ตอนที่ 244 วาจาหรงจิง
เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำพูดของเซียงฉือแล้วนิ่งเงียบไปชั่วขณะ หลายวันก่อนฝ่าบาทบ่นอยู่ตลอดว่ากองราชเลขานั้นดีแต่ชื่อ
สถานที่ใหญ่โตเช่นนี้ หญิงสาวทุกคนที่จะทำให้เขาพึงพอใจต้องตามข้อเรียกร้องที่สูงยิ่งของหรงจิง สมัยนั้นเพราะเหอจิ่นเซ่อมีลายมืองดงาม ฝีมือการวาดภาพสูงล้ำทำให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมองเห็นความสามารถ แต่ตอนนี้หรงจิงแตกต่างไปจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน
เขาไม่ชอบการวาดภาพแต่ชื่นชอบการเขียนหนังสือ และมักจะคิดถึงคำพูดของราชครูขึ้นเสมอว่าลายมือดุจดังเจ้าของ ดังนั้นจึงตั้งความต้องการกับข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาเสียสูงลิบ
มีการสับเปลี่ยนข้าราชสำนักสตรีไปทั่ว คนที่ตนเห็นว่างดงามมีสง่าล้วนถูกส่งเข้าไปรับใช้ในตำหนักเจิ้งหยาง แต่ไม่ทันถึงเดือน หรงจิงก็จะขอเปลี่ยนคนใหม่
เหอจิ่นเซ่อถึงกับปวดศีรษะ ลายมือของผู้หญิงพวกนั้นนับว่างามวิจิตรแล้ว ตัวอักษรของผู้หญิงโดยมากจะเป็นตัวบรรจงแบบจานฮวา มีรูปลักษณ์งดงามสะอาดตาบ่งบอกถึงความคิดอ่านของสาวงาม
หลายวันก่อนฝ่าบาทยังทรงชื่นชมอยู่ แต่ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งก็มักจะไม่พอใจ
คนข้างนอกต่างบอกว่าเหอจิ่นเซ่อเปลี่ยนวิธีการเพิ่มสาวงามแก่ฝ่าบาท แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ เพราะฝ่าบาทพูดกับนางทุกวันว่าลายมือของหญิงสาวพวกนั้นยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าตา
นางไม่สามารถป่าวประกาศออกไป ได้แต่ทนแล้วสืบเสาะหาในทางลับ
ตอนนี้เพิ่งจะได้ผิงผิงมาไม่ทันไร เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
‘ฝ่าบาท หม่อมฉันกำลังเสาะหาคนให้ฝ่าบาทอยู่ ตอนนี้จินกุ้ยเฟยได้เสนอนางกำนัลคนหนึ่งชื่อเซียงซือ ลายมือตัวบรรจงของนางนับว่าใช้ได้ รอให้อบรมอีกสักระยะแล้วจะส่งมาถวายเพคะ’
น้ำเสียงของหรงจิงทำให้เหอจิ่นเซ่อได้ยินแล้วต้องพูดปลอบใจ แต่ไม่คิดว่ากลับทำให้หรงจิงสนใจขึ้นมา สายตาที่เดิมก้มอ่านรายงานอยู่พลันช้อนขึ้น
‘อ๋อ? เซียงซือ? อยู่ในตำหนักกุ้ยเฟย เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินนางพูดถึงมาก่อน’
หรงจิงเลิกคิ้วอย่างครุ่นคิด มองดูเหอจิ่นเซ่อแล้วคิดมากไปกว่านั้น เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ พูดว่า
‘ใต้เท้าเหอมาดูอะไรนี่แน่ะ ใช่ลายมือของเซียงซือหรือไม่’
หรงจิงกางผ้าเช็ดหน้าในมือออกส่งให้เหอจิ่นเซ่อ ดวงตาส่งประกายวิบวับ เหอจิ่นเซ่อเข้าใจจึงยิ่งให้ความสำคัญกับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ถือไว้ในมือ มองดูอย่างจริงจัง
‘ในเมื่อฝ่าบาทมีสตรีทรงภูมิเช่นนี้อยู่แล้ว เหตุใดจึงยังคงกดดันหม่อมฉันให้ไปหาสาวงามให้ฝ่าบาทเสียทั่วเล่าเพคะ’
เหอจิ่นเซ่อคืนผ้าเช็ดหน้าถึงมือหรงจิง รอยยิ้มนางเจ้าเล่ห์ แววตาคล้ายโกรธและตัดพ้อ ทำให้หรงจิงนึกขำ รับผ้าเช็ดหน้ากลับแล้วมองตัวอักษรบนนั้น
‘ไหนใต้เท้าเหอพูดมาซิว่า ลายมือบนผ้าเช็ดหน้านี้กับลายมือของเซียงซือ อันไหนดีกว่ากัน’
เหอจิ่นเซ่อได้ยินดังนั้นก็งงงวย เห็นท่าทางของหรงจิงแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ
‘ต่างก็มีความงามของตนเพคะ บอกไม่ได้ว่าใครดีกว่าใคร ตัวอักษรของเซียงซือเขียนได้เรียบร้อยบรรจง เห็นได้ว่าการอบรมของครอบครัวนั้นดียิ่ง ให้ถวายงานเขียนคัดอักษรดูเหมาะสม แต่หากพูดถึงบุคลิกความสง่างามแล้ว ตัวอักษรบนผ้าเช็ดหน้าดูแล้วสบายตา สบายใจ หาได้ยากยิ่งเพคะ’
เหอจิ่นเซ่อมีเจตนายกยอสตรีคนนั้นเพิ่มขึ้นสามส่วนเพื่อทำให้หรงจิงดีใจอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับนางแล้ว นางชื่นชอบลายมือของเซียงซือมากกว่า เชื่อฟังอยู่ในแบบแผน ดูเป็นหญิงสาวงดงามที่อ่อนโยนมีสัมมาคารวะ
แต่เมื่อเป็นสิ่งที่หรงจิงให้ความสำคัญแล้ว นางมีแต่ต้องยกย่องมากขึ้น และเมื่อหรงจิงได้ฟังคำเยินยอของเหอจิ่นเซ่อแล้วก็ยินดีอย่างยิ่ง พูดขึ้นยิ้มๆ
‘ก็นั่นน่ะสิ ข้าชื่นชอบลักษณะของตัวอักษรในแต่ละบรรทัด อ่อนโยนแต่ไม่ยั่วยวน คล้อยตามและไม่สงสัย’
ตอนที่ 245 ลายมือดุจเจ้าของ
หรงจิงค่อยๆ หยุดลง เขามองดูเหอจิ่นเซ่อแล้วเลิกคิ้ว ตาทอประกายเอ่ยขึ้นว่า
‘เซียงซืออะไรคนนั้นก็ไม่ต้องแล้ว ฟังจากที่เจ้าพูดดูไม่ต่างจากผิงผิงสักเท่าไร ข้าต้องการนาง’
หรงจิงชี้ไปยังผ้าเช็ดหน้าบนมืออย่างมีชีวิตชีวา ยามเขายิ้มอสูรเจ้าเสน่ห์ยังไม่อาจเทียบเคียง ใจของเหอจิ่นเซ่อสะดุดลง นางเป็นเหมือนผู้เฒ่าในวังไปเสียแล้ว
ถึงจะไม่กล้าพูดว่าตนเฝ้ามองหรงจิงเติบโต แต่นางก็อายุมากกว่าเขาหลายปี และอยู่เคียงข้างเสมอมาตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ สำหรับหรงจิงแล้ว นางจึงพอมีความเข้าใจอยู่บ้าง
แววตาของเขาในตอนนี้ มีความปรารถนาอยากเป็นเจ้าของอย่างแรงกล้า ทำให้เหอจิ่นเซ่อรู้สึกลนลาน เพราะนี่เป็นการบ่งบอกว่าเมื่อหรงจิงต้องการแล้วเป็นต้องได้
เหอจิ่นเซ่อยังมีความลังเล นางเห็นลายมือนั้นแล้วคิดถึงเซียงซือ จากนั้นก็คิดไปถึงเซียงฉือ
ผู้ใหญ่ในบ้านมักกล่าวแก่นางเสมอว่า ลายมือดุจตัวตนคนเขียน
นางพบเซียงซือและเห็นลายมือของนางแล้ว สมเป็นเจ้าตัวจริงๆ เรียบร้อยเชื่อฟัง ลายมือลื่นไหลเปี่ยมพลังสมตัว และนางก็เคยพบเซียงฉือ ภาพของนางที่ปรากฏขึ้นต่อหน้านั้นเย่อหยิ่งราวนกยูง พร้อมที่จะกางปีกบินขึ้นสูงได้ตลอดเวลา แต่นางมีน้ำใจและรู้กาลเทศะ อยู่ในวังนี้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม ให้ความรู้สึกเป็นสตรีอ่อนเยาว์ที่มีรสชาติ
เหอจิ่นเซ่อคิดจนใจลอย แต่ยังดีที่ว่าหรงจิงยามนี้ก็ใจลอยเช่นกันจึงไม่ทันสังเกตเห็น ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเหอจิ่นเซ่อเห็นสายตาหรงจิงเช่นนั้นก็ยิ้ม
เดิมนางตั้งใจจะบอกปัดคำขอร้องของเซียงฉือ ถึงแม้นางจะร้อนรนขนาดนั้น กระทั่งทำเรื่องที่นางไม่ปรารถนาจะทำออกมาได้ แล้วยังอ้อนวอนขอร้อง แต่เหอจิ่นเซ่อกลับไม่ต้องการให้นางเข้ากองราชเลขา
เนื่องเพราะอารมณ์ของนาง นางไม่รู้ว่าทำเช่นนี้แล้วเป็นการดีหรือไม่ จะช่วยให้นางสมปรารถนาได้จริงหรือไม่
แต่ตอนนี้เหอจิ่นเซ่อเชื่อเรื่องลิขิตสวรรค์แล้ว ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นคงเป็นของอวิ๋นเซียงฉือแน่ แล้วหากวันนี้นางไม่ให้นางได้เป็นข้าราชสำนักสตรี ดูจากความสนใจของหรงจิงในวันนี้แล้ว วันหน้าคงจะต้องสถาปนานางในฐานะพระสนมโดยตรงเป็นแน่
คิดดังนี้แล้วนางจึงยิ้มออกมา
‘ไม่ทราบว่าสตรีคนนี้ได้เข้าร่วมการสอบข้าราชสำนักสตรีในครั้งนี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันก็ไม่กลัวว่าต้องล่วงเกินต่อกุ้ยเฟย จะต้องหาสตรีคนนี้มาถวายต่อเบื้องพระพักตร์ให้จงได้เพคะ’
หรงจิงฟังความของเหอจิ่นเซ่อแล้วก็เข้าใจความหมายของนาง
เขากำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้แล้วยิ้ม
‘เอาเถอะ เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ซูเฟยจึงส่งผิงผิงมา หากไปปฏิเสธทางฝั่งกุ้ยเฟย นางคงมาอาละวาดเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นก็รับไว้ทั้งคู่ก็แล้วกัน’
‘ใต้เท้าเหอ ข้าขอพูดไว้ก่อน อย่าได้มีการย้อมแมว ข้าไม่ต้องการให้ตำหนักเจิ้งหยางตกเป็นเป้าสายตาตำหนักอื่นๆ’
หรงจิงพูดชัดตรงอย่างไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย คงเพราะพูดกับเหอจิ่นเซ่อ เขาจึงคร้านที่จะอ้อมค้อม
เหอจิ่นเซ่อได้ยินแล้วก็ยิ้มพูดต่อว่า
‘พระดำรัสของฝ่าบาทหม่อมฉันจดจำแม่นในใจแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ’
นางพูดจบเห็นหรงจิงพยักหน้าจึงถอยออกจากตำหนักเจิ้งหยาง เมื่อออกมาถึงข้างนอกก็ปะเข้ากับซูกงกงที่ยกถ้วยน้ำแกงกำลังจะเข้าไปพอดี
ทั้งคู่เผชิญหน้ากัน ซูกงกงชะงักแล้วถามว่า
‘ใต้เท้า เหตุใดจึงหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้ หรือว่าฝ่าบาทตรัสเรื่องยุ่งยากอะไร’ เมื่อเห็นเหอจิ่นเซ่อขมวดคิ้วมุ่นเช่นนั้นซูกงกงจึงได้ถามขึ้น
เหอจิ่นเซ่อได้ยินคำถามก็ชะงัก แล้วพูดเบาๆ กับซูกงกงว่า
‘ก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร สำหรับข้าแล้วคิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่รู้ว่าในอนาคตเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร จะเป็นโชคหรือวิบากก็ยังมองไม่ออก’
‘ลำบากกงกงให้เป็นห่วงแล้ว ข้ายังมีธุระต้องไปทำให้ฝ่าบาท เช่นนั้นก็ไม่รบกวนแล้ว’