บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 224

ตอนที่ 224 หอทิงเฟิง 

 

 

เซียงฉือฟังคำพูดชิงอี๋แล้วรู้สึกแปลกใจ จึงได้ถามต่อชิงอี๋จึงไปพูดอยู่ที่ข้างหูของนาง 

 

 

“หวังชิงซิ่วผู้มีอำนาจคุมกองเย็บปักคนนี้มีฝีมือในการปักถุงมือ สูงล้ำเป็นที่ชื่นชอบของพระสนมต่างๆ มาก ทั้งยังเป็นผู้ช่ำชองมีทักษะ เป็นพวกระดับต้นๆ ในวังเลยทีเดียว พอๆ กับเจ้า แต่นางมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้เขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร” 

 

 

“หากคิดจะเข้ากองเย็บปักต้องไปหานางก่อนเพื่อชำระเงินมัดจำแล้วรับข้อสอบไป จากนั้นให้ทำข้อสอบไปล่วงหน้าส่วนหนึ่งก่อน เมื่ออยู่ในสนามสอบเพียงแค่แสดงงานฝีมือก็ใช้ได้แล้ว” 

 

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจนใจ นอกจากกองเย็บปักแล้วกองอื่นๆ อีกห้ากองในวังล้วนมีปัญหาคนล้น มีก็แต่เพียงกองเย็บปักที่แทบจะไม่มีใครถามหา อีกทั้งในวังยังมีกองเย็บปักอีกแห่งหนึ่งจึงดูเหมือนอยู่ในพื้นที่ชายแดน 

 

 

และตกอยู่ในสภาพนี้ตลอดมา การลดความยากของข้อสอบลงเพื่อง่ายต่อการสอบผ่านของผู้เข้าสอบ ต้องใช้วิธีการนี้เพื่อเพิ่มจำนวนข้าราชสำนักสตรี 

 

 

เสียงฉือฟังเรื่องเหล่านี้แล้วเย็นเยือกขึ้นในใจ 

 

 

นี่หมายถึงว่าต้องให้นางนำเงินไปจ่ายเพื่อซื้อตำแหน่ง! 

 

 

นางดูถูกการกระทำเช่นนี้ แต่สภาพสังคมตกต่ำลง นางรู้ว่าชิงอี๋ไม่ได้มีเจตนาร้ายในการพูดเช่นนี้ เป็นเพียงการชี้ช่องทางให้แก่นางเท่านั้น 

 

 

เซียงฉือยิ้มอาย ไม่รู้จะตอบอย่างไร 

 

 

เมื่อขยับกายแล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อถามใหม่ว่า “ขอบคุณใต้เท้าชิงอี๋ที่แนะนำ เซียงฉือเข้าใจแล้ว ได้ยินมาว่าใต้เท้าได้ศึกษาวิจัยเรื่องเครื่องหอมมามาก ไม่ทราบว่ากลิ่นหอมบนกายในวันนี้คือ? ข้าเป็นผู้รู้น้อย เพียงรู้สึกถึงกลิ่นหอมชวนดมจริงๆ แต่พูดอย่างอื่นไม่เป็น มิสู้ขอความรู้จากใต้เท้าชิงอี๋จะดีกว่า” 

 

 

เซียงฉือสูดลมหายใจเบาๆ แล้วเข้าใกล้ใต้เท้าชิงอี๋เพื่อดมกลิ่นหอมบนกายนาง 

 

 

ชิงอี๋เห็นดังนั้นจึงพูดต่อ 

 

 

“นี่เป็นเรื่องนอกตำรา เพราะเป็นความชื่นชอบส่วนตัวตามปกติ จึงทำขึ้นมาใช้เอง ถ้าแม่นางชอบอีกสักครู่ก็ตามข้ากลับไปที่ห้องเพื่อแบ่งไปใช้บ้าง นี่เป็นกลิ่นหอมที่มาจากหนานหลี่ฮวาเป็นหลัก กลิ่นหอมเย็นจางๆ แต่ถ้ามีไอน้ำมาก กลิ่นก็จะเข้มขึ้น” 

 

 

“กองคดีควบคุมดูแลเรือนจำในวังจึงมักทำงานอยู่ในที่มีความชื้นเป็นส่วนมาก กลิ่นนี้ก็เลยเหมาะอย่างยิ่ง” 

 

 

ชิงอี๋เป็นคนพูดเก่งพูดคล่อง เมื่อมาแนะนำเรื่องกลิ่นหอมที่ตนชื่นชอบจึงคุยได้อย่างฉะฉานยิ่งขึ้น พวกนางคุยกันได้ชั่วครู่ฝนก็หยุดตกแล้ว เซียงฉือจึงขอลาชิงอี๋คิดจะกลับตำหนักอวี้หยวน 

 

 

ชิงอี๋เห็นเซียงฉือหมุนกายจากไป ก็ยิ้มอ่อนโยนที่มุมปากมองตามเบื้องหลังนาง 

 

 

นางกำนัลที่หลบอยู่ด้านหนึ่งรีบเข้ามาหา ชิงอี๋จึงกระซิบสั่งเบาๆ ที่ข้างหู แล้วนางกำนัลคนนั้นก็จากไปทันที 

 

 

เมื่อดูจากเครื่องแต่งกายจึงรู้ว่าเป็นของตำหนักจู้เซียง สาวใช้จากตำหนักซูเฟยนั่นเอง 

 

 

เรื่องลับหลังตนพวกนี้ เซียงฉือไม่ได้รับรู้ด้วยเลย 

 

 

เมื่อรู้ว่าสวี่อี้ออกไปนอกวังนางจึงไม่ได้เข้าไปในกองคดี และกำลังเดินอยู่บนเส้นทางกลับตำหนักอวี้หยวน นางเดินผ่านพื้นที่ป่าดอกท้อผืนหนึ่ง ที่นั่นคือหอทิงเฟิงสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของหรงจิง 

 

 

วันนี้ดูเหมือนหรงจิงจะอารมณ์ไม่ดี เขาสลัดคนรอบข้างออก แม้แต่ซูกงกงก็ยังถูกผลักไสไปด้วย แล้วไปนั่งจิบสุราเพียงลำพังในหอทิงเฟิง สุราดอกท้อเป็นสุราที่ดื่มได้เต็มที่ แต่ยามนี้ดูเหมือนหรงจิงต้องการจะกรอกให้ตัวเองเมามาย ซดดื่มอย่างไม่อดทน 

 

 

หรงจิงมีความเคยชินเช่นนี้ ครั้งก่อนซูเฟยเคยมาที่นี่ แต่หากคนข้างกายได้พบกับหรงจิงในสภาพอารมณ์เช่นนี้ คงไม่ได้รับการโปรดปรานแต่จะต้องถูกลงโทษโบยตีเป็นแน่ 

 

 

วันนี้เซียงฉือโชคไม่ดี นางมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปข้างหน้า ไม่คิดว่าจะเดินไปถึงข้างหน้าหอทิงเฟิง นางเห็นหรงจิงหรือก็คือหรงฉู่ที่ดื่มจนมึนเมานั่งพิงอยู่ข้างประตู

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset