ตอนที่ 292 หอทิงเฟิง
ตั้งแต่วันนั้นที่ทำเรื่องไร้มารยาทที่หน้าตำหนัก กระทั่งเซียงฉือกับเซียงซือถูกลดขั้นไปคนละครึ่งขั้นก็ผ่านมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เซียงฉือก็ยังคงไม่มีความสุข
แต่ยังดีที่ทำงานตามที่ฝ่าบาทสั่งไว้ได้ไม่เลวนัก หรงจิงคิดว่าเซียงฉือเป็นพวกบ้าตำแหน่ง พอถูกลดขั้นในครั้งนี้จึงดูสิ้นเรี่ยวแรงไร้ชีวิตชีวาไม่กระปรี้กระเปร่า
หรงจิงไม่รู้ว่าตนเองลงโทษหนักไปหรือไม่ จู่ๆ เด็กนี่ก็ไร้แรงขับเคลื่อนไป พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมากขึ้น กระทั่งหรงจิงยังเคยชินกับการมีเซียงฉืออยู่ด้วย
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน ถึงวันกลางเดือนที่จะไปเล่นพิณในหอทิงเฟิงแล้ว คิดถึงครั้งก่อนที่เซียงฉือไปที่นั่น ทั้งยังลับๆ ล่อๆ เห็นเขาเป็นเพียงองครักษ์ที่ไร้คนรู้จัก
เซียงฉือในครั้งนั้นองอาจผ่าเผย รู้สึกว่าฐานะตัวตนของเขาไม่เท่าไหร่ ทั้งยังมีใจคิดเหยียดหยามอยู่ด้วย เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วก็อดไม่ได้ต้องยิ้มขึ้นมา วันนี้เขาค้นพบจุดเด่นของเซียงฉือขึ้นอีกอย่าง
ระยะนี้เขายิ่งเห็นเซียงฉือแล้วยิ่งต้องตา ผู้หญิงคนนี้ช่วยเขาตรวจรายงานได้ชำนาญยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรายมือที่งดงามเรียบร้อยนั้น ทุกครั้งที่เขาเห็นเป็นต้องตื่นตะลึง
วันนี้กลับจากประชุมราชสำนักเช้า เซียงฉือยืนอยู่ที่หน้าประตูประสานมือทำความเคารพ รอหรงจิงเข้าตำหนักแล้วผลัดชุดราชสำนักออก วันนี้เขาไม่สวมชุดลำลองสีดำลายเมฆเหมือนวันอื่นๆ แต่เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีขาวลายเมฆไผ่เขียว บนศีรษะมุ่นปิ่นหยกขาว ปล่อยผมดำสยายบางส่วน แลดูปลอดโปร่งสบายใจ เซียงฉือได้อ่านรายงานไปบางส่วนแล้ว และเตรียมนำเรื่องที่สำคัญขึ้นรายงาน
แต่นางเพิ่งนำรายงานเดินเข้าไปเบื้องหน้า ขยับคอเตรียมจะสนทนา หรงจิงกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน
“วันนี้ไม่ตรวจรายงาน หลังกินข้าวแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไป”
เซียงฉือถูกคำพูดนี้ทำให้ตระหนก ตั้งแต่นางเริ่มเข้าตำหนักเจิ้งหยางก็รู้ว่า หากแม้ย่างกรายออกนอกตำหนักย่อมต้องเกิดเรื่อง และนางก็ไม่ต้องการหาเรื่องวุ่นวายให้ตนเอง
ขณะนี้นางมีที่พึ่งพิงอย่างสงบสุขแล้ว ไม่ต้องการที่จะไปมีเรื่องสร้างปัญหากับทางวังหลัง
และที่สำคัญนางก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่เมื่อฝ่าบาทเอ่ยขึ้นเช่นนี้นางจึงนิ่งอึ้งไป รับใช้ฝ่าบาทจนเสวยพระกระยาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินเข้าไปทางหลังอุทยานกับเขา ส่วนซูกงกงในตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว
มีเพียงเซียงฉือกับหรงจิงที่เดินไปคุยกันไปเพียงสองคนเท่านั้น
วันนี้หรงจิงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง โดยปกติจะคุยแต่เรื่องงานเมืองกับเซียงฉือ ทั้งคู่ทำงานร่วมกันได้อย่างเข้าขา แต่ฮ่องเต้องค์นี้เป็นคนบ้าทำงานอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เซียงฉือที่มีนิสัยกระตือรือร้น คิดว่าหญิงสาวธรรมดาทั่วไปคงไม่สามารถทนลำบากกับเขาได้เช่นนี้
หลายวันนี้นางคุยกับเขาไม่มาก และเรื่องที่พูดก็เป็นการปรึกษาหารือในเรื่องของรายงาน
เมื่อไปถึงที่หมายก็เห็นซูกงกงคอยรับใช้อยู่แล้ว เมื่อเห็นหรงจิงกับเซียงฉือเดินเข้าไป แววตาเขาก็ตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างคนฉลาด ถามขึ้นอย่างนอบน้อมว่า
“ฝ่าบาท ข้างในนั้นจัดไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ มีพระประสงค์ให้กระหม่อมทำสิ่งใดอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซียงฉือรู้สึกคุ้นกับสถานที่นี้เหมือนกับเคยมาแล้วแต่จำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เรือนอาคารด้านในยิ่งคุ้นขึ้นไปอีก แต่หากถามนาง กลับไม่รู้จริงๆ ว่าที่นี่คือที่ใด
นางมองเห็นแผ่นป้ายที่ด้านหน้า ‘หอทิงเฟิง’
ปากอ่านออกเสียงเมื่อตามองเห็น นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทยังมีนิสัยความเคยชินเช่นนี้ ทั้งชื่อนี้ก็ไม่ได้กระตุ้นภาพความทรงจำของนางมากนัก
นางพึมพำพร่ำบ่น ท่าทางใช้ความคิดหนัก ทำให้หรงจิงเกิดความรู้สึกรำลึกถึงขึ้นมา
ตอนที่ 293 ดีดพิณ
ซูกงกงถามฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้ไม่ตรัสตอบ สายตาคู่นั้นเพียงจ้องมองเซียงฉือ เป็นสายตาที่ดูเหมือนยิ้มก็ไม่ใช่จะไม่ยิ้มก็ไม่เชิง เมื่อคำถามซูกงกงไร้คนตอบ เขาจึงคอยรับใช้อยู่ที่ด้านข้างโดยไม่ขัดจังหวะฮ่องเต้
ซูกงกงบังเกิดความไม่สบายใจขึ้นในขณะนั้น ฝ่าบาทไม่เคยพาใครมาถึงที่นี่ หากจะมีก็คงเพียงเหลียนชินอ๋อง แต่ทั้งคู่ต่างสนิทสนมกันแต่ไรมา ทั้งจุดหมายสำคัญของเหลียนชินอ๋องคือมาหลอกดื่มสุราดอกท้อที่ฝ่าบาททรงกลั่นเอง การดื่มในเวลาเช่นนี้จะได้รสชาติหวานนิดขมหน่อย ดื่มกันได้อย่างสำราญเต็มที่
ส่วนใหญ่แล้วหรงจิงจะมาที่นี่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้กลับพาเซียงฉือมาด้วย ถึงแม้ซูกงกงจะอยู่ข้างกายหรงจิงมานาน แต่ไม่อาจล่วงรู้ความนึกคิดของเขาในขณะนี้ได้
เซียงฉือนิ่งเงียบอยู่นาน ดวงตาจ้องมองเพื่อรำลึกเหตุการณ์ในอดีต หวังว่าจะสามารถได้เบาะแสอะไรบ้าง นางมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปมองหรงจิง ก็พบกับสายตาแวววาวของหรงจิงที่มองนางอยู่
ใบหน้าจึงแดงเรื่อขึ้นแล้วรีบก้มศีรษะต่ำลง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไร แต่หรงจิงไม่ได้โกรธเคือง เพียงยิ้มน้อยๆ
“ซูกงกงจุดเครื่องหอมอำพันทะเล แล้วนำผลไม้มาจานหนึ่งกับสุราดอกท้อป้านหนึ่ง แล้วก็ออกไปได้”
หรงจิงเห็นนางเลิกใจลอยแล้วจึงเขกมือลงบนศีรษะนาง
ป๊อก!
เซียงฉือยกมือคลำตรงที่เจ็บทันที คิ้วมุ่นจนเป็นปม มองดูหรงจิงแล้วราวเข้าใจขึ้นมาในทันที
“อ้อ หม่อมฉันคิดขึ้นได้แล้ว คราวก่อนได้พบกับพี่ชายหรงฉู่ที่นี่นี่เอง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หม่อมฉันนึกออกแล้ว”
เซียงฉือกุมศีรษะหัวเราะราวกับเด็กๆ หรงจิงเห็นนางเช่นนั้นก็ไม่ว่าอะไร หมุนตัวแล้วออกเดินไป
“เจ้าเด็กต๊อง ยังไม่ตามมาอีก”
พอหรงจิงมาถึงที่นี่ก็ดูต่างจากฮ่องเต้ที่พบเห็นทุกวันคนนั้นมาก ไม่ต้องมีกฎระเบียบอะไร ดูจะเข้าใกล้ได้ง่ายดายกว่า
เซียงฉือได้ยินที่เขาพูดแล้วจึงรีบก้าวเท้าตามไปแผ่วเบาโดยไม่ต้องคิด
งานในตำหนักเจิ้งหยางยุ่งเหยิงทุกวัน ถึงหรงจิงจะได้พักผ่อน แต่เซียงฉือยังมีงานที่ทำไม่เสร็จอยู่
นางรอคอยเวลาที่หรงจิงจะไปอยู่ค้างในวังหลังหรือยุ่งอยู่กับราชกิจส่วนหน้า เพราะนางจะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง
แต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ หากไม่ใช่น้ำท่วมก็เป็นภัยแล้ง เหตุเภทภัยจากที่ต่างๆ มีมาไม่ขาดสาย อีกทั้งยังเรื่องการเก็บภาษีอากรในปีนี้ เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ในตำหนักเฉียนคุน ต่างมีวิธีการสร้างโจทย์ยากๆ ให้กับหรงจิง ดังนั้นระยะนี้จึงเหน็ดเหนื่อยจริงๆ
วันนี้หรงจิงก็ช่างแปลกเหลือเกิน ไม่คุยเรื่องงาน ไม่ตรวจรายงาน กลับหลบมาหาความสงบสุขที่นี่
เซียงฉือเดินตามหรงจิงเข้าไปด้านใน มองดูสภาพภายในแล้วยิ่งรู้สึกคุ้นเคย อดไม่ได้รู้สึกขัดเคืองขึ้นบ้าง
“ยังจำที่นี่ได้กระมัง”
“เจ้าเด็กต๊อง หากไม่ใช่เพราะข้าใจกว้างละก็ เจ้ายังจะเหลือหัวพอให้บั่นอีกหรือ”
เซียงฉือฟังแล้ว แม้จะรู้ว่าเขาเป็นฮ่องเต้ แต่กลับยังยิ้มอย่างไม่ถือสา ราวกับว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่ใช่ฮ่องเต้อีกต่อไป แต่เป็นพี่ชายหรงฉู่ของนางจริงๆ
นางคิดเช่นนั้นจึงเริ่มทำตามนั้น ถอดรองเท้าแล้ววิ่งเข้าไปข้างพิณล้ำค่า ครั้งก่อนนางเห็นพิณนี้เป็นของที่หาได้ยากอย่างยิ่ง แต่จนใจที่ตนเองไม่รู้วิธีการบรรเลง
แต่แล้วนางคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“วันนั้นฝ่าบาทเสวยน้ำจัณฑ์ ไม่ทราบทรงเมาหรือไม่เพคะ หม่อมฉันรู้สึกพระองค์จะทรงเมาเล็กน้อย ยังทรงจำเรื่องราวครั้งนั้นได้หรือไม่เพคะ”
เซียงฉือหมุนกายเบิกตากว้างสดใสแล้วถามหรงจิง
หรงจิงชะงักเล็กน้อยแต่แล้วยิ้มพูดขึ้นว่า
“ข้าย่อมจำได้ เจ้าเด็กคนนี้นี่ อย่าริคิดอะไรร้ายกาจ ตอนนั้นสติข้ายังดีอย่างยิ่ง”