บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 240 หมดสติ / ตอนที่ 241 พลิกสถานการณ์

ตอนที่ 240 หมดสติ

 

 

“เซียงฉือ?”

 

 

“เซียงฉือเจ้าตื่นสิ”

 

 

เมื่อครู่ตอนสวี่อี้รับนางไว้ ร่างของนางก็อ่อนยวบลงมา สวี่อี้ประคองนางไว้อย่างลนลาน เรียกชื่อนาง แต่เซียงฉือไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง สีหน้าซีดขาวสลบไสลไป

 

 

ความโกลาหลเกิดขึ้นในฝูงชนหลังจากนั้น ข้าราชสำนักสตรีจากกองโอสถหลายคนรีบเข้าไปตรวจชีพจรและการหายใจของนาง

 

 

แล้วพูดกับสวี่อี้ว่า

 

 

“นางเพียงสลบไป แต่โดยรวมแล้วยังควรตรวจให้ละเอียดว่าเป็นอะไร”

 

 

สวี่อี้ได้ยินดังนั้นก็ถอนใจ นางก้มลงมองเซียงฉือแล้วพูดกับข้าราชสำนักสตรีกองโอสถว่า

 

 

“ต้องรบกวนใต้เท้าฉีแล้ว เรื่องสำคัญคือต้องช่วยคนก่อน”

 

 

สวี่อี้เห็นหวังชิงซิ่วหัวเราะอย่างไม่สำรวมอยู่ด้านข้างจึงส่ายศีรษะด้วยความรังเกียจ แล้วปลีกตัวตามไปด้วย

 

 

เซียงฉือฟื้นขึ้นหลังผ่านไปสามชั่วยาม

 

 

แต่ตอนนี้การสอบข้าราชสำนักสตรีรอบสองได้สิ้นสุดลงแล้ว เซียงฉือสอบไม่ผ่านแผนกเย็บปักจึงไร้วาสนาเป็นข้าราชสำนักสตรี

 

 

นางฟื้นขึ้นมาตอนพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว หลิ่วจุ้ยนั่งสีหน้าเป็นทุกข์อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นนางตื่นขึ้นจึงโน้มเข้าไปหา

 

 

“น้องสาวคนดี เจ้าฟื้นแล้ว ข้าตกใจแทบแย่”

 

 

หลิ่วจุ้ยช่วยพยุงให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วส่งเสียงดังสั่งออกไปข้างนอก ก็เห็นหงหงเดินหน้างอถือชามยาเข้ามา

 

 

“เอาละๆ อย่าเพิ่งพูดอะไร รีบดื่มยาก่อน ร่างกายสำคัญที่สุด”

 

 

หลิ่วจุ้ยสกัดคำพูดของเซียงฉือทันทีที่เห็นนางขยับริมฝีปาก ไม่ทันให้นางได้อ้าปาก

 

 

“เจ้านี่นะ ไม้ซีกจะไปงัดอะไรกับไม้ซุง ไม่ต้องมาทำเก่ง ดื่มยาซะ”

 

 

หลิ่วจุ้ยมองดูเซียงฉือด้วยความเสียดายเช่นกัน จะว่าไปใจนางก็ไม่รู้สึกยินยอมด้วย เป็นเพราะอย่างน้อยนางก็ได้รู้อะไรมาบ้าง เซียงฉือหลุบตาลง ครุ่นคิดถึงคำพูดของหลิ่วจุ้ยอยู่ในใจ

 

 

เห็นทีคงมีคนจงใจกระทำ

 

 

“ท่านพี่ หรือว่าใต้เท้าสวี่อี้ได้พูดอะไร”

 

 

เซียงฉือจำได้ว่าตอนนางหมดสติสวี่อี้อยู่ข้างกายนาง ที่หลิ่วจุ้ยพูดเช่นนี้ จะต้องเป็นเพราะสวี่อี้บอกอะไรกับนางเป็นแน่ มิเช่นนั้นนางจะมองออกได้อย่างไร

 

 

“เฮ้อ สอบไม่ได้ก็สอบไม่ได้สิ ไว้ค่อยสอบใหม่ก็แล้วกัน ใต้เท้าสวี่บอกแล้วว่าครั้งนี้ซูเฟยจงใจขัดขวางท่าน ส่วนจินกุ้ยเฟยก็คิดจะรั้งท่านไว้ข้างกาย ปล่อยให้เซียงซือไปอยู่ข้างกายฝ่าบาท เป็นการรับประกันสองชั้น ท่านน่ะไม่มีวาสนาจะได้เป็นขุนนางกับเขา”

 

 

“ยอมรับเสียเถิดนะพี่เซียงฉือ”

 

 

หลิ่วจุ้ยไม่พูดจา เอาแต่นั่งทอดถอนใจอยุ่ข้างๆ แต่เป็นหงหงที่ปากไวใจตรง คงเป็นคำพูดของสวี่อี้ ส่วนนางคิดอะไรได้ก็พูดออกมาแบบนั้น เซียงฉือพอฟังแล้วร่างกายที่เขม็งเกลียวอยู่ก็กลับคลายลง

 

 

นางกระแทกตัวลงพิงหมอนด้านหลังแรงๆ มองดูชามยาสีดำปี๋แล้วหัวเราะเบาๆ รับข้ามมาจากมือของหลิ่วจุ้ย น้ำตาร้อนผ่าวหยดหนึ่งร่วงต๋อมลงไปในชามยา

 

 

เซียงฉือไม่พูดอะไร ยกชามยาขึ้นแล้วกรอกยาน้ำสีดำลงไป

 

 

“อืม ร่างกายสำคัญที่สุดจริงๆ ด้วย มิเช่นนั้นแล้วคงไม่หมดสติไปแบบนี้ ทำให้ท่านพี่ต้องเป็นห่วง”

 

 

เซียงฉือดื่มยาลงไป รสขมเฝื่อนของยาผสมกับความขมขื่นใจ ถูกนางกลืนลงไปอย่างกล้ำกลืนฝืนใจ

 

 

ในขณะที่ความหวังของนางเพิ่งจะจุดติดขึ้น แต่แล้วน้ำเย็นจัดอ่างหนึ่งก็ได้ดับความหวังนางให้มอดลงอย่างโหดร้าย

 

 

ซูเฟย กุ้ยเฟย หวังชิงซิ่ว ระยะนี้นางมัวจมอยู่ในความยินดีปรีดา จมอยู่กับสิ่งที่ตนคิดว่าใช่ กระทั่งลืมเสียสนิทว่าตนนั้นอยู่ในวังลึกล้ำที่มีแต่ความกลับกลอกปกคลุมอยู่แน่นหนา แต่ถึงกับเพ้อฝันจะใช้กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอย่างโดยลำพัง

 

 

ช่างน่าหัวร่อเสียจริงๆ

 

 

 

 

ตอนที่ 241 พลิกสถานการณ์

 

 

เซียงฉือหลังดื่มยาแล้วก็ลงไปซุกตัวใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ใจของนางไม่ยินยอม

 

 

“ข้าราชสำนักสตรีในกองโอสถคนหนึ่งเป็นเพื่อนสนิทของใต้เท้าสวี่อี้มานาน นางบอกว่าเจ้าถูกยาสลบจากดอกมั่นถัวหลัว[1] ถึงได้หมดสติเช่นนี้ เรื่องนี้มีคนจากเบื้องบนสั่งให้เก็บเป็นความลับ เพียงให้เจ้ารับรู้ไว้ในใจก็พอ”

 

 

หลิ่วจุ้ยเห็นเซียงฉือไร้ชีวิตชีวาจึงใคร่ครวญหลายหนก่อนจะบอกเรื่องนี้แก่นาง

 

 

เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้น พาหงหงออกไปจากห้องของเซียงฉือ กำชับนางพักผ่อนให้เต็มที่

 

 

พลบค่ำนี้เซียงฉือกระสับกระส่ายอยู่ในผ้าห่ม กองไฟร้อนแรงภายในใจยังคงโหมลุกโชน

 

 

ความอัดอั้นตันใจเนื่องเพราะสารพัดวิธีการที่น่ารังเกียจของหวังชิงซิ่วในวันนี้ ทำให้นางเดือดดาลอย่างยิ่ง

 

 

“ข้าอวิ๋นเซียงฉือใช่จะยอมให้รังแกได้ตามอำเภอใจ ไม่ใช่เด็ดขาด!”

 

 

เซียงฉือลุกขึ้นจากใต้ผ้าห่ม จัดแจงเครื่องแต่งกายและตัวเองให้ดูดี นางจะต้องไปหาคนคนหนึ่ง นางเชื่อว่าตนเองยังมีโอกาส

 

 

ในขณะที่ยังคงเลือกได้จะต้องฉกฉวยโอกาสไว้ ในขณะที่ยังฟื้นตัวได้ ย่อมต้องไม่เลือกวิธีการ

 

 

เซียงฉือรู้ว่าแม้ตอนนี้สวี่อี้คิดจะช่วยเหลือนางแต่ก็ไม่มีกำลังเพียงพอ ถึงนางจะมีความสามารถสูง แต่ก็ไม่ใช่หัวหน้าในกอง นางจึงมีใจแต่ก็ไร้กำลัง

 

 

แต่เซียงฉือคิดถึงคนคนหนึ่ง คนคนนั้นต้องช่วยนางได้แน่

 

 

และนางก็กำลังต้องการความช่วยเหลือจากนาง มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยได้

 

 

นัยน์ตาเซียงฉือมีทั้งความอัดอั้น ความแข็งกร้าว และที่มากที่สุดคือความหวัง

 

 

นางเดินอย่างรวดเร็วจนมาถึงที่นี่ ยืนอยู่ข้างภูเขาจำลองมองดูประตูสูงใหญ่เบื้องหน้า และตัดสินใจ

 

 

“กองราชเลขา!”

 

 

อักษรดิ้นทองพื้นแดงตัวใหญ่แขวนไว้เบื้องบนของซุ้มประตู

 

 

เซียงฉือยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงเดินเข้าไป

 

 

“ใคร? กองราชเลขาเป็นสถานที่สำคัญ ไม่มีป้ายผ่านห้ามเข้า”

 

 

ทหารองครักษ์ขัดขวางเซียงฉือตามหน้าที่เต็มความรับผิดชอบ เซียงฉือไม่โกรธ นางยิ้มน้อยๆ พูดกับพวกเขาว่า

 

 

“ท่านพี่ทหารทั้งสอง ข้าชื่ออวิ๋นเซียงฉือเป็นนางกำนัลของตำหนักอวี้หยวน มีความประสงค์จะขอพบใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อของกองราชเลขานี้ ขอรบกวนช่วยแจ้งท่านให้ด้วย!”

 

 

เซียงฉือพูดและยิ้มให้ทหารองครักษ์ทั้งสองอย่างนุ่มนวล กองราชเลขาเป็นหน่วยงานรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ดังนั้นบุคลากรของที่นี่ล้วนคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน มีการตรวจสอบการเข้าออกอย่างเข้มงวด

 

 

จุดประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีผู้ปองร้ายฮ่องเต้ เซียงฉือรู้ว่านางไม่อาจได้พบเหอจิ่นเซ่ออย่างง่ายดาย

 

 

แต่นางไม่อาจละเลยได้ เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของนาง

 

 

เซียงฉือยังจำจดหมายที่เหอเจี่ยนสุยเขียนถึงนางได้ ในจดหมายเต็มไปด้วยความคาดหวังถึงอนาคต กับความจริงใจที่ร้อนแรงดุจเดียวกับที่นางใฝ่หา

 

 

นางจะละทิ้งเช่นนี้ไม่ได้ ใจที่หยิ่งทะนงไม่ยอมให้นางละทิ้งไปง่ายดายเช่นนี้

 

 

ไม่ว่าจะมีคนมากน้อยเพียงใดคอยขัดขวาง ขอเพียงนางเชื่อว่าเป็นสิ่งถูกต้อง ก็ควรจะยืนหยัดต่อไป

 

 

ทหารองครักษ์ทั้งสองได้ยินคำพูดของเซียงฉือ และเพราะนางเป็นนางกำนัลอาวุโสของตำหนักอวี้หยวนซึ่งย่อมไม่อาจละเลยได้จึงส่งคนหนึ่งเข้าไปรายงาน แล้วก็ได้ข่าวออกมาอย่างรวดเร็ว

 

 

“ใต้เท้าเหอมีงานยุ่งมาก วันนี้จะไม่พบคนนอก ให้เจ้ามาใหม่วันหลัง”

 

 

ทหารองครักษ์คนนั้นตอบเซียงฉืออย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร เซียงฉือมองดูสิ่งปลูกสร้างสองชั้นข้างใน มองดูเงาร่างงดงามข้างหลังร่มไม้ นางเชื่อว่าเวลานี้เหอจิ่นเซ่อจะต้องมองดูนางอยู่จากที่ใดที่หนึ่ง

 

 

และคงยังเสียดายในตัวนางอยู่ แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ของนางดี ถ้าหากรับนางไว้ สำหรับนางแล้วก็จะเป็นการล่วงเกินต่อทั้งกุ้ยเฟยและซูเฟยในคราวเดียวกัน

 

 

ถึงนางจะบอกว่าตนเองเปิดเผยและโปร่งใส แต่หากเซียงฉือไม่คู่ควร เช่นนั้นแล้วนางย่อมไม่มีทางที่จะทำเรื่องโง่ๆ เพื่อนางอย่างเด็ดขาด

 

 

 

 

[1] ดอกมั่นถัวหลัว  (曼陀罗花)  หรือ ดอกลำโพง

บุปผาเคียงบัลลังก์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ครอบครัวตระกูลอวิ๋นต้องโทษทั้งตระกูล บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้ชายถูกเนรเทศ ผู้หญิงต้องเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัล แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ อวิ๋นเซียงฉือ ก็ไม่เคยหมดหวัง ชีวิตในวังหลวงแม้เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีแต่นางก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีคอยอยู่เคียงข้าง รวมไปถึง หรงฉู่ องครักษ์หนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญ เขาคอยช่วยเหลือนางหลายอย่าง และในระหว่างนั้นเองความจริงเรื่องตระกูลของนางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset