ตอนที่ 284 ไต่สวน
หรงจิงนั่งบนเก้าอี้ประทับ เขาถอดชุดมังกรออกเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว แต่มองคนเบื้องล่างด้วยสีหน้าไม่พอใจ ชวนให้อกสั่นระทึก
เซียงฉือไม่กล้าพูด นางรู้ว่าเวลานี้ยิ่งพูดมากก็จะยิ่งผิดมาก พูดน้อยผิดน้อย หากฝ่าบาทมีความเชื่อถือในตัวนางอยู่บ้างก็จะไม่ลงโทษนางหนัก ส่วนเซียงซือเล่า
เซียงฉือไม่รู้ว่าจะปกป้องนางได้อย่างไร
หรงจิงมองดูหญิงทั้งสองเบื้องหน้า สายตาเคลื่อนอยู่บนร่างทั้งสองเป็นเวลานานจึงได้เอ่ยขึ้น
“ซูกงกง ไปเรียกใต้เท้าเหอมานี่”
ซูกงกงได้รับบัญชาแล้วรีบสั่งขันทีน้อยให้ไปจัดการทั้งยังกำชับเพิ่มไปหลายคำจึงได้ให้ออกไป จากนั้นเป็นช่วงเวลาในความเงียบยาวนาน เซียงฉือคุกเข่าไม่พูดอะไรเลย เพราะนางไม่รู้จะพูดอย่างไร หากจะบอกว่าเป็นการไร้มารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ เช่นนั้นแล้วโทษหนักต้องถูกตีจนตายเป็นแน่ เพราะเมื่อวานก็มีผิงตาอิ้งเป็นตัวอย่างแล้ว
หากโทษเบาก็ยังต้องถูกตีสิบไม้ ตัดเบี้ยหวัดครึ่งปี นางไม่กล้าเอ่ยปาก เพราะนางหมดหนทางขอความเมตตา
ได้แต่รอให้หรงจิงเอ่ยปาก ตอนนี้นางตัดสินใจได้แล้วเช่นนี้จึงคุกเข่าอย่างสงบไม่เคลื่อนไหว เชื่อว่าเหอจิ่นเซ่อคงมีวิธีช่วยพูดให้นาง แต่เซียงซือกลับไม่ได้คิดเช่นนี้
นางคิดว่ามีเพียงเอ่ยปากก่อนเพื่อเป็นการพูดเอาดีเข้าตัว และย่อมต้องปิดบังเรื่องบางอย่างที่นางก่อไว้ให้ดี หากรอจนใต้เท้าเหอมาถึงจริงๆ แล้ว นางรู้ว่าเมื่อวานนางเพิ่งล่วงเกินใต้เท้าเหอไป วันนี้นางคงพูดเข้าข้างเซียงฉือ ชีวิตของตัวเองก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ต้องหาวิธีรักษาไว้
ดังนั้นแล้วนางจึงช้อนตาแอบมองหรงจิง เห็นสายตาหรงจิงที่มองมาดูเหมือนไม่น่ากลัวนักจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาททรงเมตตาด้วยเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ไม่กล้าอีกแล้วเพคะ!”
เสียงของเซียงซือแผ่วเบานุ่มนวลทั้งเจืออาการสั่น หากขณะนี้ทั้งคู่ถูกท่านปู่ลงโทษ ท่านย่อมผ่อนปรนให้กับเซียงซือที่อ่อนโยนและพูดเป็น แต่จะลงโทษหนักอย่างเข้มงวดกับเซียงฉือที่มักเย็นชาไม่ชอบโต้แย้งเสมอมา นอกจากนางจะเป็นบุตรสาวสายตรงบ้านสกุลอวิ๋นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือนางยังเป็นคนที่ไม่รู้จักอ่อนข้อให้ใครอีกด้วย
เซียงฉือได้ยินเซียงซือเอ่ยปากพูดก็รู้สึกหนักใจ แต่หรงจิงยิ้ม ร้อนรนเสียขนาดนี้ เขาเกิดนึกอยากจะรู้ว่าพี่สาวของเซียงฉือคนนี้จะพูดอะไรออกมาบ้าง
วันนั้นหรงจิงพบอวิ๋นเซียงฉือในตำหนักกุ้ยเฟย เดิมคิดว่าคงเป็นเพราะกุ้ยเฟยเห็นซูเฟยส่งผิงตาอิ้งมาให้ แล้วเขาก็ให้สิทธิพิเศษแก่นางให้รับใช้อยู่ในตำหนักเจิ้งหยางอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ผิงผิงคนนั้น นับวันยิ่งพาลเอาแต่ใจ ความอ่อนหวานนุ่มนวลแต่เดิมหายไปสิ้น
เมื่อมีผิงผิงเป็นตัวอย่างอยู่ก่อนเช่นนี้จึงต้องเข้มงวดกวดขันกับอวิ๋นเซียงฉือ เขาฝากความหวังไว้กับอวิ๋นเซียงฉือมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้นางโอหังอวดดีหากได้เป็นคนโปรดในวันหน้า
เป็นคนข้างกายฮ่องเต้ เขาย่อมรู้ดีว่าตำแหน่งนี้มีคนไม่น้อยที่ปรารถนา และเพราะว่าเข้าใจ ก่อนที่เขาจะได้พบคนที่เหมาะสมคนนั้น เขาจึงวนเวียนไปตามตำหนักต่างๆ ลอบเฟ้นหาอยู่ในตำหนักเหล่านั้น
ตอนนี้เขาได้เซียงฉือมาและใช้ได้อย่างสบายใจที่สุด เขาจึงย่อมต้องใช้วิธีการของตัวเองในการขัดเกลาสักพัก
และเขาหวังว่าอวิ๋นเซียงฉือคนนี้จะไม่ทำให้เขาผิดหวังถึงจะถูก
หรงจิงได้ยินคำพูดเซียงซือแล้วไม่อาจทำเป็นไม่ได้ยินได้จึงพูดว่า
“เมื่อสำนึกผิดแล้ว ไหนลองบอกซิว่าทำอะไรผิดบ้าง”
เสียงของหรงจิงไม่ดังมาก แต่คำพูดของเขาสามารถฟังได้ชัดเจนในทุกมุมของตำหนักเจิ้งหยาง นางกัดฟันแล้วพูดราวได้รับความไม่เป็นธรรมว่า
“หม่อมฉันเสียมารยาทต่อเบื้องพระพักตร์ ล่วงเกินฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ”
“แต่ว่าฝ่าบาททรงมีพระเมตตาเสมอมา ขอโปรดเห็นแก่หม่อมฉันที่เพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นการนำของฝากจากกุ้ยเฟยมาให้เซียงฉือ ขอทรงโปรดให้โอกาสหม่อมฉันแก้ตัวสักครั้ง หม่อมฉันจะไม่ทำผิดอีกแล้วเพคะ”
ตอนที่ 285 ความผิด
เซียงซือมองดูสีหน้าของหรงจิงแล้วพูดต่อเสียงอ่อนเสียงหวาน ทยอยเล่าเรื่องของตนเองเมื่อครู่ออกมา คนที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วจะรู้สึกว่านางไม่ผิด เป็นเพียงแค่ความไม่ระมัดระวังพลั้งพลาด ส่วนเซียงฉือฟังแล้วก็ได้แต่เงียบไม่พูดอะไร หรงจิงมองดูเซียงซือ ในใจยิ่งบังเกิดความรังเกียจ
ไม่ใช่อื่นใดแต่เป็นเพราะหรงจิงฟังคำพูดของนางแล้วในใจยิ่งรู้สึกเหน็บหนาว นางเล่ามาครึ่งค่อนวันแต่ไม่มีเลยสักครั้งที่จะเอ่ยถึงเซียงฉือ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะขอเมตตาแก่นางสักครั้งด้วย
มีเพียงบีบน้ำตาพูดให้ตนเองดูน่าสงสาร ถ้าหากหรงจิงเป็นชายหนุ่มมัวเมาในกามคุณ คิดว่าตอนนี้คงสั่งให้ลากเซียงฉือออกไปเฆี่ยนตีปางตายไปแล้ว และคงจะคลอเคลียปลอบประโลมนางอย่างรักใคร่
แต่นั่นไม่ใช่เขา เขาจึงฟังอย่างเฉยชากระทั่งเลิกคิดใส่ใจกับเซียงซือไปในที่สุด เขาเพียงแต่รอ รอเซียงฉือโต้แย้ง รอให้นางเอ่ยปาก แต่จนแล้วจนรอดกระทั่งเสียงแหลมประหลาดของขันทีน้อยดังขึ้นก็ยังไม่ได้ยิน
“ใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อมาถึงแล้ว!”
เซียงฉือค่อยๆ หลับตาลง นางได้ยินคำพูดของเซียงซือ เกิดนับถือฝีปากของนางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ยังคงเงียบอยู่เช่นนั้น เพราะเซียงฉือคิดว่าหากเซียงซือสามารถพูดดีๆ ให้ตัวเองแล้วรอดพ้นโทษทัณฑ์ได้ นางก็ดีใจด้วย
แต่ปฏิกิริยาของนางยามนี้ในสายตาของหรงจิงนั้นกลับเป็นอีกความหมายหนึ่ง การไม่แก่งแย่งชิงดีทำให้หรงจิงชื่นชมอย่างยิ่ง
“เหอจิ่นเซ่อถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
เหอจิ่นเซ่อเดินเข้าไปช้าๆ จนถึงเบื้องหน้าฮ่องเต้แล้วทำความเคารพพร้อมคุกเข่า เซียงฉือเมื่อได้ยินว่านางมาที่นี่จึงคลายใจลง เหอจิ่นเซ่ออยู่ในวังมานานปี เป็นผู้ที่น่าเชื่อถือพึ่งพาได้ที่สุด คำพูดนางย่อมมีน้ำหนักกว่าพวกนางทั้งสองเป็นแน่แท้
ขันทีน้อยที่ซูกงกงส่งไปได้เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตำหนักเจิ้งหยางให้ใต้เท้าเหอรับทราบตั้งแต่ตอนไปพบ ในระหว่างทางที่มาใต้เท้าเหอจึงได้คิดแผนการรับมือไว้แล้ว
เซียงฉือคิดเฉกเช่นเดียวกับซูกงกง แต่สิ่งที่ทั้งคู่ไม่คาดคิดนั้นคือคำพูดของใต้เท้าเหอที่คุกเข่าอยู่ต่อพระพักตร์ฮ่องเต้
“พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันมีความผิดบกพร่องในการปกครอง ทำให้คนทั้งสองกระทำเรื่องให้ระคายพระทัย เป็นเพราะหม่อมฉันไม่กวดขันอบรมขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วยเพคะ”
เหอจิ่นเซ่อยังคุกเข่าอยู่ ระหว่างทางที่มานางรู้ว่าอวิ๋นเซียงซือได้แจ้นมาถึงตำหนักเจิ้งหยางโดยพลการ คงเป็นเพราะแค้นเคืองที่ตนไม่ส่งนางมาเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรในตำหนักเจิ้งหยางแต่ส่งเซียงฉือมาแทนในวันนั้นจึงได้วิ่งมาโปรยเสน่ห์ถึงตำหนักเจิ้งหยางเช่นนี้
ถึงนางจะได้คิดหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าเพื่อจะขอพระเมตตา แต่ขณะเดียวกันก็คิดขึ้นได้ว่าหากทูลเรื่องของกุ้ยเฟยกับเซียงซือขึ้นมาในครั้งนี้เสียเลย ต่อไปวันหน้านางก็จะไม่ต้องถูกหนีบอยู่ระหว่างฮ่องเต้กับกุ้ยเฟยให้ต้องรับความเดือดร้อนจากทั้งสองฝ่ายอีก
แต่ปล่อยให้ฝ่าบาทไปจัดการกับกุ้ยเฟยเอง ถึงนางจะล่วงเกินฝ่ายหนึ่ง แต่ก็เพื่อความสบายใจในวันหน้า ทั้งอวิ๋นเซียงซือคนนี้ก็โอ้อวดเกินไป ไม่เหมาะจะใช้ทำงาน
เพิ่งจะเข้ากองราชเลขาได้ไม่กี่วันแต่ไม่รู้จักสำรวม เที่ยวก่อเรื่องไปทั่ว
เซียงฉือกับเซียงซือต่างตะลึงไปด้วย ตอนเซียงซือได้ยินว่าเหอจิ่นเซ่อมาที่นี่ก็กังวลว่านางจะมาขอความเมตตาให้เซียงฉือ จึงตั้งใจไว้ว่าจะอ้างเอาชื่อกุ้ยเฟยออกมา เพื่อข่มขู่ให้นางถอยออกไป
แต่ไม่คิดว่าเหอจิ่นเซ่อจะมานี่เพื่อขอรับโทษ ซึ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายของคนทั้งหลาย
หรงจิงนั่งอยู่บนพระที่นั่งมองดูเหล่าข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาในชุดสีฟ้าครามคุกเข่ากันเป็นพรืดอยู่เบื้องหน้า ต่างคนต่างมีคำพูดของตน ของเซียงฉือกับเหอจิ่นเซ่อนั้นฟังดูคล้ายกัน ต่างคุกเข่าแล้วกล่าวว่าตนเองมีความผิด แล้วก้มหน้ารับโทษโดยไม่โต้แย้ง
นี่ทำให้หรงจิงบังเกิดความสนใจขึ้นมา