บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 227

ตอนที่ 227 หรงจิงโน้มน้าว 

 

 

หรงจิงได้ยินนางพูดเช่นนั้นและเห็นสายตาที่ยั่วยุของนาง นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังหัวเราะขึ้นเสียงดัง 

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเด็กคนนี้ไม่ยอมเสียเปรียบให้ใครเลยนะ ตอบโต้ฉะฉานแคล่วคล่องนัก” 

 

 

“ถึงได้ว่าเจ้านี่เหมาะจะไปสอบเป็นข้าราชสำนักสตรี ได้ยินมาว่ากองราชเลขารับข้าราชสำนักสตรีงานอักษรหนึ่งตำแหน่ง เจ้าจะไม่ไปลองดูหรือ” 

 

 

หรงจิงไม่ได้ตอบโต้ด้วย แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเข้าเรื่องที่ตนเองคาดหวัง 

 

 

เขาอยากรู้จริงๆ ว่าหากวันหนึ่งเซียงฉือเห็นเขาสวมชุดมังกรแล้ว จะคบหากับเขาอย่างไร 

 

 

คนที่มีฐานะสูงส่งมักวาดหวังที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสามัญ เป็นคู่ผัวตัวเมียที่เคียงข้างอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ หรือเลียนแบบการมีสตรีผู้รู้ใจสักคนอย่างคนโบราณ 

 

 

หรงจิงมองดูเซียงฉือ เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ 

 

 

“ถึงข้าจะสอบข้าราชสำนักสตรีรอบแรกผ่าน แต่ว่าคุณสมบัติและประสบการณ์ในวังยังมีน้อยอยู่ ตำแหน่งข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแบบนั้น คิดว่าคงมีไว้ให้สำหรับข้าราชสำนักสตรีที่มีความฉลาดปราดเปรื่องอย่างเหมาะสมมากกว่า ส่วนข้าเป็นพวกใจร้อนวู่วาม” 

 

 

เซียงฉือพูดคำพูดลักษณะนี้ออกมาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งที่พูดแนวความคิดก็แตกต่างกันไป 

 

 

ครั้งนี้เป็นเสียงที่นางพูดออกมาจากใจ นางมักรู้สึกอยู่เสมอว่าการอยู่ใกล้ฮ่องเต้ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ใกล้เสือที่ต้องคอยหวาดหวั่นขวัญผวา นางยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนั้น 

 

 

“ใจร้อนวู่วาม? น่าจะกระฉับกระเฉงเปี่ยมพลังมากกว่ากระมัง ด้วยวัยของเจ้ายังอยู่ในช่วงเถรตรงเอาจริงเอาจัง ถ้าเอามาขัดเกลาให้มนเกลี้ยงสักหน่อย ก็จะใช้ได้คล่องมือขึ้น และจะโยนออกไปได้ไกลกว่า” 

 

 

หรงจิงราวกับกำลังพูดเรื่องสะเทือนใจ สายตาจึงเย็นเยียบลง 

 

 

เซียงฉือจึงเดินเข้าไปถามด้วยความห่วงใย 

 

 

“ท่านพี่หรงฉู่ วันนี้ข้าบุกรุกเข้ามาถึงนี่อย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ คงเป็นเพราะมีวาสนากับท่าน ท่านก็ลองคิดว่าข้าเป็นของขวัญที่ฟ้าประทานลงมาให้ท่านก็แล้วกันบอกเรื่องที่ไม่สบายใจอยู่ออกมาให้หมด ถ้าเอาแต่เก็บไว้ในใจก็จะยิ่งหนักหนา พูดออกมาแล้วท่านจะได้สบายขึ้น” 

 

 

“ตอนที่มาถึงแล้วเห็นสภาพของท่านนั้นช่างหดหู่จริงๆ สงสารอย่างบอกไม่ถูก” 

 

 

เซียงฉือเดินเข้าไปใกล้ นางคิดหน้าคิดหลังแล้วเห็นว่าในเมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้วจึงไม่เกี่ยงที่จะถามเพิ่มขึ้นอีก 

 

 

หากสามารถช่วยแบ่งปันความทุกข์ของเขาได้ก็เท่ากับนางได้ทำความดีอย่างหนึ่ง 

 

 

หรงจิงมองดูดวงตาใสแจ๋วของนางแล้วพลันคิดถึงตนเองเมื่อหลายปีก่อน อดไม่ได้ต้องยื่นมือออกไปลูบศีรษะนาง 

 

 

“ที่บ้านมีเสือร้ายนอนอยู่ข้างกาย อย่างไรก็ไม่อาจหลับได้สนิทใจ” 

 

 

เซียงฉือหลบมือเขาไม่ทัน ในขณะกำลังเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาของเขาพอดี ลมหายใจที่เย็นเฉียบแบบนั้นราวกับทำให้อากาศรอบข้างพวกเขาทั้งสองเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง 

 

 

เซียงฉือรู้สึกราวตนเองตกลงสู่นรกเยือกแข็งชั้นที่แปด สั่นสะท้านไปทั้งร่าง 

 

 

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชิงชังและความไม่ยินยอมอย่างแรงกล้า เซียงฉือมองออกแต่ไม่ได้ขยับ 

 

 

หรงจิงชักมือกลับอย่างรวดเร็วเหมือนจะรู้ว่าท่าทางของตนทำให้เซียงฉือตกใจกลัว แล้วหัวเราะขึ้นเบาๆ 

 

 

“ล้อเจ้าเล่นน่ะ” 

 

 

“เพียงอยากบอกกับเจ้าว่าให้ลองสอบเป็นข้าราชสำนักสตรีด้านอักษรดู ไม่อย่างนั้นรู้สึกว่าความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศของเจ้าต้องเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์” 

 

 

“มักรู้สึกว่าเจ้าเกิดผิด หากเป็นบุรุษก็จะสามารถเข้าสู่ราชสำนัก จะได้ให้พวกขุนนางใหญ่คร่ำครึพวกนั้นได้เห็นความฉลาดฉะฉานของเจ้าบ้าง” 

 

 

หรงจิงพูดแล้วก็หัวเราะขึ้นมา จู่ๆ เซียงฉือคิดถึงความตั้งใจของกุ้ยเฟย ความคิดของสตรีกับบุรุษช่างแตกต่างกันจริงๆ กุ้ยเฟยเพียงรู้สึกว่าตำแหน่งนี้ได้อยู่ใกล้ชิดฮ่องเต้ มีโอกาสได้รับข่าวสารสะดวกรวดเร็วกว่า 

 

 

ซึ่งเป็นช่องทางเล็กทางน้อย ส่วนความคิดความเห็นของบุรุษคือปุถุชนทั่วไปที่มีปณิธานความสามารถ 

 

 

เซียงฉือนึกปลง หากคนที่มาโน้มน้าวตนเป็นหรงฉู่ คิดว่าตอนนี้นางคงตอบรับแน่นอนไปแล้ว ตำแหน่งแบบนั้น ถึงแม้จะอันตราย แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมีความเย้ายวนอย่างมาก

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset