอวี้ตัดสินใจพร้อมตายอยู่แล้วคำพูดจึงอ่อนล้าสิ้นเรี่ยวแรง คำพูดของขุนนางใหญ่พวกนั้นเหมือนค่อยๆ ผลักดันใจของเขาไปยังข้างหุบเหว
หรงจิงฟังคำพูดเขาแล้วยิ้ม หยางกั๋วกงยืนคิ้วขมวดอยู่กับที่มาโดยตลอดและไม่ปริปาก หยางจิ่นเฉิงก็เม้มปากไม่พูดเซียงฉือเห็นความผิดหวังแวบขึ้นในดวงตาหรงจิง จึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
มีดในมือหรงจิงถูกยกขึ้นช้าๆ เขาเป็นฮ่องเต้ ความน่าเกรงขามของเขาจะต้องเหนือกว่าสิ่งใด ฉู่อวิ๋นเซียวไม่อาจตายได้ ดังนั้นการที่เขากับเซียงฉือถูกทำให้ตกใจในวันนี้จึงมีเพียงคนเดียวที่ต้องรับผลทั้งหมด ยังดีที่เขายังฉลาดอยู่บ้าง
พวกขุนนางด้านล่างก็รู้ว่าความโกรธของฮ่องเต้จะต้องใช้เลือดสดๆ ชะล้าง เซวียอวี้คนนี้นับเป็นคนที่น่าสงสาร เขาจะเป็นเครื่องสังเวยไฟโทสะของฝ่าบาท ไม่มีใครกล้าที่จะทูลขอความเมตตา
หรงจิงยกมีดคิดจะสำเร็จโทษเขาด้วยมือตนเอง เหล่าขุนนางพากันก้มหน้าลงบ้างก็ปิดหน้า ในท้องพระโรงราวหยุดนิ่งจู่ๆ เสียงของเซียงฉือก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ
“ฝ่าบาท”
มีดของหรงจิงถูกเงื้อขึ้นแล้วแต่ต้องชะงักค้างเพราะเสียงของเซียงฉือ เมื่อนางเห็นเขาหยุดชะงักจึงเดินลงมาจากบนปะรำไปคุกเข่าอยู่ข้างๆ เซวียอวี้
“หม่อมฉันทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาทให้เซวียอวี้เพคะ ฝ่าบาทโปรดทรงไว้ชีวิตเขาด้วยเถิดเพคะ”
สายตาหรงจิงที่มองดูเซียงฉือเย็นเยือก แต่มีดในมือเขาค่อยๆ ลดลง
เซียงฉือเงยหน้ามองหรงจิงด้วยท่าทางอ้อนวอน
“เหตุใดเจ้าจึงขอความเมตตาให้เขา เขาเกือบจะทำร้ายเจ้าแล้ว”
เซียงฉือได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วพูดเบาๆ ว่า
“หม่อมฉันมีฝ่าบาทคอยปกปักรักษาย่อมไม่เป็นอะไรเพคะ แต่หม่อมฉันอยากทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาท” มือของเซียงฉือลูบอยู่บนท้อง หรงจิงมองดู พวกขุนนางก็แอบมอง ถึงแม้เรื่องเซียงฉือตั้งครรภ์จะรู้กันไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเพราะเลือดเนื้อในครรภ์เซียงฉือยังไม่ถึงสามเดือน
เซียงฉือคุกเข่ามองหรงจิงตรงๆ อยู่เช่นนั้น หรงจิงยิ้มแล้วทิ้งมีดในท้ายที่สุด
เขาทำท่าให้นางลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“ลุกขึ้นเถอะ วันนี้เราไม่ฆ่าคนแล้ว”
เซียงฉือยิ้มแล้วค้อมกาย ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ฝ่าบาททรงพระเมตตามีน้ำพระทัยกว้างขวาง หม่อมฉันสำนึกในพระกรุณาธิคุณเพคะ”
เซวียอวี้แทบจะเหมือนตกอยู่ในคุกแห่งความสิ้นหวังอย่างที่สุดแล้วรอดออกมาได้ เขาเงยหน้าเล็กน้อย มองดูเซียงฉือซาบซึ้งใจต่อนางจากใจจริง
เขาไม่กล้าพูด ได้แต่รัวโขกศีรษะจนมีเลือดซึมออกมา
ตอนที่ 581 หรงจิงโกรธ
หรงจิงสีหน้าเฉยเมยแต่ก็เดินกลับไปยังที่นั่งแล้วพูดขึ้นเย็นชา
“ลบชื่อออกจากการสอบแล้วขับออกนอกวังไปซะ”
เซียงฉือไม่พูดอะไรอีกได้แต่ค่อยๆ มองดู เรื่องนี้ต้องนับเป็นความโชคไม่ดีของเขา
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้หรงจิงหมดอารมณ์สนใจอีกต่อไป เขาสะบัดมือจบเรื่องนี้อย่างลวกๆ ด้วยการแต่งตั้งหยางจิ้นเฉิงเป็นจอหงวนเป็นอันเสร็จสิ้น
เพียงวันเดียวอวิ๋นผินก็เป็นที่โปรดปรานเหนือกว่าใครๆ ในวังหลัง ข่าวที่นางสามารถเปลี่ยนใจฝ่าบาทได้แพร่กระจายไปทั่ว ถึงแม้เซียงฉือไม่คิดว่าจะลงเอยเช่นนี้ แต่อย่างไรก็อยู่ในความคาดคะเนอยู่บ้าง
แต่ไม่มีใครรู้ว่า ในคืนนั้นเมื่อเซียงฉือติดตามหรงจิงกลับไปถึงตำหนักเจิ้งหยางแล้ว พอหรงจิงนั่งลงบนที่นั่ง เซียงฉือก็เดินเข้าไปเบื้องล่าง มองดูสีหน้าหรงจิงแล้วคุกเข่าลง
“หม่อมฉันรู้ดีว่าทำผิด ขอให้ฝ่าบาททรงลงโทษด้วยเพคะ”
สิ่งที่พวกขุนนางรู้เห็นต่างไปจากของอวิ๋นเซียงฉือกับหรงจิง อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่หรงจิงเป็นห่วง
เขาเป็นถึงฮ่องเต้ จะยอมให้ใครคลางแคลงในอำนาจของเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด ความน่ายำเกรงของเขาเหนือกว่าสิ่งใดๆ ทั้งปวง แต่วันนี้เซียงฉือถึงกับกล้านำเรื่องโอรสมาคุกคามเขา
พวกขุนนางใหญ่คิดกันว่าเป็นเพราะหรงจิงคำนึงถึงเซียงฉือที่ตั้งครรภ์อยู่และไม่ต้องการเห็นการหลั่งเลือด จึงยอมจบเรื่องไป แต่ว่าเซียงฉือไม่ได้ตั้งครรภ์มาก่อนเลย นางทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการขู่บังคับ
เพราะเซียงฉือรู้ว่าหากหรงจิงฆ่าเซวียอวี้ต่อหน้านางจริงๆ เรื่องที่นางตั้งครรภ์ ความรักที่หรงจิงมีให้นางในใจของขุนนางทั้งหลายจะกลับกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง
ถึงหรงจิงจะรู้ว่าโทษของเซวียอวี้ไม่ถึงตาย แต่เขาเป็นฮ่องเต้จะถูกใครทำให้ตกอยู่ในสภาวะอันตรายง่ายๆ ได้อย่างไรซึ่งเขายอมให้ไม่ได้
หรงจิงมองเซียงฉือโดยไม่พูดอยู่นาน จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร จึงหรี่ตามองเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่แล้วถามไปว่า
“เจ้ารู้ดีอยู่แล้วว่าเราจะไม่พอใจ ทำไมจึงยังพูดออกไปอีก”
เซียงฉือยังคงคุกเข่าไม่ลุกขึ้น นางหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
“แต่โบราณจอมทัพยืนผงาดอยู่บนกองกระดูก ราชันย์เดินอยู่บนทางโลหิตที่เต็มไปด้วยขวากหนาม เหยียบย่ำไปบนกองเลือดสดๆ ของคนนับไม่ถ้วน หม่อมฉันอยู่ข้างพระวรกายจึงรู้ว่าฝ่าบาททรงลำบากพระทัย หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ”
เซียงฉือหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนพูดต่อด้วยสายตาทนไม่ได้
“เพราะหม่อมฉันเข้าใจจึงไม่อาจทำไม่รู้ไม่เห็น ไม่สามารถทนความรู้สึกของจิตใจได้ ฝ่าบาทก็ทรงรู้ว่านั่นไม่ใช่เพราะมีเจตนา และถึงแม้เป็นเจตนาก็ไม่ใช่จากเขา ฝ่าบาททรงกระจ่างใจยิ่งแต่ก็ยังทรงต้องการชีวิตของเขา”
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหรงจิง ดวงตาวับวาวเจือความคาดหวัง
“ฝ่าบาททรงเป็นประมุขผู้ปรีชาชาญในสายตาของหม่อมฉัน กับคนที่ไม่สมควรถูกฆ่า ถึงหม่อมฉันจะปกป้องชีวิตของเขาอย่างเต็มที่ ก็ไม่เป็นการทำลายพระราชอำนาจเพคะ”
“เพราะนั่นเป็นชีวิตๆ หนึ่ง ฝ่าบาทก็มิได้ทรงมีพระประสงค์จะลงมือมิใช่หรือเพคะ”
ฟังเซียงฉือพูดเช่นนั้นสีหน้าหรงจิงยิ่งแย่ลง นับวันอวิ๋นเซียงฉือจะรู้ใจเขาชัดขึ้น นางทั้งฉลาดและความรู้สึกไว ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น
“อวิ๋นเซียงฉือ เจ้าคิดว่าเราโปรดเจ้ารักเจ้าแล้วเจ้าก็กล้านำเอาความรักของเรามาบีบข่มขู่ มาคาดเดาความคิดเราเช่นนั้นหรือ รู้หรือไม่ว่าเจ้ามีโทษถึงตาย”
ร่างเซียงฉือวูบไหวคุกเข่าลงอีกครั้ง ยามอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางหรงจิงยอมนางได้ แต่หากอยู่ข้างนอก หรงจิงจะไม่ใช่หรงจิง แต่เป็นประมุขของเซี่ยวจิ่งกั๋ว เขาเป็นจักรพรรดิ
เซียงฉือควรต้องรู้เรื่องนี้ให้ยิ่งกระจ่างชัดขึ้น อีกทั้งยังต้องใช้ความระมัดระวังยิ่งขึ้นในการอยู่ร่วม นางก้าวล้ำกฎระเบียบ ไม่คิดว่าหรงจิงจะโกรธถึงเพียงนี้
เขาสลัดชุดคลุมมังกรออกแล้วหมุนกายเดินออกจากตำหนักเจิ้งหยาง ทิ้งเซียงฉือให้คุกเข่าอยู่ในที่เดิม
เซียงฉือกลับตำหนักเจิ้งหยางพร้อมหรงจิง นางคุกเข่าอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางหนึ่งคืน ส่วนหรงจิงไปตำหนักเจียนเจียของโหรวผินดึกแล้วก็ยังไม่ได้กลับ