บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 586 จิตใจสับสน / ตอนที่ 587 พบหลิ่วจุ้ยอีกครั้ง

ตอนที่ 586 จิตใจสับสน  

 

 

พอเหลียนชินอ๋องพูดจบ ภายในท้องพระโรงจึงสงบเงียบลงชั่วคราว เหลียนชินอ๋องพูดอย่างมีเจตนาเจาะจงซึ่งขุนนางทั้งหลายต่างฟังออก  

 

 

ทุกคนพากันคิดว่าอวิ๋นเซียงฉือไม่มีใครในราชสำนักนี้ ไม่มีใครคิดว่าเหลียนชินอ๋องจะเป็นคนออกมาตอบโต้ในทันทีฐานะของเขาในใจหรงจิงเป็นที่ประจักษ์ของทุกคน ดังนั้นคำพูดของเขาเพียงคำเดียวย่อมมีผู้ขานรับในราชสำนัก  

 

 

ขุนพลจินหน้าเครียดแต่ไม่พูดเรื่องอวิ๋นผินอีกต่อไป แต่มุ่งประเด็นไปที่เรื่องเซวียอวี้ว่าสมควรถูกประหารหรือไม่ขึ้นอีก  

 

 

หรงจิงฟังจนเบื่อหน่าย ดีที่หยางจิ่นเฉิงและเมิ่งอี้ถิงจอหงวนบู๊และบุ๋นเดินเข้าท้องพระโรงมา เรื่องนั้นจึงได้ยุติลง  

 

 

หยางจิ่นเฉิงกับเมิ่งอี้ถิงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหรงจิงทั้งคู่ ทั้งสองโขกศีรษะคารวะสามครั้ง  

 

 

“กระหม่อมหยางจิ่นเฉิง(เมิ่งอี้ถิง) ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีๆ หมื่นๆ ปี”  

 

 

เป็นการทำความเคารพเต็มรูปแบบ เพื่อเป็นตัวแทนนักศึกษาทั้งประเทศสำนึกในพระกรุณที่ฝ่าบาทโปรดให้มีการสอบคัดเลือกผู้มีความสามารถ  

 

 

หรงจิงสะบัดมือพูดขึ้น  

 

 

“ท่านทั้งสองลุกขึ้นเถิด หวังว่านักศึกษาใหม่ทั้งหลายจากการสอบครั้งนี้จะมีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ทุ่มเทเพื่อประชาชน จะได้ไม่เป็นการทรยศต่อความเชื่อมั่นที่เรามีต่อทุกท่าน”  

 

 

หรงจิงพูดให้กำลังใจแก่นักศึกษาทั่วหล้าเป็นการปิดท้าย  

 

 

เมื่อจอหงวนใหม่กราบไหว้เสร็จสิ้นก็ออกจากท้องพระโรงไป ส่วนหรงจิงยังคงปรึกษาเรื่องงานเมืองต่อกับพวกขุนนางใหญ่ แต่ดูเหมือนวันนี้เหล่าขุนนางใหญ่จะนำเรื่องของอวิ๋นเซียงฉือกับเซวียอวี้มาเป็นประเด็นหลักอย่างไม่ยอมเลิกราทำให้หรงจิงปวดศีรษะอย่างหนัก  

 

 

“ท่านทั้งหลายมีงานเมืองสำคัญอื่นใดจะกราบทูลอีกหรือไม่ ถ้าหากไม่มีก็เลิกประชุม”  

 

 

พอหรงจิงพูดเช่นนี้บรรดาขุนนางจึงมองหน้ากันเลิกลั่กไม่มีใครพูดอะไรอีก หรงจิงสะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนกายเลิกประชุม  

 

 

วันนี้หรงจิงควรต้องจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับผู้สอบได้สามอันดับแรกของทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊อันเป็นการแสดงความกรุณาแต่เป็นเพราะพวกขุนนางใหญ่จงใจก่อความยุ่งยากให้เขาจนหมดอารมณ์ไปในขณะนี้ จึงให้เลื่อนงานออกไปในทันที  

 

 

หรงจิงเรียกหรงเฉิงเยี่ยไว้ ทั้งสองคนจึงเดินไปด้วยกันช้าๆ บนทางระเบียง  

 

 

ท่าทางหรงจิงไม่มีความสุข หรงเฉิงเยี่ยเดินย่างก้าวตามอยู่ข้างหลังเขา เมื่อหรงจิงไม่พูด เขาจึงได้แต่นิ่งเงียบเป็นเพื่อน  

 

 

เดินไปได้สักครู่หรงจิงหยุดเท้าแล้วมองดูหรงเฉิงเยี่ย พูดขึ้นว่า  

 

 

“เฉิงเยี่ย ขุนนางใหญ่พวกนั้นนับวันยิ่งไม่เห็นเราที่เป็นฮ่องเต้คนนี้อยู่ในสายตา สมัยก่อนพวกเขาจะยุ่งแต่เรื่องราวในราชสำนักฝ่ายหน้า แต่ตอนนี้ยุ่งเข้าไปถึงเรื่องราวฝ่ายในแล้ว ช่างบังอาจมากขึ้นทุกวัน และใจนับวันก็ยิ่งลำพองขึ้น”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนใจ  

 

 

ฝ่าบาททรงเษกสมรสมานานแต่มีทายาทน้อยเหลือเกิน ถึงตอนนี้มีเพียงองค์หญิงสององค์เท่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของประเทศ ถือเป็นเรื่องระดับชาติเลยทีเดียว”  

 

 

“อวิ๋นผินมีวาสนาดียิ่ง ตอนนี้ก็ทรงครรภ์แล้วทั้งยังเป็นคนโปรดปรานของฝ่าบาทอีก คิดว่าคงมีใครที่ทนต่อไปไม่ได้แล้ว”  

 

 

หรงจิงฟังแล้วได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ เรื่องแบบนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้  

 

 

หรงจิงตบไหล่เขาแล้วถามว่า  

 

 

“ทำไมเจ้าต้องพูดออกไปเช่นนั้น เจ้าก็รู้เท่าทันความคิดพวกเขามิใช่หรือ ควรจะรู้ว่าเรื่องนี้คงจะไม่จบลงง่ายๆ แค่นี้แน่”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยไม่มีทีท่าสนใจ ทั้งยังพูดติดตลกอีกว่า  

 

 

“กระหม่อมคนโสดตัวคนเดียวไม่มีพันธะผูกพันจึงไม่กลัวพวกนั้นพูดเรื่องประหารเก้าชั่วโคตรอะไรนั่น ไยจะเกรงกลัวพวกนั้นไปทำไม อยากพูดอะไรก็พูดออกมา พวกนั้นคิดว่าอวิ๋นผินไม่มีใครในราชสำนักจึงรังแกได้ตามอำเภอใจ”  

 

 

หรงจิงฟังหรงเฉิงเยี่ยพูดทั้งยังแสดงอาการหัวเราะเยาะจึงร่วมหัวเราะไปด้วย แล้วจึงพูดขรึมๆ ขึ้นว่า  

 

 

“จะพูดเป็นเล่นไปเสียทุกเรื่องได้หรือไง”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยเกาศีรษะพูดว่า  

 

 

“ถึงแม้กระหม่อมจะไม่ใช่วีรบุรุษผู้กล้าแต่ก็ทนให้คนอ่อนแอกว่าถูกรังแกไม่ได้ พวกเขาบีบคั้นกันขนาดนั้น กระหม่อมไม่อาจทนดูต่อไปได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“แต่ว่าเสด็จพี่ ทรงมีแผนการรับมือกับเรื่องนี้หรืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 587 พบหลิ่วจุ้ยอีกครั้ง  

 

 

หรงจิงส่ายหน้าแล้วตบไหล่เขาพูดว่า  

 

 

“ช่างเถอะ แต่เราอยากจะบอกว่าอย่าได้บอกเรื่องนี้กับเซียงฉือ จะได้ไม่ทำให้นางไม่สบายใจ”  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยฟังแล้วพยักหน้า พูดตอบน้ำเสียงกำกวม  

 

 

“มิน่ากุ้ยเฟยจึงได้ริษยา แม้แต่กระหม่อมก็ชักทนไม่ได้แล้ว ฝ่าบาททรงรักใคร่อวิ๋นผินจริงๆ แต่ว่านางก็สมควรได้รับความรักจากฝ่าบาทเช่นนี้”  

 

 

หรงจิงฟังแล้วพยักหน้า  

 

 

หรงเฉิงเยี่ยมาตำหนักเจิ้งหยางวันนี้คิดว่าจะได้พบกับอวิ๋นเซียงฉือโดยที่ไม่รู้ว่านางไปยังกองโอสถเพื่อไปพบหลิ่วจุ้ยนางไม่ได้พบกันนานแล้วจึงบังเกิดความคิดถึง ในเมื่อนางได้รับสถาปนาเป็นผินแล้ว วันหน้าย่อมจะได้เป็นประมุขตำหนัก ฝ่าบาทรักใคร่นางและนางจึงคิดเรื่องจะหานางกำนัลอาวุโสที่มีความสามารถสักคนมาคอยรับใช้ใกล้ชิดตนเอง ซึ่งไม่อาจทำอย่างขอไปทีได้  

 

 

ตอนนี้ข้างกายเซียงฉือมีนางกำนัลสองคน ฮ่วนอวี่กับหลิวซูซึ่งล้วนเป็นคนข้างกายฝ่าบาท สามารถจัดการงานได้แคล่วคล่อง เป็นคนโปร่งใส เพียงบอกอะไรก็เข้าใจได้รวดเร็วเฉลียวฉลาด เซียงฉือรู้ว่าพวกนางเป็นคนที่ฝ่าบาทเชื่อใจซึ่งนางไม่อาจพาไปด้วยได้ ดังนั้นจึงคิดถึงหลิ่วจุ้ย  

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปในกองโอสถพิจารณาดูรอบๆ ไปทั่ว จู่ๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่น่ากลัวในคืนนั้นขึ้นมาถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึก นางไม่อยากเข้าไป จึงให้ฮ่วนอวี่เข้าไปสอบถาม  

 

 

“ใต้เท้าซู่เวิ่นอยู่ที่ไหน”  

 

 

ฮ่วนอวี่ไปเป็นเพื่อนเซียงฉือ ตำแหน่งหัวหน้ากองโอสถยังว่างอยู่ เซียงฉือไม่ต้องการพูดอะไรกับพวกนั้นมากนักจึงให้ฮ่วนอวี่รีบไปหาคนแล้วจะรีบกลับ ฮ่วนอวี่รับใช้ข้างกายฝ่าบาทจึงคุ้นเคยกับในวังดี นางพาคนเข้ามาถึงโถงหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะเพียงบอกกล่าวเรื่องราว ซู่เวิ่นก็หาเหตุผลส่งมอบคนคืนเซียงฉือไป  

 

 

เพราะฉะนั้นในเวลาไม่นานก็เห็นฮ่วนอวี่นำเงาร่างที่คุ้นเคยในชุดขาวนวลเดินออกมาจากด้านใน  

 

 

“หลิ่วจุ้ย?”  

 

 

เซียงฉือไม่ได้พบนางมาร่วมครึ่งปีแล้ว นอกจากว่านางจะเข้าเวรเบื้องพระพักตร์ ที่สำคัญคือนางไม่กล้าเข้าใกล้ตำหนักอวี้หยวน ยิ่งตอนนี้คนในตำหนักอวี้หยวนคนนั้นเคียดแค้นเซียงฉืออย่างยิ่ง ถ้าหากนางติดต่อสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับหลิ่วจุ้ยมากเกินไป ก็จะเป็นการทำร้ายนาง  

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปมองหลิ่วจุ้ยเรียกขึ้นเบาๆ ก็เห็นหลิ่วจุ้ยเดินเข้ามาหาอย่างดีใจ  

 

 

นางยืนอยู่เบื้องหน้าเซียงฉือ ทำความเคารพอย่างนอบน้อม  

 

 

“นางกำนัลหลิ่วจุ้ยถวายพระพรอวิ๋นผิน ของทรงพระเจริญพันปีเพคะ”  

 

 

เซียงฉือประคองนางขึ้นมาเห็นนางสะอื้นไม่หยุด ทั้งคู่พยายามควบคุมไว้ต่างมองกันและกันแล้วถามขึ้น  

 

 

“ช่วงนี้สบายดีไหม”  

 

 

แล้วทั้งคู่ต่างมองหน้ายิ้มให้กัน คนที่อยู่กับเรามาแต่เด็กเป็นไปได้ว่าจะเคียดแค้นเราที่สุด แต่คนที่รู้จักกันไม่นานอาจจะคิดห่วงใยเราทุกวัน เรื่องบางเรื่องยากพูดได้กระจ่าง แต่การจะมีใครสักคนที่สามารถเชื่อถือได้อยู่ในวังนี้ ช่างยากยิ่ง  

 

 

เมื่อเซียงฉือได้คนมาแล้วจึงเตรียมพานางออกไป ความจริงเรื่องนี้ปล่อยให้ฮ่วนอวี่มาจัดการก็สามารถทำได้ แต่เพราะเซียงฉืออยากพบกับหลิ่วจุ้ยไวๆ ทั้งยังอยากจะชมความงดงามในอุทยานหลวงอีกด้วย  

 

 

จึงได้ออกมาสักครั้ง  

 

 

วันนั้นเพราะต้องการช่วยนางให้หลุดออกมาจากจินกุ้ยเฟยจึงซ่อนนางไว้ที่นี่ เดิมทีคิดว่าต่อไปจะให้สวี่อี้ช่วยดูแลนางหรือให้นางทำหน้าที่อยู่ในกองราชเลขาก็ได้  

 

 

แต่ไม่คิดว่าตนเองจะกลายเป็นอวิ๋นผินได้รวดเร็วเช่นนี้  

 

 

เซียงฉือเดินทีละก้าวช้าๆ หลิ่วจุ้ยเกาะแขนเซียงฉืออย่างเกรงๆ เซียงฉือถามคำนางก็ตอบคำ จนเซียงฉือแปลกใจ  

 

 

นางสะบัดมือให้ฮ่วนอวี่เดินไปก่อน  

 

 

“พี่หลิ่วจุ้ย ทำไมจึงห่างเหินกับข้ารวดเร็วเช่นนี้ หรือว่าข้าทำอะไรไม่ดี ทำให้ท่านพี่ไม่พอใจหรือ” เซียงฉือถาม หลิ่วจุ้ยลนลานสะบัดมือ ตอนที่เซียงฉือเห็นหลิ่วจุ้ยเมื่อครู่ ก็มองออกว่าหลิ่วจุ้ยมีความเคารพอีกทั้งยำเกรงนาง  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset