ตอนที่ 592 เรื่องราวฝ่ายใน
แต่หรงจิงก็เพียงแค่พ่นลมเย็นออกจมูก พูดว่า
“หรือขุนพลจินจะคิดว่าเรื่องในฝ่ายในของเราสมควรต้องให้ท่านยื่นมือเข้ามาจัดการ”
หรงจิงพูดเช่นนั้นขุนพลจินรีบโขกศีรษะลงทันที
“ฝ่าบาท กระหม่อมมิได้มีใจเช่นนั้น ฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”
หรงจิงฟังแล้วพ่นลมออกจมูก
“เราตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ก็ให้ไปจัดการตามนี้”
หรงจิงเพียงพูดจบ ขุนพลหลินเห็นขุนพลจินตกอยู่ในสภาพลำบากเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นพูดว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาดพะย่ะค่ะ อวิ๋นผินทรงมีชาติกำเนิดต่ำต้อยจะให้เข้าไปอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋ได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่ชอบด้วยเหตุผล ขอฝ่าบาทโปรดทรงระงับคำสั่งด้วยเถิดพะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นกระหม่อมจะคุกเข่าไม่ลุกขึ้นเช่นนี้ตลอดไปพะย่ะค่ะ”
หรงจิงถูกขุนพลหลินคุกคามเช่นนั้น ประกายความเย็นเฉียบสายหนึ่งแวบขึ้นในดวงตายาวรี
เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“ในเมื่อขุนพลหลินมีความตั้งใจเช่นนี้ก็คุกเข่าไปเถิด เราไม่เคยต้องรับการข่มขู่จากผู้ใด”
พูดจบหรงจิงก็สะบัดแขนเสื้อหมุนกายเดินออกไปจากท้องพระโรง
ในท้องพระโรง เหล่าขุนนางพากันทยอยออกไป เหลือเพียงขุนพลหลินคุกเข่าโดดเดี่ยวอยู่บนพื้นเพียงลำพังหนาวเย็นเสียดกระดูก เขาเองก็อายุมากแล้วแต่ตอนนี้ก็ไม่อาจไม่คุกเข่าอยู่แบบนั้น
หรงจิงเองก็อารมณ์เสีย หากขุนพลหลินไม่ยอมอ่อนข้อให้ ไม่มีทางที่เขาจะยกเลิกคำสั่งอย่างเด็ดขาด
ขุนพลหลินแสดงสีหน้าลำบากใจ เรื่องนี้อวิ๋นเซียงฉือไม่ได้รับรู้อะไร นางจัดแจงเสื้อผ้าทั้งหลายอยู่ภายในห้อง
ตั้งแต่หลิ่วจุ้ยมาอยู่ข้างกายนาง วันเวลาของเซียงฉือก็ไม่จืดชืดอีกต่อไป บางครั้งทั้งคู่จะช่วยกันเลือกลวดลายออกมาหลายๆ แบบ ตัดกระโปรงแล้วปักลงไป
เมื่อก่อนอวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีมีรายจ่ายไม่มาก แต่พอได้เป็นอวิ๋นผินแล้วถึงจะไม่ต้องดูแลทั้งวังแต่ก็ยังต้องใช้จ่ายโน่นนี่บ้างซึ่งเป็นเงินจำนวนไม่น้อย
นางไว้ใจหลิ่วจุ้ย จึงมอบหมายให้นางเป็นคนจัดการเรื่องนี้
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ถูกหลิ่วจุ้ยพบเห็นเข้าอย่างรวดเร็วซึ่งก็คือเรื่องที่ว่าเซียงฉือไม่ได้ตั้งครรภ์
วันนี้เซียงฉือมีระดู เลือดระดูเปรอะเลอะกระโปรง หลิ่วจุ้ยเป็นคนคอยรับใช้ใกล้ชิด เรื่องนี้จึงไม่อาจปิดบังนางได้
“อวิ๋นผิน ทรงแท้งหรือทรงมีระดูเพคะ”
เซียงฉือเห็นนางถามเช่นนั้นก็ปิดปากนางแล้วดึงนางเข้าไปในห้องพูดว่า
“ก็มีระดูนั่นแหละ แต่ว่าเรื่องนี้ห้ามพูดออกไปเชียว ไม่อย่างนั้นจบแน่ชีวิตเจ้ากับข้า”
ถึงแม้ระดูของเซียงฉือจะมาตรงเวลา แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นเพราะอากาศหนาวหรืออย่างไร จึงได้รู้สึกทรมานนางฝืนปิดปากหลิ่วจุ้ยต่อไปไม่ไหว จึงถอยร่นลงไปนั่งสีหน้าเจ็บปวดอยู่บนเก้าอี้
หลิ่วจุ้ยรีบโผเข้าไปหาอย่างตระหนกพูดขึ้นว่า
“เซียงฉือ เรื่องนี้มีโทษถึงประหารเชียวนะ ถ้าหากฝ่าบาททรงรู้เข้า หรือพระชายาตำหนักไหนทรงรู้เข้าล่ะก็ จะต้องให้เจ้าตายแน่ๆ”
“อวิ๋นผินช่างเหลวไหลเสียจริง”
หลิ่วจุ้ยคุกเข่ากอดเซียงฉือไว้แล้วทอดถอนอย่างเศร้าใจ เซียงฉือได้แต่ฝืนยิ้ม นางคิดจะบอกความจริงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญ ทั้งนางเองก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเหตุใดฝ่าบาทจึงทำเช่นนี้ หากพูดไม่คิดออกไปในตอนนี้ เกรงว่าหลิ่วจุ้ยไม่สามารถเข้าใจได้
ถึงเวลานั้นหากไปแสดงอะไรออกไปต่อหน้าคนอื่น ที่ทำมาจะมิเสียเปล่าหรอกหรือ เซียงฉือส่ายหน้าน้อยๆ พูดปลงๆว่า
“พี่หลิ่วจุ้ย ข้าย่อมมีวิธีการเจ้าไม่ต้องกังวลเพราะข้าหรอกนะ คอยดูแลข้าให้เหมือนกับคนท้องคนหนึ่งก็แล้วกัน”
“กระโปรงที่เปื้อนเลือดพวกนี้จะต้องจัดการอย่างรอบคอบจะให้ใครข้างนอกเห็นไม่ได้ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
หลิ่วจุ้ยขมวดคิ้ว มองดูเซียงฉือแล้วถอนใจยาว แต่ก็ทุบขา เช็ดน้ำตาแล้วหมุนกายออกไป
ตอนที่ 593 ขัดเคือง
หลังจากหลิ่วจุ้ยออกไปไม่นานหรงจิงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเซียงฉือจึงถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“เจ้าเป็นอะไรไป”
“ไม่สบายหรือไม่ เราจะให้หมอหลวงมาตรวจเจ้า”
หลิ่วจุ้ยเพิ่งกลับเข้ามาได้ยินคำพูดหรงจิงเข้า นางตระหนกจนแทบจะทำอ่างไม้ในมือหล่นลงพื้น เมื่อลนลานตั้งตัวแล้วก็หมุนกายเตรียมเดินจากไป
หรงจิงสังเกตเห็นความลนลานของนางจึงเรียกไว้
“หลิ่วจุ้ย ยังไม่เข้ามาอีก”
“แต่ละคนพากันปฏิวัติหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือว่าเซียงฉือทรมานอยู่ ยังไม่รีบไปเชิญหมอหลวง เจ้าเป็นถึงนางกำนัลอาวุโส พวกเสื้อผ้าเปลี่ยนซักยังต้องให้เจ้าลงมือเองหรืออย่างไร เรื่องเล็กน้อยพวกนี้…”
เซียงฉือจับมือหรงจิงเบาๆ สะกิดอย่างนุ่มนวลบนใจกลางฝ่ามือ หรงจิงหันกายกลับมา คำพูดที่รุนแรงกว่านั้นจึงไม่ได้หลุดออกไป
เซียงฉือเห็นตั้งแต่ที่เขาเข้ามาแล้วว่าอารมณ์เขาไม่ดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของนางจึงทำให้เขาบังเกิดความขุ่นข้องหมองใจเช่นนี้ เมื่อถูกเซียงฉือจับไว้เบาๆ อารมณ์จึงดีขึ้นมาก พอเขาสะบัดมือ หลิ่วจุ้ยก็รีบประคองอ่างซักผ้าออกไปอย่างเร่งด่วน
เซียงฉือโอบกอดหรงจิงไว้ พูดอย่างน่าสงสาร
“ฝ่าบาททรงโกรธเคืองพวกขุนนางมาจากฝ่ายหน้า เหตุใดต้องมาลงกับหลิ่วจุ้ยเล่าเพคะ มิสู้ทรงเล่าให้หม่อมฉันฟังดีกว่าว่าขุนนางไม่ประสาคนไหนกันที่ทำให้ฝ่าบาทของพวกเราไม่ทรงสำราญเช่นนี้ หม่อมฉันจะยอมเป็นคนถ่อยคอยทิ่มแทงเขาทุกๆ วันเลยทีเดียว”
หรงจิงฟังแล้วก็ยิ้ม เขาขมวดคิ้วมองดูเซียงฉือแล้วถามขึ้น
“ทำไมสีหน้าของเจ้าดูแย่นัก หรือจะป่วยจริงๆ เรื่องราชสำนักฝ่ายหน้าเจ้าไม่ต้องกังวล มีหรือที่เราจะปล่อยให้พวกเฒ่าหัวดื้อพวกนั้นมารังแกได้ ตามซู่เวิ่นมาตรวจสักหน่อยดีไหม”
เซียงฉือส่ายหน้าแล้วดึงหรงจิงนั่งลง ทั้งคู่มองสบตากันหวานล้นในใจ
“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมากเพคะ คงเป็นเพราะระยะนี้ดื่มยาบำรุงมากเกินไปร่างกายก็เลยรับไม่ค่อยได้ พอมีรอบเดือนจึงปวดขึ้นมา กับคนภายนอกหม่อมฉันกำลังตั้งครรภ์อยู่เรื่องนี้จึงไม่อาจให้หลุดออกไปได้ ดังนั้นจึงต้องให้คนที่เชื่อถือได้ไปจัดการ ฝ่าบาทอย่าทรงกล่าวโทษหลิ่วจุ้ยเลยเพคะ”
หรงจิงฟังจบก็ผงกศีรษะพูดขึ้น
“สมควรต้องมีคนที่ไว้ใจได้อยู่ข้างกายเจ้าสักคนหนึ่ง เรื่องอื่นใดใช้ให้พวกฮ่วนอวี่ไปจัดการก็ได้ เจ้าสามารถวางใจได้เช่นกัน”
เซียงฉือยิ้มน้อยๆ ถามขึ้นว่า
“เรื่องของหม่อมฉันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของผู้หญิง ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเพคะ ฝ่าบาทเร่งรีบเสด็จมาเช่นนี้ หรือจะทรงมีรับสั่งสิ่งใดเพคะ”
เซียงฉือพูดเช่นนี้หรงจิงเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วหรี่ตาตอบว่า
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
“หรือว่าจะสื่อเข้าถึงจิตใจเราได้จริงๆ”
เซียงฉือปิดปากหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดหรงจิง นางพูดว่า
“หม่อมฉันเพียงแต่ใส่ใจฝ่าบาท ในเวลานี้หากไม่ใช่ทรงมีเรื่องอันใด ฝ่าบาทก็ยังจะทรงจัดการราชกิจอยู่ ไหนเลยจะมาหาหม่อมฉันได้ จึงคิดว่าคงต้องมีเรื่องจะรับสั่งกับหม่อมฉันเพคะ”
“ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชา กระทำการใดๆ ล้วนมีลำดับขั้นตอนแจ้งชัดเพคะ”
เซียงฉือยิ้มจางๆ หรงจิงจิ้มปลายจมูกนาง รอยยิ้มยิ่งแจ่มใส
“มีเรื่องหนึ่ง หลายวันก่อนเราสั่งให้คนซ่อมแต่งตำหนักเฟิ่งอี๋เพื่อให้เจ้าเข้าไปอยู่ก่อนสักระยะหนึ่ง รอถึงปีหน้าเมื่อเราปรับปรุงตำหนักซีเฝ่ยเสร็จแล้วค่อยให้เจ้าไปอยู่ เราเคยบอกไว้แล้วว่าจะไม่อยุติธรรมต่อเจ้า”
เซียงฉือฟังว่าให้ไปอยู่ตำหนักเฟิ่งอี๋ นางหวาดหวั่นขึ้นมาดึงชายเสื้อหรงจิงไว้แล้วรีบคุกเข่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงชายาผิน จะให้เข้าอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋ได้อย่างไร เป็นการไม่เคารพยำเกรงอย่างยิ่ง หม่อมฉันมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทก็เป็นโชคอันใหญ่หลวงยิ่งแล้ว
ฝ่าบาทยังทรงรักเอ็นดูหม่อมฉัน นับเป็นวาสนาของหม่อมฉันแล้ว แต่หากทรงโปรดปรานจนเกินไปเช่นนี้ ย่อมจะมีคนจำนวนมากไม่ว่าจากภายในหรือภายนอกพระราชวังที่จะไม่พอใจ หม่อมฉันไม่ประสงค์ให้ฝ่าบาทต้องทรงลำบากพระทัยเพคะ”
เซียงฉือกล่าวทุกถ้อยคำด้วยความจริงใจ หรงจริงซาบซึ้งใจ นางยอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อผลดีกับทุกฝ่ายและเพื่อไม่ต้องให้เขายุ่งยากใจ ทำให้เขายิ่งรู้สึกเมตตาสงสารยิ่งขึ้น