ตอนที่ 584 ข่าวลับจากมังกรเหิน
จุมพิตของหรงจิงยิ่งดื่มด่ำจนเซียงฉือต้องหอบหายใจกระชั้น
“ฝ่าบาท”
เสียงของซูกงกงดังขึ้นที่ด้านนอกพลันหยุดชะงัก ดวงตาหงส์เรียวยาวหม่นลงด้วยความไม่พอใจ เซียงฉือหัวเราะคิกอยู่ในอ้อมอกหรงจิง เขาจึงต้องปล่อยนางอย่างจำใจ
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจดังขึ้น
“มีเรื่องอะไร”
ซูกงกงอยู่อีกฟากหนึ่งของประตูได้ยินเสียงของหรงจิงเข้าอดไม่ได้ต้องสะท้านขึ้น แต่ก็พูดว่า
“ฝ่าบาท มังกรเหินมีข่าวด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงรู้ดีว่าซูกงกงจะไม่ขัดจังหวะเขาโดยไม่จำเป็น ซึ่งหมายความว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็รีบลุกขึ้น เซียงฉือได้ยินคำว่ามังกรเหิน นางรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่นางจะเข้าไปมีส่วนด้วยได้
หรงจิงลุกขึ้นแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็ออกไปด้านนอก เซียงฉือซุกกายอยู่ในผ้าห่มนวดขาที่เจ็บปวดทั้งคู่แล้วหัวเราะเบาๆ
ในที่สุดหรงจิงก็ไม่ปล่อยให้นางต้องคุกเข่าทั้งคืน เขาไม่อาจตัดนางได้ เซียงฉือลอบหัวเราะ
เรื่องบางอย่างนางสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ แต่ก็มีบางเรื่องที่ไม่รู้เสียเลยจะเป็นการดีที่สุด
หรงจิงออกจากหนิงอวี้เก๋อเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้ง มีชายสวมชุดดำคนหนึ่งก้มหน้าคุกเข่าอยู่ข้างหน้าพระที่นั่งอย่างเคร่งขรึม หรงจิงเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ถามขึ้นว่า
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หรงจิงพูดจบ คนคนนั้นก็โขกศีรษะลงพูดว่า
“ฝ่าบาท คนที่ส่งให้ติดตามคนกลุ่มนั้นพอไปถึงเทือกเขาสวินหลงฐานที่มั่นของขุนพลจินแล้วก็หายตัวไปพ่ะย่ะค่ะติดต่อไม่ได้มาสามวันแล้ว ใต้เท้าหลัวจึงรีบถวายรายงานด่วน มังกรเหินส่งพี่น้องเข้าไปสามชุดแต่จนบัดนี้ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย ใต้เท้าหลัวไม่สามารถตัดสินใจได้จึงได้ส่งผู้น้อยมาถวายรายงานฝ่าบาทและขอพระราชวินิจฉัยว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงขมวดคิ้ว ใต้เท้าหลัวคนนี้เป็นสายลับขั้นที่สามในมังกรเหิน และเป็นคนสนิทของหรงจิง
เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เซียงฉือพบกับคนกลุ่มนั้นในเทศกาลอวี้หลาน พวกเขาปฏิบัติการอยู่ในอวิ๋นหยาง หลังจากหรงจิงสืบรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเหอเจี่ยนสุย จึงลอบสืบในทางลับและส่งคนออกไป ด้านหนึ่งคอยสังเกตเหอเจี่ยนสุย อีกด้านหนึ่งตามสืบสาวเรื่องราวจากพวกคนชุดดำพวกนั้น
ที่มารายงานในครั้งนี้เพราะพวกที่ติดตามคนชุดดำพวกนั้นได้หายสาบสูญไป
หรงจิงไตร่ตรองแล้วจึงพูดว่า
“บอกหลัวเชียน ไม่สนใจว่าต้องแลกกับอะไร เราต้องการรู้ว่าคนๆ นั้นกำลังทำอะไร เรื่องนี้โยงใยถึงคนมากน้อยแค่ไหน เราจะตรวจสอบให้ถึงที่สุด”
“บอกหลัวเชียนให้ส่งคนออกไปอีก เราจะรีบโยกย้ายคนจากด้านอื่นให้เขาบัญชาการให้ดี เราจะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ที่สุด เรื่องนี้จะให้ผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด”
น้ำเสียงหรงจิงเย็นเฉียบ ชายที่สวมชุดดำได้ยินเช่นนั้นก็โขกศีรษะโดยแรงพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ใต้เท้าหลัวได้ตรวจสอบใต้เท้าเหอแล้วพบเงื่อนงำบางอย่างซึ่งเขารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัย จึงให้ข้าน้อยมาทูลให้ทรงทราบก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าหลัวตรวจพบว่าใต้เท้าเหอมีจดหมายลอบติดต่อกับองค์ชายซู่เยี่ยแห่งเป่ยหมิงกั๋วที่ตั้งอยู่บนฝั่งปิงไห่ แต่ยังไม่ได้หลักฐานแน่นหนาเพียงแต่ว่าใต้เท้าหลัวรู้สึกสงสัยในเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงพยักหน้าอย่างเข้าใจและเริ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมา เทือกเขาสวินหลงเป็นฐานที่ตั้งของขุนพลจิน เป็นชัยภูมิใหญ่ที่สำคัญที่สุดที่ตั้งอยู่ระหว่างหรงเสวี่ยกั๋วกับเยี่ยกวนกั๋ว ทหารตั้งทัพอยู่สามแสน เป็นดินแดนที่นักยุทธศาสตร์หมายแก่งแย่ง
พวกมันกำลังทำอะไรกันแน่ ทำไมสืบข่าวอะไรไม่ได้เลย หรือว่าขุนพลจินจะก่อกบฏ เช่นนั้นแล้วท่าทีของทางเยี่ยกวนกั๋วกับหรงเสวี่ยกั๋วจะเป็นอย่างไร เหตุใดจึงเลือกเทือกเขาสวินหลง แล้วเขากับพวกเป่ยหมิงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ผู้ชายคนนี้คงไม่สามารถดูแคลนได้แล้ว
หรงจิงสะบัดมือ ชายสวมชุดดำค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วหายไปในความมืด
ตอนที่ 585 โต้กันในท้องพระโรง
วันรุ่งขึ้นยังคงต้องเข้าประชุมราชสำนัก เนื่องเพราะวันก่อนฝ่าบาทได้ทรงกำหนดตัวจอหงวนทั้งบุ๋นและบู๊แล้ว วันนี้จึงเป็นวันแห่แหนจอหงวนทั้งสองพร้อมด้วยปั๋งเหยี่ยนและทั่นฮวาเลียบพระนคร หรงจิงไม่ได้ปลื้มกับเรื่องนี้เป็นพิเศษแต่อย่างไร ทั้งยังถูกขุนนางขุนศึกกลุ่มหนึ่งในราชสำนักก่อกวนจนปวดศีรษะ
วันก่อนหรงจิงไว้ชีวิตเซวียอวี้ ถึงจะเป็นเพราะอวิ๋นเซียงฉืออ้อนวอนขอไว้ ส่วนเขาเองแม้จะโกรธไม่พอใจแต่ก็รู้ว่าโทษของเซวียอวี้ไม่ถึงตายทั้งเขาเองก็ไม่ใช่ฮ่องเต้มัวเมาที่ชอบเข่นฆ่านัก ความจริงเรื่องน่าจะผ่านไปด้วยดี ทุกอย่างสามารถกลับคืนสู่ความปกติสุขได้
แต่พวกขุนนางใหญ่เหล่านั้นกลับไม่ยินยอมปล่อยผ่าน
ในการประชุมใหญ่ราชสำนักวันนี้ จอหงวนใหม่ได้เข้าไปเพื่อแสดงความสำนึกในพระกรุณาต่อเบื้องพระพักตร์ ทั้งท้องพระโรงควรชื่นมื่นไปด้วยความยินดีปรีดา ทว่าหรงจิงกลับไม่ปลอดโปร่งใจ
เหล่าขุนศึกภายใต้การนำของขุนพลจิน ขุนพลหลินอีกทั้งขุนนางบุ๋น ขุนนางทัดทานที่อิงอาศัยขุนพลจินต่างพากันถวายฎีกา กล่าวหาอวิ๋นเซียงฉืออยู่ฝ่ายในแต่ยุ่มย่ามงานเมือง ใช้เสน่ห์มอมเมาฝ่าบาท ก่อความสับสนต่อกฎระเบียบราชสำนัก
หรงจิงนวดหัวคิ้ว แล้วก็ได้ยินขุนนางอีกหลายคนก้าวออกจากแถวมาพูดอีก
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ เรื่องที่เซวียอวี้หมายลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทในตำหนักอิงอู่เมื่อวานนี้ไม่อาจปล่อยให้จบเรื่องได้โดยง่าย พระชายาอวิ๋นผินซึ่งอยู่ฝ่ายในควรต้องทรงช่วยแบ่งเบาความกังวลพระทัยของฝ่าบาท แต่เหตุใดไม่ทรงคำนึงถึงความปลอดภัยของพระองค์ ถึงกับทูลขอความเมตตาให้กับเจ้าโจรคนนั้น”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็นว่าอวิ๋นผินเป็นพระชายาฝ่ายใน สมควรต้องรักษาจารีตประเพณีของสตรี ปฏิบัติตนอยู่ในหลักความดีงาม เชื่อฟังสวามีเป็นใหญ่ ยำเกรงเหนือหัวยิ่งฟ้า แต่เหตุใดกลับสลับลำดับความสำคัญขอความเมตตาแก่โจร กระหม่อมคิดว่าพระชายาอวิ๋นผินทรงก้าวก่ายงานราชการ ไม่คำนึงถึงรากฐานบ้านเมือง กระทำผิดต่อจารีตและกฎหมาย ไม่สมควรถวายการรับใช้ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ตรวจลักษณะดวงดาวในตอนกลางคืนแล้ว พบว่าระยะนี้ข้างๆ ดาวจักรพรรดิของฝ่าบาทมีเงาภูติผีปีศาจก่อกวนอยู่ ซึ่งไม่เป็นมงคลยิ่ง ฝ่าบาททรงต้องเร่งจัดการเพื่อไม่ให้ประเทศชาติต้องตกอยู่ในความเสี่ยงนะพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงฟังคำพูดก่อนหน้าพวกนั้นยังพอจะฟังได้ แต่พอถึงหมอดูดวงดาวคนนี้พลันบันดาลโทสะขึ้นทันที
“บังอาจ”
“กล้าพูดจาเหลวไหลไร้สาระในราชสำนัก ทหาร นำตัวไปตีสามสิบไม้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
หรงจิงโกรธจริงๆ ตั้งแต่รู้ว่าจินกุ้ยเฟยไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอีกแล้วทำให้ขุนพลจินร้อนรนถึงกับเชิญเทพพยากรณ์จากหอดูดาวหลวงมาถวายฎีกาเช่นนี้ ทั้งคุกเข่าอยู่ในท้องพระโรงร่ำไห้ประณามอวิ๋นเซียงฉือว่าเป็นหญิงงามต้นเหตุแห่งหายนะ
ขุนพลหลินเห็นหรงจิงสั่งลงโทษเทพพยากรณ์ก็รีบลุกออกมาพูดเสียงดังตาขวาง
“ฝ่าบาท ฝ่ายในมีนางมารออกมาก่อความวุ่นวายในพระราชวังจนเกือบก่อเกิดอันตรายถึงพระชนม์ชีพ อีกทั้งยังขอความเมตตาให้กับเจ้าคนคิดคดนั่นอีก ฝ่าบาทอย่าได้ทรงตกอยู่ในความหลอกลวงลุ่มหลงที่จะทำให้ราชการเสียหายทำลายรากฐานนับร้อยปีของแคว้นเซียวจิ่งเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางทัดทานพรรคพวกอีกคนหนึ่งของขุนพลจินก็รีบลุกขึ้นพูดเช่นกัน
“ฝ่าบาท อวิ๋นผินกระทำการผิดแผกทั้งยังมาจากความเป็นนักโทษ การที่ฝ่าบาทสถาปนานางขึ้นเป็นผินก็เป็นการผิดจารีตอยู่แล้ว ควรต้องทรงให้ความเสมอภาคในฝ่ายใน สตรีคนนั้นช่างอิจฉาริษยา ไม่เคารพกฎระเบียบ ฝ่าบาทอย่าทรงถูกมอมเมา ครอบงำให้หลงใหลนะพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงบันดาลโทสะ เรื่องกราบทูลของพวกใต้เท้าทั้งหลายถี่ขึ้นเรื่อยๆ จินกุ้ยเฟยมีพวกขุนพลจินให้การสนับสนุนอยู่ในราชสำนัก ส่วนเซียงฉือไม่มีใครช่วยเหลือนางเลย หรงจิงมองพวกขุนนางบุ๋นบู๊ที่บังอาจตำหนิเซียงฉือว่าเป็นภูติผีปีศาจก่อกวนอยู่ในวังและยังรบเร้าให้เขาลงโทษหนักอย่างไม่หยุดหย่อน
หรงเฉิงเยี่ยเห็นพวกนั้นยิ่งทูลยิ่งไม่ใช่เรื่องกระทั่งอดรนทนไม่ไหวยืนออกมาในที่สุด
“ขุนพลหลิน ใต้เท้าเซียว พวกท่านอย่าได้ก้าวล้ำฐานะความเป็นข้าราชบริพารในพระองค์เสียล่ะ”
“ฝ่ายในเป็นเรื่องในครัวเรือนของเสด็จพี่ ในเมื่อใต้เท้าทั้งสองต่างรู้ว่าฝ่ายในไม่ควรก้าวก่ายงานเมือง แล้วไม่รู้หรือว่าขุนนางในราชสำนักไม่อาจสืบข่าวเรื่องราวภายในวังได้”
“ใต้เท้าทั้งสองสร้างความลำบากให้อวิ๋นผินขนาดนี้ ข้าชักสงสัยแล้วสิว่าพวกท่านมีเจตนาอื่นแอบแฝง”