ตอนที่ 230 ซูกงกง
ดวงตาเซียงฉือแผ่ความเย็นเยียบออกมา สตรีชุดเหลืองเมื่อถูกนางตะโกนใส่เช่นนี้ก็ตกตะลึง มือของทหารข้างๆ ที่กดหลิ่วจุ้ยไว้ก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลงไปมาก
แต่เพียงชั่วครู่นางก็สงบลงได้
“เป็นเพียงสาวใช้ปากคอเราะราย ยังไม่ทันสอบได้เป็นข้าราชสำนักสตรี ก็ไม่เห็นผู้อื่นในสายตาถึงเพียงนี้”
“การใช้ป้ายคำสั่งน้อยในการสอบครั้งนี้เป็นข้อกำหนดพิเศษของซูเฟย เรื่องนี้ได้แจ้งกับผู้เข้าสอบที่ผ่านรอบแรกทั้งหมดแล้ว ถ้าเจ้าไม่รู้ก็ไปถามข้าราชสำนักสตรีที่ปรึกษาการสอบของเจ้า อย่ามาทำเสียงดังอยู่ที่ตำหนักเหวินอิงนี่!”
“ฮึ ไล่พวกนางออกไป!”
พอได้ยินเสียงขึ้นจมูกของสตรีคนนั้น ทหารองครักษ์สองคนจึงเริ่มขับไล่คนอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ในเวลานั้นซูกงกงก็มาถึงที่นี่พอดี เห็นเหตุการณ์เข้าถึงกับตกใจรีบส่งเสียงออกไป
“ช้าก่อน!”
ซูกงกงพูดลากเสียงยานคาง แต่ในโสตประสาทของเซียงฉือฟังราวเสียงสวรรค์
ข้าราชสำนักสตรีชุดเหลืองที่ยืนอยู่หน้าประตูเมื่อเห็นซูกงกงมาถึงก็ตกตะลึง วันนี้นางได้รับคำบัญชาจากซูเฟยจริงๆ จึงเจตนาไม่ให้หญิงสาวคนนี้เข้าไป
แต่เรื่องป้ายคำสั่งน้อยนั้นไม่ได้จำเพาะเตรียมไว้เพื่อทำความลำบากให้เซียงฉือเพียงคนเดียว สตรีผู้นี้ชื่อว่าเหวินเจวียน เป็นข้าราชสำนักสตรีขั้นที่ห้าของกองบริหารจัดการรวม ซึ่งทุกคนในหน่วยงานนั้นต่างล้วนมีฝีมือในการเจาะหาช่องทาง นางเองก็เพราะพันแข้งขาซูเฟยได้จึงได้อยู่ดีในทุกวันนี้
พอเห็นซูกงกงเข้าในตอนนี้ ถึงแม้ในใจนางจะสงสัยแต่ก็ยังให้เกียรติแก่ซูกงกง
จึงเดินยิ้มเข้าไปแล้วพูดขึ้น
“ตายจริง นี่ไม่ใช่ซูกงกงที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทหรอกหรือ เหตุใดวันนี้จึงว่างพอจะมาทำธุระในตำหนักเหวินอิงได้เจ้าคะ”
น้ำเสียงเหวินเจวียนชักกลัดกลุ้ม นางไม่ได้รู้สึกอะไรต่อซูกงกง เพียงแต่เรื่องนี้ซูเฟยสั่งนางมา วันนี้จึงต้องกันไม่ให้เซียงฉือได้เข้าสอบรอบสองอย่างเต็มที่
เมื่อวานซูเฟยจงใจส่งคนให้พาสวี่อี้ออกไปนอกวัง และส่งชิงอี๋ไปคอยสกัดไม่ให้นางได้ไปตามกองงานต่างๆ แล้วฟ้าก็เป็นใจเมื่อเกิดฝนตกหนักลงมา รั้งเซียงฉือกับชิงอี๋เอาไว้ในระหว่างทาง
วันนี้นางยังคงป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดด้วยการตั้งใจส่งเหวินเจวียนคนสนิทให้มาเฝ้าที่นี่
ถึงน้ำเสียงเหวินเจวียนจะมีความเกรงใจ แต่ก็ไม่ได้เห็นแก่หน้าซูกงกงสักเท่าไร ทหารองครักษ์ที่ไม่ได้รับคำสั่งของเหวินเจวียนจึงยังคงจับแขนเซียงฉือไว้แน่น กักนางเอาไว้
เซียงฉือหยุดดิ้นรนขัดขืน เพียงจ้องเหวินเจวียนอย่างโกรธแค้น
ซูกงกงฟังคำพูดของเหวินเจวียนแล้วรู้แจ้งแก่ใจถึงการสัประยุทธ์ของชาววังหลัง
“ข้าคิดว่าท่านนี้คือใต้เท้าเหวินเจวียนจากกองบริหารจัดการรวมกระมัง ใต้เท้าลำบากแล้ว วันนี้เป็นการสอบรอบสองของข้าราชสำนักสตรีมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ให้แม่นางเซียงฉือเข้าไปเล่า”
“หรือว่าแม่นางเซียงฉือมาสาย ข้าแก่แล้วสายตาไม่ค่อยจะดี เสี่ยวลี่จื่อ นี่เลยเวลายามซื่อแล้วหรือ”
ซูกงกงยืนอยู่กับที่ แม้จะรู้แต่ก็แกล้งถามออกไปเช่นนั้นเอง เจ้าลูกศิษย์น้อยก็แสนรู้ ผสมโรงพูดเสียงดังขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ขอรับ ยังเหลือเวลาอีกกว่าจะถึงยามซื่อ พวกนางไม่ได้สายขอรับ!”
เสี่ยวลี่จื่อเหลือบสายตามองเซียงฉือ กับหญิงสาวคนนี้เขามีภาพความทรงจำอยู่ เพราะวันนั้นอาจารย์ตั้งใจพาเขาไปเปิดหูเปิดตา ไปให้รู้ความคิดในใจฝ่าบาท
เขาเป็นคนมีความคิดรอบคอบ มีปฏิภาณเฉียบคม มิเช่นนั้นซูกงกงคงไม่เห็นค่าและเอาไว้ข้างตัวเช่นนี้
เมื่อเขาพูดจบ และคำพูดนี้ก็เข้าถึงหูของเหวินเจวียน นางจึงยิ้ม
“ซูกงกงยังคงไม่ทราบ ปีมีมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ใหม่ การจะเข้าสอบรอบสองนอกจากจะต้องมีป้ายหยกจากการสอบรอบแรกแล้ว ยังต้องมีป้ายคำสั่งน้อยของฝ่ายใน ปีนี้มีผู้สมัครสอบจำนวนมาก ซูเฟยทรงรับมือไม่ไหวจึงให้ผู้สมัครที่ประสงค์จะสอบเข้ากองงานไหน ให้ไปทำการสอบครั้งแรกกับกองงานนั้นก่อน”
ตอนที่ 231 ป้ายคำสั่ง
ซูกงกงฟังคำพูดของนางแล้วไม่ว่าอะไร แต่อดไม่ได้ต้องป้องปากหัวเราะขึ้นเบาๆ เมื่อเหล่ตามองเสี่ยวลี่จื่อที่ข้างกายแล้ว ก็ได้ยินเขาพูดขึ้น
“คำพูดของใต้เท้าเหวินเจวียนนี้ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ป้ายคำสั่ง? ใต้เท้าเหวินเจวียนช่างพูดตลกเก่งเสียจริง ถึงเรื่องนี้จะเป็นพระบัญชาซูเฟย แต่ก็ไม่ได้บอกไม่ใช่หรือว่าหากไม่มีมันแล้วจะเข้าไปไม่ได้น่ะ”
คำพูดของเสี่ยวลี่จื่อทำให้สีหน้าใต้เท้าเหวินเจวียนเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่ก็ยังหนักแน่นพอ ส่วนซูกงกงพอได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็พ่นลมออกจมูก เหลือบตามองฝ่ายตรงข้ามแล้วพูดขึ้น
“ใต้เท้าเหวินเจวียนกำลังกลั่นแกล้งแม่นางเซียงฉืออยู่กระมัง”
คำพูดของซูกงกงมีน้ำหนัก เหวินเจวียนมองดูนาฬิกาแดดบนพื้น ตอนนี้ห่างจากเวลาสอบอีกไม่มาก นางเพียงถ่วงให้พ้นจากเวลานี้ไปก็ใช้ได้แล้ว
ถึงแม้ฟังคำพูดของซูกงกงแล้วจะหวั่นใจอยู่บ้าง แต่เพราะมีความหนักแน่นจากการเป็นขุนนางมานานปีจึงทำให้นางเอ่ยปากขึ้นได้อย่างสงบ
“ซูกงกง คำพูดเช่นนี้ไม่อาจเอ่ยสุ่มสี่สุ่มห้าได้ จะอย่างไรข้าก็เป็นขุนนางชั้นที่ห้าในราชสำนัก ทั้งยังพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในวังหลังนี้ กงกงสามารถไปสอบถามเรื่องการทำงานของข้าได้ อีกอย่างข้ากับนางก็ไม่เคยมีความแค้นเคืองต่อกัน เหตุใดจึงต้องกลั่นแกล้งนางด้วย”
“คำพูดซูกงกงเช่นนี้ไม่อาจพูดเป็นเล่นไปได้”
เหวินเจวียนสะบัดมือแล้วหมุนครึ่งตัวดูคล้ายกำลังโกรธ ซูกงกงเป็นคนฉลาดจึงหัวเราะเยาะขึ้น
“ในเมื่อใต้เท้าเหวินเจวียนไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง เช่นนั้นก็ให้แม่นางเซียงฉือเข้าไปเถอะ การสอบข้าราชสำนักสตรีสามปีจึงจะมีขึ้นครั้งหนึ่ง วันเวลาของสตรีร่วงโรยง่ายจึงไม่ควรต้องพลาดจากโอกาสครั้งนี้ ขอให้ใต้เท้าเหวินเจวียนเปิดทางสะดวกให้ด้วย”
“ใต้เท้าเหวินเจวียนเป็นคนฉลาดย่อมต้องรู้ว่าข้าทำงานถวายฝ่าบาทมาตลอด ถึงจะบอกว่าเรื่องในวังหลังมีกุ้ยเฟยกับซูเฟยทั้งสองพระองค์ดูแลอยู่ แต่วังหลังนี้ก็เป็นวังหลังของฝ่าบาท”
“ใครเป็นที่ทรงโปรด คนคนนั้นจึงจะเป็นนาย แม่นางเหวินเจวียนเฉลียวฉลาด คิดว่าคงจะเข้าใจเรื่องพวกนี้กระมัง”
เซียงฉือได้ยินคำพูดซูกงกงเช่นกันและเข้าใจเจตนาของเขา ส่วนเหวินเจวียนในตอนนี้กลับสั่นสะท้านขึ้นมา
นางมองดูเห็นท่าทีของเซียงฉือเย็นเยือกจึงครุ่นคิดคำนวณในใจอยู่นาน เมื่อมองดูสายตาซูกงกงก็เห็นความหมายลึกซึ้งในนั้น นางไล่สายตาตามซูกงกงไปจนถึงเซียงฉือที่ด้านข้าง
ตอนนี้ที่นางคิดคำนวณไม่ใช่คำพูดของซูเฟย แต่ว่าเป็นเซียงฉือที่เป็นนางกำนัลคนหนึ่งในตำหนักอวี้หยวน เหตุใดจึงสามารถถูกซูกงกงเอ่ยขึ้นมาได้ ที่สำคัญที่สุด ซูกงกงนั้นตลอดมาจะไม่ข้องแวะกับเรื่องหยุมหยิมทั้งหลายในวังหลัง
หากจะบอกว่าเรื่องครั้งนี้ซูกงกงทำไปเองโดยพลการนางก็ไม่เชื่อเช่นนั้น นอกจากจะได้รับการอนุญาตลับๆ หรือแรงส่งเสริมจากฝ่าบาทเท่านั้น
ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่ซูกงกงบอกว่าเป็นที่โปรดปราน?
เหวินเจวียนรู้สึกว่าวิธีคิดเช่นนี้เมื่อผ่านสมองไปรอบหนึ่งแล้ว ตนเองจึงได้เข้าใจความหมายข้างใน นางไม่ต้องการให้ตนเองเสียหน้าจึงสะบัดมือให้ทหารทั้งสองปล่อยเซียงฉือกับหลิ่วจุ้ย
แล้วพูดออกไปอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“คำพูดซูกงกง ออกจะคับแคบไปหน่อยกระมัง”
“คำพูดแต่ละคำของซูกงกงเราล้วนเป็นพระประสงค์มิใช่หรือ ข้านี้โง่เขลานัก ต่อไปขอให้ซูกงกงช่วยชี้แนะให้มาก เรื่องในวันนี้ความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแต่เพราะนางกำนัลที่ชื่อหลิ่วจุ้ยคนนั้นจงใจติดสินบนข้า จึงทำให้ข้าโกรธขึ้นมาชั่วขณะ”
“ตอนนี้เมื่อเรื่องเข้าใจผิดพวกนี้กระจ่างแล้วและเวลาสอบรอบสองก็ใกล้จะถึงแล้ว แม่นางเซียงฉือรีบเข้าไปเถอะจะได้ไม่ผิดเวลา ใต้เท้าข้างในนั้น คงจะไม่พูดง่ายเช่นนี้หรอกนะ”