บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 614 วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง / ตอนที่ 615 ตำหนักฉุนหวาบนเขาอวี้หนี่ว์

ตอนที่ 614 วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง  

 

 

เป็นเวลาสามวันผ่านไปหลังจากหรงจิงมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน หลายวันนี้ไม่รู้ว่าเขายุ่งเรื่องอะไรอยู่ เซียงฉือได้แต่นับนิ้วคำนวณวันอยู่ทุกวัน  

 

 

ตอนที่หลิ่วจุ้ยเดินไปข้างตัวเซียงฉือ นางกำลังมองดูหิมะด้านนอกที่ตกไม่หนักใม่เบาแล้วถอนใจ  

 

 

หลิ่วจุ้ยเห็นดังนั้นจึงพูดล้อๆ ว่า  

 

 

“ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จมาเพียงแค่สองวัน อวิ๋นผินของพวกเราก็คล้ายดั่งวิญญาณล่องลอยไปแล้ว ให้บ่าวไปทูลเชิญฝ่าบาทที่ตำหนักเจิ้งหยางดีไหมเพคะ มิฉะนั้นอวิ๋นผินของพวกเราจะกลายเป็นศิลารอสวามีไปแล้ว”  

 

 

หลิ่วจุ้ยกับพวกนางกำนัลเล็กๆ นั่งล้อมอยู่ข้างกายเซียงฉือ ปักผ้าไปพลางล้อเซียงฉือเล่นไปด้วย  

 

 

หลายวันนี้เซียงฉือปักชุดนอนให้ตนเองชุดหนึ่ง เป็นสีแดงสดเหมาะแก่การเฉลิมฉลอง  

 

 

นางรู้ดีว่าถึงแม้หรงจิงบอกว่าจะวิวาห์กับนาง แต่ก็ไม่อาจตบแต่งอย่างถูกต้องตามประเพณีได้ สีแดงสดในวังนี้นอกจากเป็นชุดนอนแล้ว ก็มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถใช้ได้  

 

 

เซียงฉือไม่กล้าละเมิดข้อบัญญัติ เพียงแอบๆ ปักเป็ดแมนดารินลงไปคู่หนึ่ง นางลูบไล้แผ่วเบาลงบนผ้าแพรไหม แล้วถอนใจเสียงอ่อนขึ้นอีกครั้ง  

 

 

สี่กงกงได้ยินเสียงถอนใจของเซียงฉือก็ยิ้มแล้วพูดว่า  

 

 

“มิน่าจึงถูกพี่หลิ่วจุ้ยของพวกเราล้อเอาได้ ปกติอวิ๋นผินของพวกเราจะยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน แต่ทรงไม่เห็นฝ่าบาทเพียงแค่สองวันเท่านั้น ก็ทรงทอดถอนใจซ้ำแล้วซ้ำอีก  

 

 

“อวิ๋นผินพะย่ะค่ะ บ่าวไปทูลเชิญเสด็จฝ่าบาทมา…”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือเงยหน้ามองสี่กงกง หน้าตาฉาบเต็มไปด้วยความน่าสงสาร แต่แล้วเลิกคิ้วพูดอย่างโกรธๆ  

 

 

“ไม่เสด็จมาสิดี ข้าไม่ได้ปักผ้ามานาน จะได้ถือเป็นการบ่มเพาะกายใจ”  

 

 

เซียงฉือเพิ่งจะพูดจบก็ได้ยินเสียงขานขึ้นจากเบื้องนอก  

 

 

“หงซีกูกูมา”  

 

 

เซียงฉือชะงัก เสียวสี่จื๊อวิ่งออกไปต้อนรับทันที  

 

 

วันนี้ยังห่างจากวันที่สิบแปดเดือนสิบสองที่หรงจิงบอกไว้สามวัน หลายวันนี้นางเพิ่งจะมีเวลาว่าง แต่ว่าเป็นครั้งแรกหลังจากที่นางรักกับหรงจิงแล้วไม่ได้พบกับเขานานเช่นนี้ จึงได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความคิดถึงจริงๆ  

 

 

แต่ว่าหรงจิงที่เซียงฉือรอแล้วรอเล่าไม่ได้มา กลับกลายเป็นหงซีกูกูที่มาถึง ฐานะหงซีกูกูในวังนี้ไม่ธรรมดาเป็นกูกูคนสนิทที่หรงจิงไว้วางใจที่สุด เมื่อนางมาเซียงฉือจึงไม่มีเหตุผลต้องวางมาดเป็นพระชายา จึงเก็บของแล้วลุกขึ้น เมื่อหงซีกูกูเข้ามาถึงก็ทำความเคารพเต็มรูปแบบ  

 

 

“บ่าวเฒ่าหงซี ถวายบังคมอวิ๋นผิน ขอทรงพระเจริญเพคะ”  

 

 

เซียงฉือได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้าไปประคองหงซีกูกู ยิ้มแล้วตอบว่า  

 

 

“ข้าเพิ่งจากมาเพียงไม่กี่วันกูกูก็เห็นข้าเป็นอื่นไปเสียแล้ว น้ำใจไมตรีที่ดูแลข้าในครั้งก่อนข้ายังจดจำได้ดี เหตุใดจึงต้องทำความเคารพเต็มที่เช่นนี้”  

 

 

หงซีเข้าใจจิตใจเซียงฉือจึงตอบยิ้มๆ  

 

 

“อวิ๋นผินทรงมีเมตตาน้ำพระทัยดีงาม แต่ว่ามารยาทไม่อาจละเว้นได้ จากนี้พระองค์ก็เป็นอวิ๋นผิน เป็นสตรีของฝ่าบาทแล้ว ดังนั้นกฎระเบียบก็ยังคงต้องเป็นกฎระเบียบเพคะ”  

 

 

เซียงฉือจึงตอบรับไปแต่ไม่ได้ใส่ใจจริงจัง  

 

 

เซียงฉือมองดูชุดพิธีการงานมงคลสีอิฐบนกายหงซีแล้วรู้สึกสงสัย มองนางหัวจรดเท้าแล้วจึงถามว่า  

 

 

“กูกู ที่มาวันนี้มีธุระกระมัง”  

 

 

พอถูกเซียงฉือถาม หงซีตบศีรษะแล้วทำความเคารพเซียงฉืออีก พูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาทส่งบ่าวมาที่มีเพื่อทูลเชิญอวิ๋นผินไปเที่ยวยังตำหนักฉุนหวาบนเขาอวี้หนี่ว์เพคะ”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉืออึ้งไป ไม่รู้ว่าตำหนักฉุนหวาเป็นสถานที่อะไร แต่หลิ่วจุ้ยที่ด้านข้างกลับตระหนกไม่น้อย  

 

 

“ฝ่าบาทจะทรงพาอวิ๋นผินของพวกเราไปตำหนักฉุนหวา”  

 

 

หลิ่วจุ้ยร้องถามอย่างตื่นเต้น หงซีกูกูไม่เห็นเป็นการเสียมารยาทอะไร จึงยิ้มตาหยีแล้วพยักหน้า  

 

 

“ด้วยพระเมตตาของฝ่าบาท ย่อมต้องเป็นความจริง”  

 

 

 หลิ่วจุ้ยดีใจจนแทบกระโดดขึ้นมา ถึงแม้อวิ๋นเซียงฉือจะไม่รู้ว่าที่นั่นคือสถานที่แบบไหน แต่จะต้องเป็นสถานที่ที่น่าไปอย่างแน่นอน  

 

 

 

 

 

ตอนที่ 615 ตำหนักฉุนหวาบนเขาอวี้หนี่ว์  

 

 

แต่เมื่อคิดถึงคำพูดหงซีกูกูที่บอกว่าจะไปเที่ยว ทำให้เซียงฉือคิดถึงวันที่สิบแปดเดือนสิบสองขึ้นมาจึงถามว่า  

 

 

“ขอให้กูกูชี้แนะสักหน่อย ไม่ทราบว่าจะออกเดินทางไปวันไหนแล้วกลับเมื่อไหร่ ข้าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง”  

 

 

ใบหน้าเซียงฉือแดงขึ้นน้อยๆ เขินอายขึ้นมา หงซีกูกูมองเห็นแต่ไม่ได้แปลกใจ จึงตอบอย่างนุ่มนวลยิ่งขึ้น  

 

 

“อวิ๋นผินทรงวางพระทัย ทุกอย่างมีบ่าวคอยรับใช้อยู่ ไม่ต้องทรงกังวล เตรียมตัวเสร็จก็ออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ อีกเจ็ดวันค่อยเสด็จกลับเพคะ”  

 

 

เซียงฉือตกตะลึงจนงงงัน นางฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ  

 

 

“เจ็ดวัน แล้วฝ่าบาทไม่ต้องทรงจัดการราชกิจหรอกหรือ”  

 

 

หงซีกูกูยิ้มแล้วพูดว่า  

 

 

“อีกสามวันให้หลังฝ่าบาทจึงค่อยเสด็จไปเพคะ โปรดให้อวิ๋นผินไปคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเสียก่อน โดยบอกกับคนภายนอกว่าอวิ๋นผินจะไปขอพรให้ประเทศบนเขาอวี้หนี่ว์เพคะ”  

 

 

อวิ๋นเซียงฉือได้ยินดังนั้นก็หัวเราะพรืดไม่พูดอะไรอีก นางพยักหน้าสั่งให้หลิ่วจุ้ยจัดการภายในตำหนักให้รอบคอบแล้วเก็บเสื้อผ้าอย่างง่ายๆ คิดไปคิดมาแล้วก็นำชุดนอนสีแดงนั้นใส่เข้าไปในสัมภาระเดินทางนำติดตัวไปด้วย  

 

 

บนรถม้าจุดเครื่องหอม ภายในอบอุ่น สีหน้าเซียงฉือยิ่งแดงเรื่อขี้น หงซีกูกูเห็นเข้าก็ยิ้มแล้วพูดว่า  

 

 

“ฝ่าบาทมีรับสั่งว่า ความจริงควรจะเป็นแม่นางหลิ่วจุ้ยที่จะตามเสด็จอวิ๋นผิน แต่มีงานบางอย่างในตำหนักต้องให้หลิ่วจุ้ยอยู่ดูแล หม่อมฉันจึงอาสารับงานนี้ เพื่ออวิ๋นผินจะได้สบายพระทัยเพคะ”  

 

 

เซียงฉือฟังแล้วยิ่งรู้สึกอุ่นใจ นางจับมือหงซี ใบหน้างดงามแดงเรื่อ  

 

 

“ขอบคุณกูกูที่คอยคิดเผื่อข้าทุกเรื่อง”  

 

 

หงซีก็ยิ้มน้อยๆ ตบหลังมือนาง  

 

 

ตำหนักฉุนหวาบนเขาอวี้หนี่ว์  

 

 

สถานที่นั้นอยู่ระหว่างอวิ๋นหยางกับซวี่ตู เป็นตำหนักที่สร้างอยู่บนภูเขาน้ำแข็ง อยู่ห่างจากพระราชวังต้องห้ามในอวิ๋นหยางเพียงระยะเดินทางครึ่งวัน แต่ถ้าหากโดยสารม้าเร็วก็สามารถไปถึงบริเวณตีนเขาได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน  

 

 

สถานที่นั้นเป็นที่อาบน้ำแร่ร้อนของหรงจิง ทั้งยังเป็นที่ตั้งของหอความลับสวรรค์ของราชวงศ์อีกด้วย แต่ช่วงนี้บรรดาเทพพยากรณ์ทั้งหลายในหอพากันท่องเมฆไปกันหมดไม่เห็นแม้เงา  

 

 

หลังจากที่หรงจิงโต้กลับเทพพยากรณ์ในท้องพระโรงครั้งนั้นแล้วก็ยังตัดปัจจัยบำรุงของหอความลับสวรรค์อีกด้วย ไม่ให้ความสนใจใส่ใจกับพวกเขาอีกต่อไป  

 

 

หอความลับสวรรค์ก่อตั้งมานานปีเป็นที่ไว้วางใจของฮ่องเต้มาหลายรัชกาล แต่หลายปีมานี้หอความลับสวรรค์ขยายตัวใหญ่เกินไป ทำให้คุณภาพของเจ้าหน้าที่ด้อยต่ำลง อีกทั้งมีพวกไม่มีความรู้จริงปะปนเข้าไปอีกด้วย  

 

 

ดังนั้นครั้งนี้หรงจิงจึงมีความคิดที่จะปรับปรุงขึ้นมาใหม่  

 

 

เซียงฉือย่ำหิมะค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังตำหนักฉุนหวา สถานที่นี้จัดอยู่ในเขตพระราชวังต้องห้ามแต่ต่างกับพระราชวังต้องห้าม ยอดของภูเขาหิมะสูงตระหง่านให้ความรู้สึกในการฟื้นฟูร่างกาย เซียงฉือสูดกลิ่นอายของน้ำแข็งในอากาศความรู้สึกชื่นชอบสถานที่นี้เพิ่มมากขึ้น  

 

 

หงซีกูกูประคองอวิ๋นเซียงฉือด้วยท่าทางระมัดระวัง รอบคอบถี่ถ้วนอย่างยิ่ง  

 

 

“อวิ๋นผินทรงระมัดระวังดัวยนะเพคะ ทัศนียภาพที่นี่ถึงจะดีแต่ว่าภูเขาทั้งสูงและลื่น จะต้องระวังให้จงดีเพคะ”  

 

 

เซียงฉือหัวเราะ นางเดินอย่างระมัดระวัง เดินไปได้ครู่หนึ่งก็เห็นสิ่งก่อสร้างสูงตระหง่านมีหมอกลอยปกคลุมอยู่เบื้องบน ให้ความรู้สึกราวสรวงสวรรค์บนโลกมนุษย์  

 

 

เซียงฉือปาดเหงื่อข้างหน้าผากเบาๆ พูดอย่างยินดีว่า  

 

 

“ยังดีว่าตำหนักฉุนหวาไม่ได้สร้างอยู่บนยอดเขา มิเช่นนั้นจะต้องเหนื่อยมากจริงๆ”  

 

 

หงซีกูกูก็หัวเราะเช่นกัน นางประคองเซียงฉือเดินเข้าไปในสิ่งปลูกสร้างอิฐเขียวกระเบื้องขาวที่มีหิมะปกคลุม  

 

 

“สถานที่นี้ถึงแม้จะจัดเป็นพระราชวังต้องห้ามแต่ก็แตกต่างจากเขตพระราชฐานอย่างสิ้นเชิง ให้ความรู้สึกปลีกเร้นออกจากความวุ่นวาย ช่างมหัศจรรย์จริงๆ”  

 

 

หงซีกูกูเพียงมองดูเซียงฉือสำรวจไปทั่วโดยไม่เข้าไปวุ่นวาย นางนิ่งเงียบมองดูเซียงฉือที่เหมือนกำลังหลอมตัวเองเข้ากับธรรมชาติในสถานที่แห่งนี้ หลับตาพริ้ม สูดดมกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ที่อบอวลไปทั่วอยู่ภายใน

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset