ตอนที่ 266 โกรธเกรี้ยว
เซียงฉือดึงแขนนางไว้ รอยนิ้วมือห้านิ้วปรากฏขึ้นเด่นชัดบนใบหน้า นางไม่สนใจและไม่ใส่ใจ เอาแต่ยุดนางไว้ คิ้วขมวดมุ่นและดวงตาเย็นเฉียบ
เซียงฉือเองก็โกรธ พูดกับนางด้วยเหตุผลแต่นางกลับพาลหยาบคายเช่นนี้ อย่าว่าแต่วันนี้ฝ่าบาทไม่อยู่ที่นี่ และถึงแม้ว่าอยู่ ก็จะต้องให้อธิบายเหตุผลออกมาให้ได้จึงยุดนางไว้ด้วยท่าทางหากไม่ได้รับคำตอบก็จะไม่ยอมปล่อยมือ
“ตายแล้วๆ แม่นางทั้งสอง ที่นี่เป็นตำหนักเจิ้งหยางนะ และฝ่าบาทกำลังจะเสด็จกลับมาแล้ว พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ รีบปล่อยมือเสีย!”
ซูกงกงพอเข้าประตูหน้ามาก็เห็นสตรีทั้งสองกำลังจดจ้องกันอยู่ อุณหภูมิรอบตัวลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
ถึงซูกงกงจะเป็นคนสนิทของหรงจิง แต่ตลอดมาเขาไม่ใช่คนวู่วาม ในเวลานี้ถึงแม้จะสามารถดุให้ทั้งคู่หยุดมือได้ แต่กลับเดินเข้าไปพูดกับหญิงสาวทั้งสองด้วยเสียงเบานุ่มนวล
“กำลังทำอะไรกันอยู่เล่านี่ ตายแล้ว หน้าแม่นางเซียงฉือไปโดนอะไรมา?”
ซูกงกงช้อนตาขึ้นก็เห็นรอยแดงห้านิ้วบนใบหน้าเซียงฉือชัดเจน เขาย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เขามีนิสัยไม่ชอบล่วงเกินพระสนมนายหญิงน้อยทั้งหลาย
เซียงฉือไม่ยอมปล่อยมือ ผิงผิงถูกเซียงฉือดึงแขนไว้จนรู้สึกเจ็บจึงขมวดคิ้วมองนางแล้วพูดเสียงเย็น
“ปล่อยมือ!”
เซียงฉือมีนิสัยแข็งกร้าว ตอบกลับอย่างเย็นชาเช่นกัน
“ไม่ปล่อย เจ้าต้องขอโทษข้า!”
เซียงฉือหากทำผิดแล้วถูกเจ้านายต่างๆ ในวังลงโทษนางยินยอมรับ โดยปกติแล้วนางจะไม่ต่อต้าน แต่ตั้งแต่วันแรกที่นางได้เป็นข้าราชสำนักสตรีก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมใช้ชีวิตที่จะให้ใครก็ได้รังแกอีกต่อไป
ตอนนี้ผิงผิงคิดใช้ฐานะตนเองสั่งสอนเซียงฉือ แต่ว่านางไม่ใช่จะยอมให้รังแกได้ง่ายๆ อีกแล้ว
ผิงผิงฟังคำของเซียงฉือแล้วราวกับได้ยินเรื่องตลกมาก มองดูท่าทางของเซียงฉือแล้วหัวเราะเสียงดัง
“เจ้าเนี่ยนะ คิดว่าเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้วใหญ่นักหรือ อย่างไรก็เป็นนังสารเลวนั่นแหละ”
“วันวันแสร้งทำตัวสูงส่ง ก็แค่ชาติกำเนิดต่ำต้อยสามัญ หมายยกระดับขึ้นเป็นหงส์บนยอดไม้!”
“ถุย ปู่เจ้าก็แค่ขุนนางสุนัขที่ทุจริตผิดกฎหมาย สมองทึบไร้ปัญญา ครอบครัวก็แตกฉานซ่านเซ็นไปถึงไหนแล้ว ยังจะมาเสแสร้งอะไรอีก!”
เพียะ เพียะ!
ผิงผิงยังพูดไม่ทันสิ้นเสียง ซูกงกงก็ห้ามไว้ไม่ทัน จึงได้ยินเสียงฝ่ามือแจ่มใสดังอย่างยิ่งขึ้นสองครั้งในตำหนักเจิ้งหยาง
เซียงฉือเดือดดาลขึ้นแล้วจริงๆ ดวงตานางแดงก่ำ แล้วตบผิงผิงไปสองฉาด
ไม่ว่าใครต่างมีขีดสุด ตอนนี้ผิงผิงร้ายกาจเช่นนี้ จะว่านางก็ว่าไป แต่กำเริบถึงกับด่าท่านปู่ว่าเป็นขุนนางสุนัข จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร บุตรที่ไม่อาจกตัญญูปรนนิบัติอยู่ข้างกายบุพการีอย่างเต็มที่ก็คืออกตัญญู ไหนเลยยังจะทนฟังคนข้างๆ ใช้วาจาหมิ่นถึงหัวหน้าครอบครัวได้เช่นนี้
เซียงฉือปล่อยมือผิงผิง แล้วดึงเสื้อนางกระชากเข้าหาตัวเอง จ้องมองอย่างโกรธเคือง
“เก็บคำพูดของเจ้าไปซะ มิเช่นนั้นครั้งหน้าข้าจะฉีกปากเจ้าให้ขาด ใครจะสนว่าเจ้าเป็นนายหญิงน้อย ในวังนี้แต่ไรมาไม่เคยขาดสาวงาม”
“ข้าขอเตือนเจ้าให้ม้วนหางเก็บแล้วกลับมาเป็นคนเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติอยู่ไม่สู้ตายว่าเป็นเช่นไร”
หากในยามปกติเซียงฉือย่อมไม่ใช้คำพูดเช่นนี้ แต่ไรมานางไม่ใช่ผู้หญิงอำมหิต แต่วันนี้ผิงผิงกระตุ้นไฟโทสะนางจนความโกรธขึ้นสมองจึงได้เป็นเช่นนี้
ดวงตาเซียงฉือแดงก่ำ เสียงแหบพร่าและสะกดกลั้นโทสะ เคยคิดว่าเซียงฉือเป็นสุภาพสตรีสงบเสงี่ยมดีงาม แต่ไม่คิดว่ายามนางโกรธขึ้นมาจะน่ากลัวเช่นนี้
พูดจบเซียงฉือก็ปล่อยมือ ผิงผิงที่ถูกนางกุมอยู่ในมือจึงร่วงตุบลงไปคุกเข่าอยู่ต่อหน้านาง ขาทั้งคู่อ่อนยวบอย่างรุนแรง
ตอนที่ 267 ลงมือหมายฆ่า
ขณะนั้นผิงผิงเกิดความหวาดกลัวอย่างยิ่ง แววตาของเซียงฉือที่นางเห็นเมื่อครู่ทำให้เชื่อสนิทใจว่าหากเมื่อครู่นางไม่ยอมผงกศีรษะละก็ นางคงจะดึงปิ่นออกจากผมแล้วฆ่านางในทันที
ความรู้สึกนั้นทำให้นางสั่นสะท้าน
ถึงในใจผิงผิงจะเกรงกลัวอย่างยิ่ง แต่โทสะที่เกิดจากความอับอายนั้นมีมากกว่า
เซียงฉือนั่นแหละที่มาแย่งหน้าที่และความเป็นคนโปรดไปจากนาง ตอนนี้ยังบังอาจมาข่มขู่นางอีก เมื่อคิดหน้าคิดหลังแล้วจึงไม่ยินยอมอย่างยิ่ง สายตาของนางที่กึ่งนั่งอยู่กับพื้นจึงค่อยๆ เย็นเฉียบขึ้นมา
เซียงฉือกวาดสายตาไปยังผิงผิงบนพื้น แล้วเบนสายตาไปทางอื่นด้วยไม่ปรารถนาจะมองนางอีก
ซูกงกงเห็นเหตุการณ์นั้นก็รู้ว่าไม่มีความจำเป็นที่ตนจะต้องตักเตือน แต่เมื่อเห็นรอยนิ้วมือบนแก้มของเซียงฉือแล้วก็เกิดความรู้สึกสงสารจึงพูดว่า
“ต่างก็เป็นหญิงสาวงดงาม ดูสิมาลงไม้ลงมือกันแล้วเป็นอย่างไร ใบหน้างดงามปานหยกบวมถึงขนาดนี้ อีกสักครู่ก็ต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว มาก่อให้ระคายเคืองพระยุคลบาทเช่นนี้ หากฝ่าบาทตำหนิลงมา จะว่าอย่างไร”
คำพูดซูกงกงเจือความโกรธอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้ตำหนิเซียงฉือ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเวทนานาง
เขาขยับกายไปดึงเซียงฉือพาเดินออกไปด้านข้าง ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้ลูกศิษย์ที่หน้าประตู ให้เขาเข้าไปปลอบผิงตาอิ้ง
ผู้ดูแลอาวุโสแห่งตำหนักเจิ้งหยางได้พบเห็นผู้คนสารพัดรูปแบบอยู่ทุกวี่วันจึงย่อมมีวิธีการร้อยแปดในการรับมือ
“แม่นางเซียงฉือรีบตามข้าไปเอาน้ำแข็งประคบลดความบวมเถิด ถ้าหากฝ่าบาทเห็นเข้าคงต้องแย่แน่ ถึงตอนนั้นหากฝ่าบาทตรัสถามขึ้นมา เจ้าว่าข้าควรจะทูลหรือไม่ทูลดี”
คำพูดซูกงกงมีเจตนาตักเตือนหญิงสาวที่ถูกความโกรธครอบงำจนทำเรื่องบุ่มบ่ามทั้งสอง สตรีของแคว้นเซียวจิ่งเน้นความประพฤติและคุณธรรม ทั้งคู่ประจันหน้าใส่กันเช่นนี้ เหมือนพวกยายแก่ข้างตลาดที่ชอบใช้กำลังมากกว่าเหตุผล หากเขาทูลฝ่าบาทแล้ว นางทั้งคู่ก็จะมีภาพพจน์ที่ย่ำแย่มากในพระทัยฝ่าบาท
ซึ่งเรื่องนี้พวกนางทั้งสองต่างก็เข้าใจดี
แต่ซูกงกงคิดไม่ถึงว่าคำพูดประโยคถัดไปของตน จะกลายเป็นชนวนจุดระเบิดให้ปะทุขึ้นอย่างแท้จริง
“ตายๆ ดูสิ หน้าเจ้าบวมขึ้นมาแล้ว ฝ่าบาททอดพระเนตรเข้าคงต้องปวดพระทัยแน่!”
ผิงผิงที่เริ่มเยือกเย็นลงพอได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฟังเหมือนซูกงกงเจตนาพูดกับนาง ทำให้นางเสียหน้า ด้วยความโกรธและอาย นางจึงดึงปิ่นออกมาจากผมแล้วพุ่งแทงไปยังเซียงฉือ
เซียงฉือหันหลังให้ผิงผิงจึงไม่รู้ อีกทั้งการกระทำของนางยังรวดเร็วมาก แม้ขันทีน้อยข้างๆ จะเห็นแต่ก็ขวางไว้ไม่ทัน
ปิ่นเงินฝังพลอยแดงพุ่งไปยังลำคอเรียวระหงขาวนุ่มของเซียงฉืออย่างรวดเร็วรุนแรง ซูกงกงกงก็หันหลังกำลังหายาให้นางทาจึงไม่รับรู้เหตุการที่เกิดขึ้นด้านหลังเช่นกัน
ชั่วเวลาเพียงลมหายใจเฮือกเดียว ปิ่นในมือผิงผิงก็เสือกไปถึงข้างกายเซียงฉือ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เซียงฉือเหมือนยังไม่รู้สึกตัว ยังคงลูบแก้มตนอย่างเบามือ
“โอ๊ะ!”
จู่ๆ ผิงผิงร้องขึ้น เซียงฉือหันหน้ากลับไปทันทีแล้วเบิ่งตาโตด้วยความตกใจและหวาดหวั่น มองดูปิ่นที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมกับมือหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กอีกสองข้าง
มือเล็กที่กำปิ่นอยู่ถูกฝ่ามือใหญ่จับบิด ไม่เพียงต้องรีบคลายมือ ขณะเดียวกันปิ่นในมือก็ร่วงลงพื้นไปทันที ส่งเสียงดังกังวาน
เคร้ง!
พริบตานั้นเซียงฉือตกตะลึงไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย นางไม่คิดว่าผิงผิงจะเหิมเกริมถึงขนาดจะฆ่านางเช่นนี้
ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวเซียงฉือ เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นความหวาดผวา
“เจ้า ถึงกับคิดจะฆ่าข้า?”