บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 602 อาการของขุนพลหลิน / ตอนที่ 603 ความขัดแย้งในราชสำนัก

ตอนที่ 602 อาการของขุนพลหลิน  

 

 

เซียงฉือไม่อยากเห็นกลุ่มคนที่วุ่นวายกันอยู่ด้านใน นางพนมมืออธิษฐานให้ขุนพลหลินเงียบๆ ในใจยิ่งรู้สึกทนไม่ได้  

 

 

ตอนหรงจิงขุ่นเคืองขุนพลหลิน นางสมควรพูดเตือนหรงจิงให้เร็วกว่านี้ ไม่ควรรอจนกระทั่งใจเต็มไปด้วยการตำหนิตนเอง แต่ว่านางพูดออกมาไม่ได้ เพราะตอนนี้แต่ละคนก็ยุ่งเหยิงกันอย่างยิ่งแล้ว  

 

 

หรงจิงก็นึกตำหนิตนเองอยู่ในใจ เซียงฉือระงับความโศกเศร้าแล้วเดินไปข้างกายหรงจิงเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเขา หวังว่าจะสามารถทำให้เขาสงบใจได้สักครู่  

 

 

หลังจากซู่เวิ่นฝังเข็มไปไม่นาน หมอจากสำนักแพทย์หลวงสองคนก็เร่งเข้ามาอย่างเหน็ดเหนื่อยจากการรีบเร่งเดินทางพอเข้าประตูมา หรงจิงก็สะบัดมือ  

 

 

“ท่านทั้งสองไม่ต้องทำความเคารพ เข้าไปดูอาการขุนพลหลินก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง”  

 

 

แต่ขุนนางเฒ่าทั้งสองก็ทำความเคารพอย่างเรียบร้อยก่อนแล้วจึงลุกขึ้น ขันทีด้านข้างช่วยถือกล่องยาให้พวกเขา ด้านหลังมีหมอหลวงหนุ่มติดตามมาสองคนพากันรีบเดินเข้าด้านใน  

 

 

ซู่เวิ่นว่างลงแล้วจึงออกมา นางยืนรายงานอยู่เบื้องหน้าของหรงจิง  

 

 

“ทูลฝ่าบาท อาการป่วยของขุนพลหลินหนักมาก การจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับวาสนาของเขาแล้วเพคะ”  

 

 

ซู่เวิ่นเพิ่งจะกล่าวจบก็เห็นหมอหลวงหลิวจึงน้อมกายทำความเคารพ  

 

 

เขามองดูซู่เวิ่นที่สำรวมแล้วพูดกับฝ่าบาทว่า  

 

 

“ใต้เท้าซู่เวิ่นสามารถกู้ชีวิตผู้ป่วยให้กลับคืนมาได้ ช่างมีความสามารถอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“ฝ่าบาท เมื่อครู่กระหม่อมตรวจชีพจรขุนพลหลินแล้ว ถึงยังไม่พ้นขีดอันตรายแต่ก็มีความโชคดีในความโชคร้ายพ่ะย่ะค่ะ การฝังเข็มได้ผลดี ทำวิธีนี้อีกสามรอบ ขุนพลหลินก็จะดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

คำพูดของย่วนพั่นใต้เท้าหลิวยังนับว่านุ่มนวล แต่หมอหลวงเฉียนที่ด้านหลังลุกออกมาพูดก่อนว่า  

 

 

“พระบารมีฝ่าบาทและอวิ๋นผินสูงเทียมฟ้า ขุนพลหลินได้รับพระบารมีแผ่ปกป้อง คิดว่าจะต้องปลอดภัยไม่เป็นอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงได้ยินหมอหลวงหลิวบอกว่าขุนพลหลินจะค่อยๆ ดีขึ้นจึงเบาใจ ใบหน้าไม่เย็นเยือกอีกต่อไป ทั้งคำพูดก็อ่อนโยนลงมาก  

 

 

“เซียงฉือเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วกลับตำหนักไปก่อนเถิด หลังจากเราสั่งงานเรียบร้อยแล้ว จะไปหาเจ้าช้าหน่อย”  

 

 

“ซู่เวิ่นก็ไปพร้อมกันด้วยเลย คอยดูแลอวิ๋นผินให้ดี”  

 

 

เซียงฉือทำความเคารพแล้วหมุนกายจากไป  

 

 

ไม่ว่าหรงจิงให้นางกลับไปก่อนในตอนนี้จะด้วยเหตุใดก็ตาม นางยอมกลับไปอย่างเชื่อฟัง  

 

 

ขณะที่นางหมุนกายกลับก็เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของซู่เวิ่นเข้า หน้าตานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เซียงฉือก็ออกไปจากประตูตำหนักเจิ้งหยางโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก  

 

 

หรงจิงเก็บสายตากลับมาแล้วมองหมอหลิว ถามขึ้นว่า  

 

 

“ขุนพลหลินไม่เป็นไรแล้วจริงหรือ”  

 

 

หมอหลวงหลิวคุกเข่าลงทันทีตอบว่า  

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา อาการป่วยขุนพลหลินอันตรายอย่างยิ่ง เพียงกล่าวได้ว่าดีขึ้นชั่วคราวแต่ไม่อาจยืนยันได้ในทันที ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงดำริสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงมองหน้าหมอหลวงหลิวแล้วยิ้มน้อยๆ พูดว่า  

 

 

“ต่อไปขุนพลหลินจะหายเป็นปกติดังเดิมได้หรือไม่ หมอหลวงหลิว เราเพียงหวังว่าวันหน้าขุนพลหลินจะยังสามารถต่อล้อต่อเถียงกับเราในท้องพระโรงด้วยเสียงปานระฆังใหญ่เหมือนวันนี้ได้อีก”  

 

 

หมอหลวงหลิวฟังคำพูดหรงจิงแล้วก้มหน้าลง พอจะเข้าใจได้สามส่วน หรงจิงจึงพูดต่อ  

 

 

“เราไม่ยอมให้เขาตาย แต่ก็คงจะหายดีเต็มร้อยไม่ได้ ดูจากอาการป่วยที่อันตรายมาก หมอหลวงหลิวก็จงพิจารณาให้ยาอย่างเหมาะสม”  

 

 

พอหรงจิงพูดจบ หมอหลวงหลิวก็พูดขึ้นอย่างเข้าใจเจตนาชัดเจน  

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมสายตาฝ้าฟาง การวินิจฉัยอาการขุนพลหลินเมื่อครู่เกิดความผิดพลาด กระหม่อมคิดว่าถึงแม้ขุนพลหลินจะมีร่างกายแข็งแรง แต่อาการป่วยครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะพระบารมีแผ่ปกป้องแล้วแม้จะรักษาอย่างเหมาะสมก็เกรงว่าอาจถึงแก่ชีวิตได้พ่ะย่ะค่ะ  

 

 

แต่ถึงกระนั้น คิดว่าความทรงจำของขุนพลหลินจะเสื่อมถอยลงหรือขาทั้งคู่อาจไม่สามารถยืนขึ้นได้อีก จึงไม่เหมาะที่จะรับราชการต่อไปอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“การวินิจฉัยของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเห็นเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงฟังแล้วก็ลุกขึ้น  

 

 

“การทำงานของหมอหลวงหลิว เราไว้วางใจเป็นอันมาก”  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 603 ความขัดแย้งในราชสำนัก  

 

 

หรงจิงพูดจบก็ไปยืนอยู่ใต้ต้นเหมย เขามองดูเกล็ดหิมะที่ร่วงโปรยปรายแล้วพูดขึ้นอย่างปลงๆ  

 

 

“ดอกไม้ยังคงเป็นดอกไม้เช่นทุกปี แต่คนนี่สิที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปรไป”  

 

 

“เราคงจะเห็นดอกไม้มามากหรือว่ายังดูคนมาไม่พอกันแน่”  

 

 

หรงจิงทอดถอนใจแล้วคลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ปิดตาลง เขาได้ยินเสียงฝีเท้ารีบเร่งของคนในวังพวกนั้น เสียงสั่นสะเทือนยามหิมะร่วงตกลงบนกิ่งไม้ อีกทั้งเสียงเล็กๆ เบาๆ อีกมากมายที่ไม่เคยสังเกตในวันปกติ  

 

 

อาการของขุนพลหลินดีขึ้นบ้างตอนหลังเที่ยงคืน และดีขึ้นมากเมื่อถึงยามเช้า หรงจิงส่งเขากลับไปให้คนในครอบครัวดูแลตามคำของหมอหลวงทั้งสองคน  

 

 

หรงจิงเข้าประชุมเช้า ในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความอึดอัด  

 

 

“มีข้อราชการก็เชิญกราบทูล หากไม่มีก็เลิกประชุมได้”  

 

 

เจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่อยู่ประกาศขึ้น จากนั้นมีขุนนางหลายคนลุกออกมาถวายรายงาน ใกล้ช่วงปลายปีแล้วเรื่องราวจากที่ต่างๆ จึงน้อยลงไปมาก เรื่องที่ต้องจัดการก็ลดลงไปไม่น้อย  

 

 

หรงจิงนั่งอยู่เบื้องบนมองดูเหล่าขุนนางด้านล่าง ทุกคนพากันซ่อนหาง เลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องขุนพลหลิน  

 

 

หรงจิงเห็นทีท่าเช่นนั้นก็รู้ว่าพวกเขากำลังรออะไรอยู่ หลังจากฟังรายงานจากขุนนางข้างล่างจบแล้วเขาใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า  

 

 

“ช่วงนี้อากาศหนาวลงทุกที ขุนนางทั้งหลายต้องตื่นแต่เช้าจะลำบาก ดังนั้นให้เลื่อนเวลาเข้าประชุมเช้าช้าลงครึ่งชั่วยาม”  

 

 

หรงจิงพูดแล้วมองไปยังฝั่งขุนศึกซึ่งขาดขุนพลหลินไปคนหนึ่งก็ถอนใจ ส่วนเหล่าขุนนางพากันสรรเสริญหรงจิง  

 

 

แต่เวลาสงบเงียบคงอยู่ได้ไม่นาน ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน มาถึงก็ถลาไปที่ข้างกายหรงจิงกระซิบคำพูดที่ข้างหูเขา  

 

 

ดวงตาทั้งคู่ของหรงจิงเบิกกว้าง จากนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ขุนนางทั้งหลายเห็นท่าทางของเขาแล้วต่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร  

 

 

หรงจิงถอนใจยาว สะบัดมือเป็นสัญญาณให้เลิกประชุม  

 

 

แต่ขุนพลจินรีบออกมาจากฝั่งขุนศึกแล้วพูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบบังคมทูลพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงสะบัดมือดูท่าทางอ่อนล้า อีกทั้งความรู้สึกเศร้าในใจจึงพูดช้าๆ  

 

 

“ขุนพลจินมีเรื่องอะไรค่อยพูดพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”  

 

 

หรงจิงพูดเช่นนั้น ขุนพลจินยังคิดจะพูดต่อ แต่ได้ยินใต้เท้าหลิ่วเจ้ากรมพิธีการที่รีบลุกออกมาจากฝั่งขุนนางบุ๋นพูดขึ้นเสียงดังว่า  

 

 

“พวกกระหม่อมน้อมส่งเสด็จฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

หรงจิงลุกขึ้นแล้วรีบจากไป ส่วนพวกขุนนางก็หลั่งไหลกันออกไป ขุนพลจินจงใจเดินให้ช้าจากกลุ่ม เมื่อรอจนเห็นใต้เท้าหลิ่วออกมาแล้วจึงเดินเข้าไปหา  

 

 

สีหน้าขุนพลจินไม่น่าดู ใต้เท้าหลิ่วรู้อยู่แล้วว่าเขามาเพื่อต่อว่าแต่ไม่ได้หวาดกลัวจึงมองขุนพลจินแล้วถามขึ้นยิ้มๆ ว่า  

 

 

“ขุนพลจินยังไม่กลับอีกหรือ”  

 

 

ขุนพลจินพ่นเสียงฮึออกจมูก เหลือบตามองใต้เท้าหลิ่วแล้วพูดว่า  

 

 

“เหตุใดใต้เท้าหลิ่วต้องขัดขวางข้าถวายรายงานในวันนี้ ท่านกับข้าตลอดมาไม่เคยล่วงล้ำต่อกัน แต่ที่ทำวันนี้หมายความว่าอย่างไร”  

 

 

ใต้เท้าหลิ่วลูบหนวดเคราพูดว่า  

 

 

“ข้าก็เพียงถวายความภักดีต่อฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีรับสั่งแล้ว ท่านขุนพลก็ค่อยกราบทูลพรุ่งนี้เถิด ในเมื่อทรงให้เลิกประชุม พระดำรัสฮ่องเต้ก็คือพระบรมราชโองการ ถึงแม้ขุนพลจินจะยศสูงมากอำนาจ อิทธิพลมากล้น ก็ไม่ควรต่อต้านราชโองการอย่างเปิดเผยหรอกนะ”  

 

 

ใต้เท้าหลิ่วยิ้มจนตาหยีเหมือนจิ้งจอกเฒ่า คนที่สามารถดำรงฐานะเช่นนี้อยู่ได้ในวัง มีหรือที่จะไร้ความสามารถ  

 

 

หรงจิงที่ขยันขันแข็งเสมอมาแต่วันนี้ทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผล ขุนพลจินมีเจตนาบีบคั้น ส่วนใต้เท้าหลิ่วมีใจภักดีต่อฝ่าบาท จะยอมให้ขุนพลจินทำตามอำเภอใจได้อย่างไร

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset