บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 590 ที่อยู่ของเซียงฉือ / ตอนที่ 591 โต้เถียงในท้องพระโรง

ตอนที่ 590 ที่อยู่ของเซียงฉือ  

 

 

เซียงฉือไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในราชสำนักฝ่ายหน้าเพราะหรงจิงปิดข่าวอย่างแน่นหนา ทุกวันนางจึงมีความสุขเบิกบานใจอย่างยิ่ง บางครั้งนางทำงานปัก บางทีก็ออกไปเด็ดดอกเหมย ทำให้ภายในตำหนักฉินเจิ้งของหรงจิงมีบรรยากาศหนาวเย็นขึ้น  

 

 

หรงจิงเห็นนางเช่นนั้นแล้วสบายใจขึ้นมาก  

 

 

การประชุมใหญ่ราชสำนักในวันนั้นมีคนบอกว่าอวิ๋นเซียงฉือเป็นดาวจิ้งจอกที่จะมาป่วนฝ่ายใน ก่อกวนจนฝ่ายในไม่สงบสุข แต่หรงจิงกลับรู้สึกว่าการที่มีนางอยู่ด้วย เพียงได้เห็นนางก็รู้สึกได้ว่าทุกสิ่งล้วนดีงาม  

 

 

แต่พวกขุนนางใหญ่ที่น่าเบื่อหน่ายพวกนั้นกลับยื่นฎีกาได้ทุกวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถึงแม้หรงจิงจะไม่ให้เซียงฉือทำงานอ่านและคัดแยกรายงานแล้วก็ตาม แต่เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจดึงดันต่อไปได้อีก และเขาเองก็ไม่ต้องการยืดเยื้ออีกต่อไปแล้ว  

 

 

วันนี้มีประชุมใหญ่ราชสำนัก เมื่อหรงจิงขึ้นนั่งบนบัลลังก์และหลังจากเจ้าหน้าที่ต้อนรับประกาศเสียงดังแล้ว พวกขุนนางใหญ่ก็เรียงหน้ากันออกมายื่นฎีกาต่อต้านอวิ๋นเซียงฉือเรื่องที่ยังอยู่ในหนิงอวี้เก๋อ  

 

 

วันอื่นๆ หรงจิงจะปัดทิ้งไปเฉยๆ แต่วันนี้กลับนึกสนุก จึงพูดขึ้น  

 

 

“ใต้เท้าสวี่ ขุนพลหลิน พวกท่านยื่นหนังสือโวยวายว่าไม่อาจให้อวิ๋นผินอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางได้ติดต่อกันมาเจ็ดวันแล้ว  

 

 

เรื่องนี้เราก็พูดชัดเจนออกไปแล้วว่าตำหนักซีเฝ่ยที่พำนักของอวิ๋นผินยังไม่เสร็จ ในวังก็ไม่มีตำหนักใดที่เหมาะสมให้ย้ายเข้าไปอยู่ได้ พวกท่านยื่นหนังสือมาทุกวันเช่นนี้ จะให้อวิ๋นผินไปอยู่ที่ไหน”  

 

 

หรงจิงโยนฎีกาในมือลงไปอย่างแรง ขุนนางเบื้องล่างรู้ว่าหรงจิงโกรธแล้วส่วนใหญ่จึงไม่กล้าพูดอะไร แต่ขุนพลหลินไม่รู้เพราะเหตุใดจึงตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูกับอวิ๋นเซียงฉืออย่างถึงที่สุด เขาลุกออกไปโดยไม่เกรงกลัวหรงจิงจะลงโทษ  

 

 

“ทูลฝ่าบาท อวิ๋นผินทรงไม่รู้เรื่องมารยาท…”  

 

 

หรงจิงตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดว่า  

 

 

 

 

 

“ขุนพลหลิน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอวิ๋นผิน เราต้องการรู้เพียงว่าพวกท่านยื่นหนังสือเรียกร้องให้นางย้ายออกจากตำหนักเจิ้งหยางทุกวัน เราจึงถามพวกท่านว่าจะให้นางย้ายไปอยู่ที่ไหน”  

 

 

หรงจิงระเบิดโทสะรุนแรง ขุนนางด้านล่างต่างพากันเงียบ ขุนพลจินเห็นหรงจิงโกรธเช่นนั้นก็บังเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น ดูเหมือนครั้งนี้พวกเขาจะทำเกินเลยไปกระทั่งหรงจิงเดือดดาลขึ้นจริงๆ  

 

 

“ฝ่าบาททรงอย่าพิโรธ อย่าได้พิโรธเลยพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ขุนนางเบื้องล่างพากันขอให้หรงจิงระงับความโกรธสีหน้าหรงจิงจึงดีขึ้นบ้าง สายตาเขาเลื่อนไปเห็นหรงเฉิงเยี่ยที่ด้านข้างกำลังยิ้มอย่างสะใจอยู่  

 

 

ในตอนนั้นขุนพลหลินเริ่มตระหนกขึ้นบ้างแล้วจึงคุกเข่าลงไปพร้อมขุนนางเหล่านั้นไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าหากพูดอะไรออกไปในตอนนี้คงไม่ต่างจากเอาน้ำมันไปราดลงบนกองไฟ  

 

 

แต่กลับกลายเป็นหรงจิงที่ไม่ยินยอมขึ้นมาในตอนนี้  

 

 

“ขุนพลหลิน เราขอถามท่าน ท่านจะให้ย้ายอวิ๋นผินไปอยู่ที่ไหน”  

 

 

น้ำเสียงหรงจิงเย็นเยือกอย่างยิ่ง เหล่าขุนนางพากันฟุบกายต่ำไม่กล้าเงยหน้า  

 

 

หรงจิงเลือกที่จะถกเรื่องนี้ขึ้นในวันนี้ก็เพราะเขามีเหตุผล ในวันปกติพวกขุนศึกจะเพียงยื่นฎีกาแต่จะไม่ได้อยู่ประชุม หรงจิงสู้ทนมาหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้ถึงวันนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้สะสางทุกอย่างให้กระจ่างในท้องพระโรงนี้  

 

 

“ขุนพลหลิน”  

 

 

หรงจิงถามเขา ทว่าขุนพลหลินได้แต่อึกอักพูดไม่ออก ทำให้หรงจิงโกรธขึ้นมา  

 

 

เขามองไปยังพวกกองเชียร์ด้านข้าง ใต้เท้าสวี่ที่ดีแต่พูดพล่ามโดยไม่รู้อะไร อีกทั้งพวกขุนนางทัดทานที่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขาแล้วถามขึ้นว่า  

 

 

“ใต้เท้าสวี่ จะลองคิดหาที่ทางให้อวิ๋นผินดูหรือไม่”  

 

 

ขุนพลหลินนำทัพจับศึกมาโดยตลอดหารู้เรื่องตำหนักอะไรไหนบ้างที่ฝ่ายในไม่จึงอึ้งไปเมื่อถูกหรงจิงถาม แต่ใต้เท้าสวี่เป็นขุนนางบุ๋นอยู่ในอวิ๋นหยางตลอดมา ย่อมรู้จักทุกที่ทุกทางในนั้น  

 

 

จึงพูดขึ้นว่า  

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าตำหนักจู้เซียงของซูเฟยกับตำหนักเฮ่อเหลียนของจิ้งเฟยล้วนเหมาะที่จะเป็นที่พำนักชั่วคราวของอวิ๋นผินพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ครั้งนี้แม้แต่ใต้เท้าหลิ่วบิดาของจิ้งเฟยก็ทนฟังไม่ได้ จึงยิ้มเยาะพูดขึ้นว่า  

 

 

“พระชายาอวิ๋นผินทรงดำรงฐานะเป็นผินอีกทั้งยังทรงครรภ์มีฐานะสูงส่ง จะให้ทรงย้ายไปย้ายมาได้อย่างไร ควรต้องเป็นประมุขตำหนักใดตำหนักหนึ่งจึงจะถูกต้อง”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 591 โต้เถียงในท้องพระโรง  

 

 

พอใต้เท้าหลิ่วพูดจบก็มีขุนนางอีกคนหนึ่งออกมาพูดทันที  

 

 

“ซูเฟยทรงต้องควบคุมจัดการฝ่ายในมีงานมากมาย อีกทั้งยังต้องดูแลองค์หญิงอีก ยังจะให้ดูแลอวิ๋นผินได้อย่างไรส่วนจิ้งเฟยทรงมีสุขภาพไม่แข็งแรงนัก อวิ๋นผินทรงครรภ์อยู่ จะให้อยู่ร่วมกันได้อย่างไร”  

 

 

หรงจิงฟังดังนั้นแล้วก็พูดขึ้นเบ็ดเสร็จว่า  

 

 

“คิดใหม่”  

 

 

ใต้เท้าสวี่คนนั้นจึงส่งสายตาไปทางขุนพลจิน  

 

 

พวกคนที่ถวายฎีกาทุกวันนั้นเป็นการทำเพื่อจินกุ้ยเฟย แต่หากเอ่ยถึงตำหนักอวี้หยวนของจินกุ้ยเฟยออกมาในตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการยอมรับสารภาพเองโดยที่ไม่ทันได้ลงทัณฑ์ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทก็คิดอ่านเช่นนั้น  

 

 

จึงพากันลังเล ขุนพลจินส่งสายตาไปให้ขุนพลหลิน ขุนพลหลินเข้าใจเจตนาในทันทีจึงเดินไปเบื้องหน้าพูดขึ้น  

 

 

“ฝ่าบาท ตำหนักอวี้หยวนของจินกุ้ยเฟย…”  

 

 

คำพูดของขุนพลหลินเอ่ยออกไปได้เพียงครึ่งเดียว หรงเฉิงเยี่ยก็หัวเราะออกมาเสียงดัง  

 

 

“ขุนพลหลิน หางจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้ว จะให้อวิ๋นผินไปอยู่ที่ตำหนักอวี้หยวน ขุนพลหลินช่างรู้จักคิดเพื่อขุนพลจินกับจินกุ้ยเฟยจริงๆ”  

 

 

คำพูดเยาะเย้ยถากถางของหรงเฉิงเยี่ยทำให้ขุนพลหลินแดงก่ำไปทั้งใบหน้าโดยที่ไม่อาจโต้แย้งได้ หรงจิงฟังแล้วก็พ่นลมออกจมูกแล้วจึงพูดว่า  

 

 

“ขุนพลหลินไหนลองพูดซิว่าอวิ๋นผินควรโยกย้ายไปอยู่ที่ไหนจึงจะเหมาะสม”  

 

 

“อวิ๋นผินทรงครรภ์อยู่ เราเป็นถึงประมุขของแผ่นดิน หากแม้เพียงสถานที่ที่จะให้นางพักพิงยังให้ไม่ได้แล้วละก็ เราคงเป็นฮ่องเต้ที่ใช้การไม่ได้เลยจริงๆ”  

 

 

หรงจิงพลิกฎีกาในมือ ซูกงกงรีบคุกเข่าลง  

 

 

“ฝ่าบาทโปรดระงับพิโรธเถิดพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

บรรดาขุนนางใหญ่คุกเข่าลงทันที ขุนพลหลินรู้ว่าหรงจิงเดือดดาลจริงๆ แล้วก็รีบคุกเข่าเช่นกัน แล้วตะโกนเสียงดังพร้อมเหล่าขุนนางทั้งหลาย  

 

 

“ฝ่าบาทโปรดทรงระงับความกริ้วด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมกลัวแล้ว”  

 

 

หรงจิงมองดูพวกขุนนางด้านล่างที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแล้วหัวเราะเยาะออกมา  

 

 

“หวาดกลัว พวกท่านน่ะหรือหวาดกลัว ยื่นฎีกากดดันเราทุกวันนี่หรือกลัว นำเรื่องฝ่ายในมาบีบคั้นเรานี่หรือกลัว ปากแต่ละคนก็พูดว่าจะอุทิศตนสิ้นจนตัวตายเพื่อเรา แล้วทำไมเรื่องใหญ่มากมายในราชสำนักไม่ไปใส่ใจจัดการ มัวแต่มายุ่งอยู่กับว่าเราโปรดปรานชายาคนไหน วันวันคิดคำนวณอยู่แต่พวกแผนการในใจของพวกท่าน”  

 

 

“เราไม่มีโอรส พวกท่านก็รบเร้าทุกวัน พออวิ๋นผินทรงครรภ์ ทุกวันพวกท่านก็เอาแต่บีบคั้น นี่เป็นเพราะว่าเราตลอดมาปล่อยปละละเลยจนพวกท่านบังอาจขนาดนี้”  

 

 

เสียงของหรงจิงดังมากอีกทั้งคำพูดก็หนักหนา พวกขุนนางรู้ดีว่าตอนนี้หรงจิงกำลังพุ่งเป้าไปทางไหน พวกที่วันวันเอาแต่ถวายฎีกาในตอนนี้จึงถูกกระทบเข้าที่ใจ ส่วนพวกที่ไม่ได้ทำนั้นก็เบิกบานใจ  

 

 

แต่ไม่ว่าในใจจะเป็นอย่างไร สีหน้าล้วนเคร่งขรึมไปตามกัน  

 

 

หรงจิงกล่าวตำหนิ พวกที่คุกเข่าอยู่ในท้องพระโรงไม่กล้าส่งเสียง ภายในท้องพระโรงจึงสงบเงียบได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของคนเหล่านั้น หรงจิงหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า  

 

 

“ในเมื่อพวกท่านทั้งหลายคิดว่าเซียงฉือสมควรย้ายออกจากตำหนักเจิ้งหยาง ดังนั้นเราตัดสินใจแล้วว่าจะบูรณะตำหนักเฟิ่งอี๋เพื่อให้เซียงฉือย้ายเข้าไปอยู่ก่อน พวกท่านคงพอใจสินะ”  

 

 

“เรื่องของเซียงฉือก็สรุปจบเพียงเท่านี้”  

 

 

หรงจิงพูดจบก็ปิดตาอย่างเหนื่อยล้าแล้วกดขมัด แต่ขณะนั้นขุนพลหลินอีกทั้งพรรคพวกของขุนพลจินพากันแตกตื่นขึ้นทันที ตำหนักเฟิ่งอี๋เป็นตำหนักที่ประทับของฮองเฮา ถึงแม้ว่าตำแหน่งจะยังว่างอยู่ แต่ให้เซียงฉือเข้าไปอยู่ในตอนนี้ วันหน้าหากนางให้กำเนิดพระโอรส เช่นนั้นอวิ๋นเซียงฉือก็จะได้ดีขึ้นมาเพราะลูก ก้าวขึ้นตำแหน่งสูงอย่างง่ายดายที่ฝ่ายใน  

 

 

“ฝ่าบาท เรื่องนี้ทรงทำไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

อย่างไรขุนพลหลินก็เป็นคนของขุนพลจิน จึงย่อมที่จะไม่ยอมให้อวิ๋นเซียงฉือสมปรารถนาได้โดยง่ายเช่นนี้  

 

 

“ฝ่าบาท ตำหนักเฟิ่งอี๋เป็นที่ประทับของฮองเฮา อวิ๋นผินเป็นเพียงแค่ผิน หากจะให้นางเข้าไปอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋แบบนี้ไม่สมเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ขุนพลจินก็ไม่ได้เพียงอาศัยให้ผู้อื่นพูดแทนถ่ายเดียว เขาเองย่อมต้องออกมาแสดงจุดยืนบ้าง  

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset