ตอนที่ 590 ที่อยู่ของเซียงฉือ
เซียงฉือไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในราชสำนักฝ่ายหน้าเพราะหรงจิงปิดข่าวอย่างแน่นหนา ทุกวันนางจึงมีความสุขเบิกบานใจอย่างยิ่ง บางครั้งนางทำงานปัก บางทีก็ออกไปเด็ดดอกเหมย ทำให้ภายในตำหนักฉินเจิ้งของหรงจิงมีบรรยากาศหนาวเย็นขึ้น
หรงจิงเห็นนางเช่นนั้นแล้วสบายใจขึ้นมาก
การประชุมใหญ่ราชสำนักในวันนั้นมีคนบอกว่าอวิ๋นเซียงฉือเป็นดาวจิ้งจอกที่จะมาป่วนฝ่ายใน ก่อกวนจนฝ่ายในไม่สงบสุข แต่หรงจิงกลับรู้สึกว่าการที่มีนางอยู่ด้วย เพียงได้เห็นนางก็รู้สึกได้ว่าทุกสิ่งล้วนดีงาม
แต่พวกขุนนางใหญ่ที่น่าเบื่อหน่ายพวกนั้นกลับยื่นฎีกาได้ทุกวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถึงแม้หรงจิงจะไม่ให้เซียงฉือทำงานอ่านและคัดแยกรายงานแล้วก็ตาม แต่เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจดึงดันต่อไปได้อีก และเขาเองก็ไม่ต้องการยืดเยื้ออีกต่อไปแล้ว
วันนี้มีประชุมใหญ่ราชสำนัก เมื่อหรงจิงขึ้นนั่งบนบัลลังก์และหลังจากเจ้าหน้าที่ต้อนรับประกาศเสียงดังแล้ว พวกขุนนางใหญ่ก็เรียงหน้ากันออกมายื่นฎีกาต่อต้านอวิ๋นเซียงฉือเรื่องที่ยังอยู่ในหนิงอวี้เก๋อ
วันอื่นๆ หรงจิงจะปัดทิ้งไปเฉยๆ แต่วันนี้กลับนึกสนุก จึงพูดขึ้น
“ใต้เท้าสวี่ ขุนพลหลิน พวกท่านยื่นหนังสือโวยวายว่าไม่อาจให้อวิ๋นผินอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางได้ติดต่อกันมาเจ็ดวันแล้ว
เรื่องนี้เราก็พูดชัดเจนออกไปแล้วว่าตำหนักซีเฝ่ยที่พำนักของอวิ๋นผินยังไม่เสร็จ ในวังก็ไม่มีตำหนักใดที่เหมาะสมให้ย้ายเข้าไปอยู่ได้ พวกท่านยื่นหนังสือมาทุกวันเช่นนี้ จะให้อวิ๋นผินไปอยู่ที่ไหน”
หรงจิงโยนฎีกาในมือลงไปอย่างแรง ขุนนางเบื้องล่างรู้ว่าหรงจิงโกรธแล้วส่วนใหญ่จึงไม่กล้าพูดอะไร แต่ขุนพลหลินไม่รู้เพราะเหตุใดจึงตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูกับอวิ๋นเซียงฉืออย่างถึงที่สุด เขาลุกออกไปโดยไม่เกรงกลัวหรงจิงจะลงโทษ
“ทูลฝ่าบาท อวิ๋นผินทรงไม่รู้เรื่องมารยาท…”
หรงจิงตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดว่า
“ขุนพลหลิน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอวิ๋นผิน เราต้องการรู้เพียงว่าพวกท่านยื่นหนังสือเรียกร้องให้นางย้ายออกจากตำหนักเจิ้งหยางทุกวัน เราจึงถามพวกท่านว่าจะให้นางย้ายไปอยู่ที่ไหน”
หรงจิงระเบิดโทสะรุนแรง ขุนนางด้านล่างต่างพากันเงียบ ขุนพลจินเห็นหรงจิงโกรธเช่นนั้นก็บังเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น ดูเหมือนครั้งนี้พวกเขาจะทำเกินเลยไปกระทั่งหรงจิงเดือดดาลขึ้นจริงๆ
“ฝ่าบาททรงอย่าพิโรธ อย่าได้พิโรธเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางเบื้องล่างพากันขอให้หรงจิงระงับความโกรธสีหน้าหรงจิงจึงดีขึ้นบ้าง สายตาเขาเลื่อนไปเห็นหรงเฉิงเยี่ยที่ด้านข้างกำลังยิ้มอย่างสะใจอยู่
ในตอนนั้นขุนพลหลินเริ่มตระหนกขึ้นบ้างแล้วจึงคุกเข่าลงไปพร้อมขุนนางเหล่านั้นไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าหากพูดอะไรออกไปในตอนนี้คงไม่ต่างจากเอาน้ำมันไปราดลงบนกองไฟ
แต่กลับกลายเป็นหรงจิงที่ไม่ยินยอมขึ้นมาในตอนนี้
“ขุนพลหลิน เราขอถามท่าน ท่านจะให้ย้ายอวิ๋นผินไปอยู่ที่ไหน”
น้ำเสียงหรงจิงเย็นเยือกอย่างยิ่ง เหล่าขุนนางพากันฟุบกายต่ำไม่กล้าเงยหน้า
หรงจิงเลือกที่จะถกเรื่องนี้ขึ้นในวันนี้ก็เพราะเขามีเหตุผล ในวันปกติพวกขุนศึกจะเพียงยื่นฎีกาแต่จะไม่ได้อยู่ประชุม หรงจิงสู้ทนมาหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้ถึงวันนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้สะสางทุกอย่างให้กระจ่างในท้องพระโรงนี้
“ขุนพลหลิน”
หรงจิงถามเขา ทว่าขุนพลหลินได้แต่อึกอักพูดไม่ออก ทำให้หรงจิงโกรธขึ้นมา
เขามองไปยังพวกกองเชียร์ด้านข้าง ใต้เท้าสวี่ที่ดีแต่พูดพล่ามโดยไม่รู้อะไร อีกทั้งพวกขุนนางทัดทานที่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขาแล้วถามขึ้นว่า
“ใต้เท้าสวี่ จะลองคิดหาที่ทางให้อวิ๋นผินดูหรือไม่”
ขุนพลหลินนำทัพจับศึกมาโดยตลอดหารู้เรื่องตำหนักอะไรไหนบ้างที่ฝ่ายในไม่จึงอึ้งไปเมื่อถูกหรงจิงถาม แต่ใต้เท้าสวี่เป็นขุนนางบุ๋นอยู่ในอวิ๋นหยางตลอดมา ย่อมรู้จักทุกที่ทุกทางในนั้น
จึงพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าตำหนักจู้เซียงของซูเฟยกับตำหนักเฮ่อเหลียนของจิ้งเฟยล้วนเหมาะที่จะเป็นที่พำนักชั่วคราวของอวิ๋นผินพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้งนี้แม้แต่ใต้เท้าหลิ่วบิดาของจิ้งเฟยก็ทนฟังไม่ได้ จึงยิ้มเยาะพูดขึ้นว่า
“พระชายาอวิ๋นผินทรงดำรงฐานะเป็นผินอีกทั้งยังทรงครรภ์มีฐานะสูงส่ง จะให้ทรงย้ายไปย้ายมาได้อย่างไร ควรต้องเป็นประมุขตำหนักใดตำหนักหนึ่งจึงจะถูกต้อง”
ตอนที่ 591 โต้เถียงในท้องพระโรง
พอใต้เท้าหลิ่วพูดจบก็มีขุนนางอีกคนหนึ่งออกมาพูดทันที
“ซูเฟยทรงต้องควบคุมจัดการฝ่ายในมีงานมากมาย อีกทั้งยังต้องดูแลองค์หญิงอีก ยังจะให้ดูแลอวิ๋นผินได้อย่างไรส่วนจิ้งเฟยทรงมีสุขภาพไม่แข็งแรงนัก อวิ๋นผินทรงครรภ์อยู่ จะให้อยู่ร่วมกันได้อย่างไร”
หรงจิงฟังดังนั้นแล้วก็พูดขึ้นเบ็ดเสร็จว่า
“คิดใหม่”
ใต้เท้าสวี่คนนั้นจึงส่งสายตาไปทางขุนพลจิน
พวกคนที่ถวายฎีกาทุกวันนั้นเป็นการทำเพื่อจินกุ้ยเฟย แต่หากเอ่ยถึงตำหนักอวี้หยวนของจินกุ้ยเฟยออกมาในตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการยอมรับสารภาพเองโดยที่ไม่ทันได้ลงทัณฑ์ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทก็คิดอ่านเช่นนั้น
จึงพากันลังเล ขุนพลจินส่งสายตาไปให้ขุนพลหลิน ขุนพลหลินเข้าใจเจตนาในทันทีจึงเดินไปเบื้องหน้าพูดขึ้น
“ฝ่าบาท ตำหนักอวี้หยวนของจินกุ้ยเฟย…”
คำพูดของขุนพลหลินเอ่ยออกไปได้เพียงครึ่งเดียว หรงเฉิงเยี่ยก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ขุนพลหลิน หางจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้ว จะให้อวิ๋นผินไปอยู่ที่ตำหนักอวี้หยวน ขุนพลหลินช่างรู้จักคิดเพื่อขุนพลจินกับจินกุ้ยเฟยจริงๆ”
คำพูดเยาะเย้ยถากถางของหรงเฉิงเยี่ยทำให้ขุนพลหลินแดงก่ำไปทั้งใบหน้าโดยที่ไม่อาจโต้แย้งได้ หรงจิงฟังแล้วก็พ่นลมออกจมูกแล้วจึงพูดว่า
“ขุนพลหลินไหนลองพูดซิว่าอวิ๋นผินควรโยกย้ายไปอยู่ที่ไหนจึงจะเหมาะสม”
“อวิ๋นผินทรงครรภ์อยู่ เราเป็นถึงประมุขของแผ่นดิน หากแม้เพียงสถานที่ที่จะให้นางพักพิงยังให้ไม่ได้แล้วละก็ เราคงเป็นฮ่องเต้ที่ใช้การไม่ได้เลยจริงๆ”
หรงจิงพลิกฎีกาในมือ ซูกงกงรีบคุกเข่าลง
“ฝ่าบาทโปรดระงับพิโรธเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขุนนางใหญ่คุกเข่าลงทันที ขุนพลหลินรู้ว่าหรงจิงเดือดดาลจริงๆ แล้วก็รีบคุกเข่าเช่นกัน แล้วตะโกนเสียงดังพร้อมเหล่าขุนนางทั้งหลาย
“ฝ่าบาทโปรดทรงระงับความกริ้วด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมกลัวแล้ว”
หรงจิงมองดูพวกขุนนางด้านล่างที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแล้วหัวเราะเยาะออกมา
“หวาดกลัว พวกท่านน่ะหรือหวาดกลัว ยื่นฎีกากดดันเราทุกวันนี่หรือกลัว นำเรื่องฝ่ายในมาบีบคั้นเรานี่หรือกลัว ปากแต่ละคนก็พูดว่าจะอุทิศตนสิ้นจนตัวตายเพื่อเรา แล้วทำไมเรื่องใหญ่มากมายในราชสำนักไม่ไปใส่ใจจัดการ มัวแต่มายุ่งอยู่กับว่าเราโปรดปรานชายาคนไหน วันวันคิดคำนวณอยู่แต่พวกแผนการในใจของพวกท่าน”
“เราไม่มีโอรส พวกท่านก็รบเร้าทุกวัน พออวิ๋นผินทรงครรภ์ ทุกวันพวกท่านก็เอาแต่บีบคั้น นี่เป็นเพราะว่าเราตลอดมาปล่อยปละละเลยจนพวกท่านบังอาจขนาดนี้”
เสียงของหรงจิงดังมากอีกทั้งคำพูดก็หนักหนา พวกขุนนางรู้ดีว่าตอนนี้หรงจิงกำลังพุ่งเป้าไปทางไหน พวกที่วันวันเอาแต่ถวายฎีกาในตอนนี้จึงถูกกระทบเข้าที่ใจ ส่วนพวกที่ไม่ได้ทำนั้นก็เบิกบานใจ
แต่ไม่ว่าในใจจะเป็นอย่างไร สีหน้าล้วนเคร่งขรึมไปตามกัน
หรงจิงกล่าวตำหนิ พวกที่คุกเข่าอยู่ในท้องพระโรงไม่กล้าส่งเสียง ภายในท้องพระโรงจึงสงบเงียบได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของคนเหล่านั้น หรงจิงหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า
“ในเมื่อพวกท่านทั้งหลายคิดว่าเซียงฉือสมควรย้ายออกจากตำหนักเจิ้งหยาง ดังนั้นเราตัดสินใจแล้วว่าจะบูรณะตำหนักเฟิ่งอี๋เพื่อให้เซียงฉือย้ายเข้าไปอยู่ก่อน พวกท่านคงพอใจสินะ”
“เรื่องของเซียงฉือก็สรุปจบเพียงเท่านี้”
หรงจิงพูดจบก็ปิดตาอย่างเหนื่อยล้าแล้วกดขมัด แต่ขณะนั้นขุนพลหลินอีกทั้งพรรคพวกของขุนพลจินพากันแตกตื่นขึ้นทันที ตำหนักเฟิ่งอี๋เป็นตำหนักที่ประทับของฮองเฮา ถึงแม้ว่าตำแหน่งจะยังว่างอยู่ แต่ให้เซียงฉือเข้าไปอยู่ในตอนนี้ วันหน้าหากนางให้กำเนิดพระโอรส เช่นนั้นอวิ๋นเซียงฉือก็จะได้ดีขึ้นมาเพราะลูก ก้าวขึ้นตำแหน่งสูงอย่างง่ายดายที่ฝ่ายใน
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ทรงทำไม่ได้อย่างเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ”
อย่างไรขุนพลหลินก็เป็นคนของขุนพลจิน จึงย่อมที่จะไม่ยอมให้อวิ๋นเซียงฉือสมปรารถนาได้โดยง่ายเช่นนี้
“ฝ่าบาท ตำหนักเฟิ่งอี๋เป็นที่ประทับของฮองเฮา อวิ๋นผินเป็นเพียงแค่ผิน หากจะให้นางเข้าไปอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋แบบนี้ไม่สมเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนพลจินก็ไม่ได้เพียงอาศัยให้ผู้อื่นพูดแทนถ่ายเดียว เขาเองย่อมต้องออกมาแสดงจุดยืนบ้าง