ตอนที่ 270 ลงโทษเป็นรางวัล
คำพูดหรงจิงแฝงความขบขัน เซียงฉือได้ยินแล้วก็อึ้งไป แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาตอบกลับได้ว่า
“ฝ่าบาทตรัสล้อเล่นแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงปกครองประเทศด้วยเมตตาธรรม ไม่มีใครในแคว้นเซียวจิ่งจะไม่แซ่ซ้องสรรเสริญ ทั้งกฎหมายเคร่งครัด มีการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน ประชาชนได้รับการศึกษา ไม่ใช่อนารยชน พูดกันรู้เรื่องด้วยเหตุผล เข้าใจความถูกผิดได้ชัดแจ้ง”
“ดังนั้นหม่อมฉันได้รับพระบารมีปกเกล้า คนรอบข้างก็ไม่กล้ารังแกตามอำเภอใจจึงไม่ต้องกังวลเพคะ”
คำพูดของเซียงฉือเป็นการกล่าวถึงการปกครองของหรงจิงว่าทำให้สังคมสงบสุข จิตใจผู้คนบริสุทธิ์ดีงาม ปฏิบัติตามจารีตประเพณี คนทุจริตกระทำความผิดมีน้อย กฎหมายย่อมให้ความคุ้มครองได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครรังแก
เซียงฉือพูดยกยอหรงจิงอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งสายตาของหรงจิงที่มองนางก็เห็นชัดปรุโปร่ง
เซียงฉือไม่กล้าเอ่ยปากอีก แล้วก็ได้ยินหรงจิงพูดขึ้นว่า
“ผิงตาอิ้งไร้มารยาทต่อหน้าข้า ให้ลงโทษตีร้อยไม้ จากนั้นส่งเข้าตำหนักเย็น เป็นตายตามชะตากรรม”
หรงจิงลั่นวาจาแล้ว ซูกงกงขานรับแล้วนำตัวผิงผิงออกไป ส่วนผิงผิงได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเหมือนดั่งคนตาย ไม่พูดไม่จา เซียงฉือเห็นสีหน้าหรงจิงแล้วไม่กล้าพูดอะไรมากอีก
ซูกงกงรับบัญชาจากฮ่องเต้แล้วจึงรีบเรียกขันทีจากด้านนอกสองคนให้หิ้วแขนผิงผิงออกจากตำหนักเจิ้งหยางไปราวถุงป่าน
เซียงฉืออยากขอความกรุณาให้นางแต่เห็นหรงจิงยื่นมือออกมา คำพูดที่ตั้งใจจะพูดจึงต้องกล้ำกลืนลงไป ดังนั้น ตำหนักเจิ้งหยางจึงตกอยู่ในความสงบ
เมื่อเซียงฉือเรียกสติคืนมาแล้ว ในตำหนักเจิ้งหยางจึงมีเพียงอวิ๋นเซียงฉือคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหรงจิงที่นั่งอยู่
หรงจิงถอนใจยาวแล้วพูดขึ้นก่อนว่า
“เจ้าก็ลุกขึ้นเถอะ มัวคุกเข่าอยู่เช่นนี้ไม่เจ็บเข่าหรือ”
เซียงฉือได้ยินแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ แต่พอคิดถึงเมื่อครู่ที่หรงจิงประทานโทษตีร้อยไม้แก่ผิงผิงแล้ว การหวดตีในวังนั้นลงมือกันอย่างเต็มแรง สำหรับผู้หญิงที่อ่อนแอแล้วจะสามารถทนได้อย่างไร มิเท่ากับเป็นการเอาชีวิตของนางหรอกหรือ
คิดแล้วเซียงฉือจึงยังไม่ลุกขึ้น เพียงเงยหน้ามองหรงจิง กัดริมฝีปากแล้วทำความเคารพ พูดขึ้นว่า
“หม่อมฉันเซียงฉือมีตาแต่หามีแววไม่ ถึงกับไม่รู้จักพระองค์ผู้เป็นจอมราชันย์ หม่อมฉันมีโทษ ขอฝ่าบาทลงโทษด้วยเถิดเพคะ”
เซียงฉือเพราะผ่านการตกใจมาน้ำเสียงจึงอ่อนเบาราวกับสายไหม ถึงจะเป็นการขอให้ลงโทษ แต่สำหรับหูของหรงจิงแล้ว ฟังดูมีเสน่ห์ เขายิ้มไม่พูด ยื่นมือหยิบขนมขึ้นมา
“ได้ ข้าขอลงโทษเจ้า กินขนมกรอบอวี้หวงตั้งนี้เสียให้หมด ห้ามไม่ให้เหลือแม้เพียงชิ้นเดียว”
เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น นางเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหรงจิงจึงตะลึงเล็กน้อยราวกับได้เห็นองครักษ์รักษาพระองค์ต๊อกต๋อยคนนั้น
ท่าทางนางเหมือนตกสู่ภวังค์ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ แล้วขอบคุณหรงจิง
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อเซียงฉือยิ่งนักเพคะ”
หรงจิงฟังโดยไม่ตอบ เพียงดึงมือนางขึ้นแล้ววางขนมกรอบอวี้หวงลงในฝ่ามือนาง จากนั้นหัวเราะเสียงดังเดินจากไป
เซียงฉือมองดูขนมกรอบอวี้หวงในมือและแผ่นหลังของหรงจิงที่เดินจากไปด้วยความตระหนก
จนกระทั่งแผ่นหลังของหรงจิงเลือนหายนางจึงได้ลุกขึ้น ขาทั้งสองอ่อนยวบราวผ้าจนเกือบจะทำจานแตก นางต้องยึดตั่งไว้จึงสามารถทรงกายลุกขึ้นได้
แต่ขาทั้งสองยังคงสั่นอยู่ แสดงว่าเมื่อครู่ก่อนนางคงตกใจไม่น้อย
วันนี้ผิงผิงหมายลอบฆ่านางจากด้านหลังทำให้นางตกใจขวัญผวาอย่างยิ่ง ส่วนคนที่ช่วยนาง คือหรงฉู่ที่นางคุ้นเคยคนนั้น และยังเป็นหรงจิงประมุขของแผ่นดินที่นางหวาดกลัวอีกด้วย
ตอนที่ 271 ทดสอบลายมือ
หรงจิงหรงฉู่ ชื่อทั้งสองโรมรันพันตูอยู่ในสมองของนางจนนางเหน็ดเหนื่อย
นางยัดขนมกรอบอวี้หวงเข้าปากชิ้นละคำใช้ฟันขบเบาๆ ในใจนึกปลงเป็นอย่างมาก
ผิงตาอิ้งที่เป็นคนโปรดในช่วงนี้ยังถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเพราะนางทำเสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ ฝ่าบาทโปรดนางมากมิใช่หรือ เซียงฉือมองไปทางที่แผ่นหลังนั้นเลือนหายไปแล้วบังเกิดความหนาวสะท้านขึ้นมา
ใครๆ ก็พูดว่าอยู่ใกล้ฮ่องเต้มิต่างกับอยู่ใกล้เสือ วันนี้นางได้รู้ได้เห็นแล้ว
เมื่อกินของว่างแล้วเซียงฉือก็ย่องเบาๆ ไปยังห้องหนังสือด้านใน ยืนอยู่หลังประตูมองเห็นหรงจิงกำลังนั่งทำงานอยู่
เซียงฉือตบหน้าผากนึกขึ้นได้ว่านางไม่ใช่สนมนางในอีกทั้งไม่ใช่นางกำนัล แต่เป็นข้าราชสำนักสตรีที่ต้องคอยรับใข้งานเอกสารของฝ่าบาท ดังนั้นจึงเดินเข้าไปถึงเบื้องหน้าหรงจิงแล้วทำความเคารพ
“เจ้าหน้าที่งานอักษรจากกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
เซียงฉือประสานสองมือระดับอก ย่อตัวโน้มกายทำความเคารพ อันเป็นการทำความเคารพของขุนนางในราชสำนักต่อฮ่องเต้อย่างเป็นพิธีการ นางกำลังทำความเคารพตามรูปแบบที่ข้าราชบริพารพึงปฏิบัติ
หรงจิงรับการคารวะจากนาง แล้วมองเซียงฉือด้วยสายตาแวววาวพูดขึ้นว่า
“ดีมาก จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็เป็นคนของข้าแล้ว”
หรงจิงเลิกคิ้ว สายตาที่มองดูเซียงฉือแวววาว ยิ้มบางๆ ขณะที่พูด เซียงฉือฟังแล้วรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน ขณะที่นางยังงุนงงอยู่ หรงจิงก็กวักมือเรียกนาง
“มาที่ข้างกายข้านี่ ข้ามีงานจะสั่ง”
เซียงฉือเลิกคิดสงสัยรีบเดินเข้าไป นางยืนอยู่ห่างจากข้างตัวหรงจิงครึ่งช่วงแขน โน้มกายแล้วจับปอยผมทัดหูเบาๆ มองตามทิศทางนิ้วมือของหรงจิง
“ลายมือเจ้าเป็นอย่างไรบ้างข้ายังไม่เคยเห็น ไหนลองคัดบทความนี้สักรอบซิ”
เซียงฉือมองตามนิ้วมือหรงจิงก็เห็นอักษรตัวเล็กแน่นขนัดน่าปวดหัวจึงเข้าใจในทันทีว่านี่เองที่เป็นประโยชน์ของข้าราชสำนักสตรีอย่างพวกนาง
ข้อแรกเพราะตำหนักเจิ้งหยางจัดอยู่ในส่วนวังหลัง ไม่สะดวกที่บุรุษจะเข้าวังมาเป็นเพื่อนอ่านในยามค่ำคืน และตัวอักษรที่เล็กมากยากจะแยกแยะออกได้ในเวลากลางคืนเช่นนี้ ต้องใช้ข้าราชสำนักสตรีมาค่อยๆ แยกแยะ
ประการที่สองเพราะเอกสารกราบบังคมทูลจากทหารรักษาชายแดนนั้นมักใช้สำนวนผิดพลาด ภาษาที่ใช้ก็หยาบ เซียงฉือจึงต้องค่อยๆ แยกแยะ ค่อยๆ แก้ไขเรียบเรียงจึงจะถวายฮ่องเต้ได้
เซียงฉือไม่รู้ว่าหรงจิงมีข้อเรียกร้องต่อลายมือสตรีมากมาย แต่สำนวนภาษาที่พวกนักรบใช้มักจะหยาบคายแข็งกร้าวจริงๆ ทว่าพอผ่านมือข้าราชสำนักสตรีแล้วก็จะเขียนออกมาอย่างอบอุ่นนุ่มนวลไปเสียหมด
ดังเช่น ‘ลมแรงพัดกระหน่ำ ทำให้กลางคืนไม่อาจนอนได้ มีประสงค์ทูลขอให้ฝ่าบาทพระราชทานกระโจมนอน มิเช่นนั้นยากจะนอนหลับ’
เมื่อผ่านการแก้ไขแล้วจะกลายเป็น ‘ลมยามค่ำคืนที่ชายแดนเย็นสบาย ตกดึกมองจันทร์คิดถึงบ้านเกิดที่จากมา’ ประโยคที่ว่ากลางคืนนอนไม่หลับนั้นถูกพวกนางเปลี่ยนเป็นคิดถึงอดีตบ้านเกิดเมืองนอน ทำให้หรงจิงต้องตกตะลึง ลักษณะที่ว่าไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่มีหลากหลายรูปแบบ
แต่ว่าข้าราชสำนักสตรีงานอักษรนี้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นและไม่อาจล้มเลิก ทั้งไม่สามารถใช้บุรุษรับงานในตำแหน่งนี้ได้ ซึ่งหรงจิงรู้สึกขัดเคืองอย่างมากตั้งแต่วันที่หรงจิงรู้จักกับเซียงฉือที่ริมทะเลสาบ ได้ฟังถ้อยเจรจาพาทีของนางแล้วรู้สึกว่านางมีความรู้ไม่น้อย ตอนนี้จึงส่งเอกสารให้นางพิจารณาแยกแยะเพื่อเรียบเรียงใหม่ เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่า นางจะแตกต่างกับสตรีอื่นอย่างไร
เซียงฉือรับบัญชาแล้วก็ไม่กล้าชักช้า กลับไปยังโต๊ะเล็กข้างหรงจิง นั่งลงอย่างนอบน้อมแล้วเริ่มอ่านเอกสารทั้งหมดรอบหนึ่งและทำความเข้าใจในความหมายหลังจากคิดพิจารณาครู่หนึ่งแล้วจึงลงมือเขียน
เซียงฉือไม่ได้จับพู่กันเขียนหนังสือมานาน ตอนนี้ทุ่มเทความคิดจมลงไปราวกับย้อนกลับวัยเยาว์ที่นางนั่งยืดตัวหลังตรงเพียงลำพังริมหน้าต่าง ตั้งใจขีดเขียนท่องอ่านเสียงใส
วันเวลาช่วงนั้นช่างเบิกบานอย่างยิ่ง