บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 598 ขุนพลต่อต้าน / ตอนที่ 599 ทำโทษคุกเข่ากลางหิมะ

ตอนที่ 598 ขุนพลต่อต้าน  

 

 

ตาของเซียงฉือค่อยๆ หรี่ลง นางมองซูเฟยแล้วพูดเยาะ  

 

 

“พี่หญิงทรงชอบแหย่น้องนัก ข่าวแบบนี้มีค่าพอให้พี่หญิงเห็นเป็นเรื่องสำคัญหรอกหรือเพคะ”  

 

 

พอฟังเซียงฉือพูดเช่นนี้ซูเฟยก็ยิ้ม ยุดแขนเซียงฉือไว้แล้วพูดต่อ  

 

 

“พี่ก็รู้ว่าอวิ๋นผินของพวกเรามีความสนใจใคร่รู้มากมาย แต่น้องหญิงฟังพี่นะ ช่วงนี้เจ้าควรต้องดูแลตนเองให้ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อิทธิพลบ้านสกุลจินสลับซับซ้อนยิ่ง ตราบใดที่บ้านสกุลจินไม่ล้ม จินกุ้ยเฟยก็ยังคงเป็นจินกุ้ยเฟยอยู่วันยังค่ำ”  

 

 

เซียงฉือฟังแล้วก็มองดูท่าทางสุขุมมากประสบการณ์ของซูเฟย แล้วหัวเราะขึ้นเสียงดัง  

 

 

“พี่หญิงรับสั่งถูกต้องแล้ว ไม่ทราบว่าพี่หญิงทรงมีใครในราชสำนักที่จะรับมือพวกบ้านขุนพลจินหรือพวกที่ยืนอยู่คนละมุมกันหรือไม่เพคะ”  

 

 

สีหน้าซูเฟยเย็นชา เซียงฉือจึงพูดต่อ  

 

 

“หม่อมฉันไม่มี พี่หญิงซูเฟยก็ไม่มี เช่นนั้นแล้วพวกเรามีสิ่งใด ก็เพียงฝ่าบาทเท่านั้น  

 

 

ไม่ว่าจะเป็นบ้านขุนพลจินหรือจินกุ้ยเฟย ต่างล้วนพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน หากจินกุ้ยเฟยล้มแล้ว บ้านสกุลจินก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน พี่หญิงว่าใช่หรือไม่เพคะ”  

 

 

เมื่อสายตาซูเฟยสบเข้ากับสายตาอ่อนโยนของเซียงฉือ ขณะหนึ่งนั้นนางขนลุกซู่ตัวสั่นขึ้นน้อยๆ  

 

 

เซียงฉือยิ้มน้อยๆ สูดจมูกเบาๆ แล้วถามต่อด้วยความสนใจ  

 

 

“พี่หญิงทรงเกี่ยวข้องอันใดกับวั่นกวงกงกงเพคะ”  

 

 

ร่างซูเฟยพลันสะท้านขึ้น นางมองดูเซียงฉือด้วยสายตาห่างเหิน ระวังตัวกระทั่งหวาดกลัว  

 

 

เซียงฉือยิ้ม จับมือซูเฟยไว้แล้วพูดว่า  

 

 

“เห็นท่าความสัมพันธ์จะไม่ธรรมดากระมัง แต่หม่อมฉันไม่สนใจความสัมพันธ์ของพี่หญิงกับวั่นกวงกงกงหรอกเพคะเพียงขอรบกวนฝากคำพูดกับพี่หญิงไปถึงวั่นกวงกงกงว่า เมล็ดพันธุ์ดอกหมีเตี๋ยเมื่อเพาะลงในใจแล้ว นอกเสียจากจะควักหัวใจออกมา มิเช่นนั้นไม่มีทางที่จะขุดรากถอนโคนได้เพคะ”  

 

 

สีหน้าซูเฟยดูแย่ลง นางมองเซียงฉือและยิ่งไม่อาจเข้าใจผู้หญิงคนนี้ได้ปรุโปร่ง  

 

 

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร น้องหญิงอย่าได้พูดจาเหลวไหล”  

 

 

เซียงฉือยิ้ม นางเก็บสายตากลับแล้วพยักหน้าน้อยๆ ลุกขึ้นน้อมกายกล่าวขอบคุณซูเฟย  

 

 

“ซูเฟยทรงสั่งสอนชอบแล้ว หม่อมฉันขอน้อมรับเพคะ แต่หม่อมฉันมีคำพูดจะทูลเตือนว่า หากจินกุ้ยเฟยไม่ล้ม ในวังก็จะไม่มีวันมีฮองเฮาเพคะ  

 

 

ซูเฟยไม่ว่าจะเพื่อตนเองหรือเพื่อองค์หญิงหรงฟัง ขอได้ทรงใคร่ครวญให้รอบคอบ นี่ก็ใกล้ถึงวันสิ้นปีเต็มที งานก็ยิ่งยุ่งขึ้นทุกวัน คิดว่าพี่หญิงไม่น่าจะมีเวลามาเยี่ยมหม่อมฉัน แต่มีคนที่ไม่ได้ยินการสนทนานี้ หม่อมฉันไม่รู้ว่านางจะทำอะไรบ้าง”  

 

 

เซียงฉือยิ้มจับข้อมือซูเฟยไว้ แล้วพูดด้วยท่าทีบีบคั้น  

 

 

“ไม่รู้ว่าลูกของหม่อมฉันจะรักษาไว้ได้หรือไม่ หากรักษาไว้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นหวังว่าพี่หญิงจะปกป้องหม่อมฉันนะเพคะ พวกเราร่วมมืออย่างเข้าใจกันดี จริงไหมเพคะ”  

 

 

เซียงฉือเมื่อพูดที่ข้างหูซูเฟยจบแล้วก็ผละห่างออกจากตัวนางและปล่อยมือที่จับซูเฟยไว้แน่น สายตานุ่มนวล อ่อนโยนถ่อมตัวในแบบอวิ๋นผินที่เคยเป็น  

 

 

ซูเฟยสั่นสะท้านในหัวอก นางไม่เข้าใจสิ่งที่เซียงฉือพูด แต่วันนี้นางไม่อาจบรรลุเป้าหมายดังที่ตั้งใจไว้เลยสักอย่าง อวิ๋นเซียงฉือไม่ได้กระวนกระวายดังที่คาดไว้ และดูเหมือนนางจะไม่ใส่ใจกับคำเตือนและคำเสนอแนะของนางอีกด้วย  

 

 

แต่ว่าคำพูดของเซียงฉือกลับทำให้ใจของนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางหวาดกลัวขึ้นแล้ว  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือไม่ใช่สาวใช้ที่จะให้ใครก็ได้มาข่มเหงรังแกได้อีกต่อไป เป็นข้อสรุปที่ซูเฟยได้มาในวันนี้  

 

 

ร่างซูเฟยไหวคลอนเล็กน้อย นางมองอวิ๋นเซียงฉืออย่างเปี่ยมความหมายลึกซึ้ง กัดฟันกรอดมองดูหน้าท้องของเซียงฉือ แล้วพูดอย่างดุร้าย  

 

 

“เจ้าชั่วร้ายจริงๆ”  

 

 

นางหมุนกายจะจากไป เซียงฉือเพียงยิ้มแล้วส่งนาง  

 

 

“เซียงฉือน้อมส่งพี่หญิงเพคะ”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 599 ทำโทษคุกเข่ากลางหิมะ  

 

 

แผนการไม่อาจไล่ทันการเปลี่ยนแปลง เมื่อหรงจิงเปิดประตูหน้าก็เห็นขุนพลหลินยังคงคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะ เขาน้ำตานองหน้าทว่าไม่ยอมก้มหัวให้หรงจิง  

 

 

ส่วนหรงจิงเป็นฮ่องเต้ ย่อมไม่มีทางยอมก้มหัวให้ใครก่อน ดังนั้นพวกที่คิดจะใช้ความตายเพื่อแสดงเจตนารมณ์ส่วนมากแล้วจึงต้องตายไปทั้งอย่างนั้น เพราะไม่มีใครที่จะทำให้ฮ่องเต้ยอมอ่อนข้อได้  

 

 

คนเหล่านั้นจะเป็นเพียงคนไม่สลักสำคัญพอที่จะค้นหาได้พบในประวัติศาสตร์ ดังเช่นนักศึกษาที่ยอมตายเพื่อคุณธรรมหรือขุนศึกที่พลีชีพเพื่อชาติ พวกเขาต่างมีความมุ่งมั่นของตน แต่ความมุ่งมั่นของแต่ละคนนั้นขัดกับฮ่องเต้หรือไม่ อันเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของขุนนางที่ดีพึงมี แต่น่าเสียดายที่ขุนพลหลินไม่เข้าใจในเหตุผลอันนี้  

 

 

หรงจิงนั่งดื่มน้ำชาอุ่นๆ อยู่ในห้องมองดูขุนพลหลินที่คุกเข่าอยู่ข้างนอก เขาส่ายหน้าอย่างระอาใจ  

 

 

“เป็นขุนนางเก่าแก่มาทั้งชีวิตแต่อายุยิ่งมากนิสัยก็ยิ่งดื้อรั้น ไม่เห็นแม้กระทั่งหน้าเรา…”  

 

 

หรงจิงพูดคำพูดนี้ด้วยความรู้สึกแล้วเดินเข้าไปในตำหนักเจิ้งหยาง ขุนพลหลินเห็นท่าทางของหรงจิงแล้วก็เหลือกตาจ้อมเขม็ง โกรธจนหนวดกระดิก แต่ขาทั้งสองเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว  

 

 

ตั้งแต่เซียงฉือรู้ว่าขุนพลหลินคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเจิ้งหยางก็รู้สึกแปลกใจ นางกางร่มกระดาษน้ำมันแล้วมองดูหิมะที่โปรยปรายหนัก จากนั้นเดินไปถึงหน้าประตูตำหนักเจิ้งหยาง เห็นขุนพลหลินในท่ามกลางหิมะนางมองดูหิมะที่ตกหนักข้างนอก  

 

 

“ฝ่าบาททรงหายกริ้วหรือยังเพคะ ขุนพลหลินอายุมากแล้วอย่าให้เขาคุกเข่าอยู่แบบนี้เลยเพคะ ฝ่าบาทโปรดอภัยโทษแก่เขาสักครั้งเถิดเพคะ”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉืออ้อนวอนขอความเมตตาให้ขุนพลหลิน หรงจิงส่ายหน้าพูดว่า  

 

 

“เราน่ะหรือที่ไม่ปล่อยเขา เขาต่างหากที่ไม่ยอมปล่อยเรา”  

 

 

เซียงฉือจับมือหรงจิงไว้แล้วพูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาทเพียงกริ้วเพราะเขาพูดเรื่องไม่บังควร แต่ว่าขุนพลหลินปกป้องรักษาชายแดนเป็นคนเถรตรง มีคนสนิทและไว้ใจอยู่มากในกองทัพ เป็นคนเปิดเผยคนหนึ่ง  

 

 

ที่เขาไม่ชอบหม่อมฉันเช่นนี้นอกจากเพราะมีสัมพันธภาพกับขุนพลจินแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดเป็นเพราะว่าหม่อมฉันยังไม่มีคุณธรรมและความเป็นกุลสตรีเพียงพอ ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงตำหนิใต้เท้าที่มีความดีความชอบต่อแผ่นดินเพียงเพราะเรื่องนี้เลยเพคะ พวกเขาเพียงทำหน้าที่ของข้าราชบริพารอย่างเต็มที่อยู่เพคะ”  

 

 

ถึงแม้เซียงฉือจะรู้สึกรับไม่ค่อยได้กับการที่เขายื่นหนังสือกล่าวหานางมากมายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางก็รู้ว่าลำพังเพียงนางคนเดียวย่อมไม่อาจปิดปากของคนจำนวนมากได้ นางกำลังเปลี่ยนแปลงสถานะ การที่จะให้คนยอมรับย่อมต้องใช้เวลา  

 

 

คนจำพวกที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดจึงเป็นพวกคนชั่ว ตรงกันข้ามกับขุนพลหลินที่ไม่ได้ชั่วร้ายเสียทั้งหมด  

 

 

หรงจิงคิดไม่ถึงว่าเซียงฉือจะมาอ้อนวอนขอความเมตตาให้ขุนพลหลิน ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นห่วงขุนพลหลิน อย่างไรก็เป็นขุนพลเฒ่า มีความดีความชอบในสนามรบมากมาย แต่เขาเป็นถึงฮ่องเต้ จะให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งไปมารวดเร็วแบบนั้นเป็นเรื่องทำลายความน่ายำเกรงโดยแท้  

 

 

หากวันนี้ปล่อยให้เขาอ้างความดีความชอบมาบีบหรงจิง เช่นนั้นแล้วเขาจะมิต้องถูกขุนศึกอีกมากมายคอยกดดันคุกคามหรอกหรือ  

 

 

ดังนั้นหรงจิงจึงได้ปฏิเสธ  

 

 

เซียงฉือเห็นว่าจะให้หรงจิงปล่อยคนนั้นไม่ยาก เพียงขุนพลหลินยอมเอ่ยปากพูดคำว่าไม่บังอาจเท่านั้น นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นหมุนกายออกนอกประตูไป กางร่มแล้วยืนอยู่ท่ามกลางลมและหิมะ คลุมผ้าคลุมผืนใหญ่ลงบนร่างขุนพลหลินแล้ววางเตาอุ่นในมือตนลงบนตัวเขา  

 

 

อีกทั้งยังวางปลอกสวมหัวเข่าที่ทำจากขนกระต่ายคู่หนึ่งไว้ที่ข้างกายขุนพลหลิน  

 

 

ขณะขุนพลหลินคิดจะโยนของเหล่านั้นทิ้ง ก็ได้ยินเซียงฉือพูดขึ้น  

 

 

เซียงฉือมองดูใบหน้าชราภาพของขุนพลหลินแดงซ่านเพราะความเหน็บหนาว จึงพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า  

 

 

“ของเหล่านี้ฝ่าบาทพระราชทานมาให้ ข้าเห็นว่าท่านขุนพลไม่ใช้น่าจะเป็นการดีที่สุด คืนนี้หิมะตกหนัก พรุ่งนี้เช้าที่ตรงนี้ก็จะได้มีตุ๊กตาหิมะรูปคนตัวหนึ่ง คงเป็นทัศนียภาพที่ดีแห่งหนึ่งในวัง อีกทั้งยังจะเป็นการแสดงความจงรักภักดีอย่างที่สุดของใต้เท้าต่อฝ่าบาทอีกด้วย”

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset